หลังจากเดินทางมาถึงเยี่ยนจิง ภายใต้การนำทางของถังเฉา รถยนต์ของหูอีซานก็เลี้ยวเข้ามาในซอยเล็ก ๆ ซอยหนึ่ง
ปิดประตูรถแล้ว เขาก็พิจารณาสภาพรอบ ๆ
นี่เป็นสภาพแวดล้อมที่ทั้งคุ้นเคยทั้งแปลกตา หูอีซานพูดพึมพำกับตัวเองว่า “นี่เป็นที่ที่เธออยู่…”
“เดิมทีเธอไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่ว่าลูกชายของพ่อบุญธรรมเป็นผีพนัน เอาโฉนดที่ดินของบ้านไปเสียพนันแล้ว ดังนั้นก็เลยกลับมาอยู่ที่บ้านเดิม”
ถังเฉาพูดอยู่ข้างหลัง “เธอเลยต้องออกจากมหาวิทยาลัยเพื่อที่จะใช้หนี้”
“อย่างนั้นเหรอ…”
หูอีซานมีสีหน้าซับซ้อน ในวันที่เขาไม่อยู่ นึกไม่ถึงว่าลูกสาวของตัวเองจะตกระกำลำบากขนาดนี้
ถังเฉาเดินเข้ามา “อีกสักพักพอเจอเธอ อย่าแสดงออกว่าตื่นเต้นมากเกินไปล่ะ”
หูอีซานไหนเลยจะไม่เข้าใจความหมายของประโยคนี้ เขาฉีกยิ้มออกมา “วางใจเถอะครับ คุณถัง ผมเข้าใจดี”
ถังเฉาตอบรับครั้งหนึ่ง “อย่างนั้นก็ดี”
พูดจบก็มาอยู่ที่หน้าประตูบ้านของลุงเหลียง เคาะประตูเบา ๆ
“ลุงเหลียง เสี่ยวเซี่ย ผมเอง ถังเฉา”
“มาแล้ว”
ในบ้านมีเสียงกังวานใสส่งออกมาทันที ประตูเปิดออกด้วยความรวดเร็ว ใบหน้าน่ารักโผล่ออกมา …เป็นซูเซี่ย
ชั่วพริบตาที่เธอเห็นถังเฉาก็ผุดรอยยิ้มออกมา “พี่ถังเฉา”
“มารบกวนดึก ๆ อย่างนี้ ไม่รบกวนพวกเธอใช่ไหม?”
ถังเฉายกยิ้มอย่างเห็นได้ยาก
“ไม่ค่ะ ๆ ขอเพียงเป็นพี่ถังเฉา ดึกกว่านี้ก็ไม่เป็นไรค่ะ”
ซูเซี่ยแสดงออกชัดเจนว่าดีใจมาก รีบเชิญถังเฉาเข้ามา ตัวเองกลับวิ่งเข้าไปในบ้านร้องตะโกนอย่างดีอกดีใจว่า “พ่อคะ พี่ถังเฉามาแล้วค่ะ”
หูอีซานที่อยู่ด้านหลังมองร่างของซูเซี่ยอย่างเหม่อลอย มองไปมองมา ดวงตาของเขาก็แดงก่ำขึ้น
“เป็นยังไง ใช่ลูกสาวของนายไหม?” ถังเฉาก็เก็บสายตากลับมา ถามขึ้น
เบ้าตาของหูอีซานชุ่มชื้น พูดสะอึกสะอื้น “เหมือนมากจริง ๆ เป็นเธอ!”
พูดจบเขาก็ยืดหลังตรงทันที โค้งตัวให้ถังเฉาอย่างสุดซึ้ง เอ่ยเสียงทุ้มว่า “คุณถังครับ ลูกสาวของผม… ขอบคุณที่ดูแลลูกสาวของผมมาหลายปีนะครับ!”
ในวินาทีที่ได้เห็นซูเซี่ย ในใจของหูอีซานก็เก็บกดความรู้สึกที่ทะลักล้นราวกับน้ำป่าที่กำลังไหลหลากเอาไว้ เพียงแค่ได้มองเห็นจากที่ไกล ๆ ได้รับรู้ว่าซูเซี่ยยังสบายดี เขาก็วางใจแล้ว
โค้งตัวทำความเคารพเสร็จเขาก็หมุนตัวไป ตัดสินใจจะจากไป
“นายจะไปไหน?”
ตอนที่หูอีซานค้อมตัวลงนั้น ถังเฉาไม่ได้พูดอะไร จนกระทั่งเขาจะจากไปเขาจึงได้เอ่ยออกมาเสียงเรียบ
ร่างกายของหูอีซานสั่นไหว แต่เขาไม่ได้หันกลับมา เพียงแค่พูดเสียงต่ำว่า “คุณถังครับ คุณพูดถูก ตอนนี้เธอมีชีวิตอยู่อย่างสงบสุข ครอบครัวรักใคร่กลมเกลียว ผมไม่ควรจะไปรบกวนเธอ ขอเพียงได้รู้ว่าเธอไม่เป็นอะไร ผมก็พอใจมากแล้วล่ะครับ…”
“ไม่ใช่ไม่อยากเจอ แต่ไม่กล้าไปเจอสินะ?”
ถังเฉาเอ่ยปากโดยฉับพลัน สายตากลับมาราบเรียบอีกครั้ง
ในมุมที่มองไม่เห็น หูอีซานตัวสั่นขึ้นมาอีกครั้ง เบิกตากว้าง น้ำตาคลอเบ้า
คำพูดของถังเฉาปอกเปลือกอันจอมปลอมของเขาออกอย่างโหดเหี้ยมเหมือนกับมีดแหลมคมเล่มหนึ่ง
“นายกลัวว่านายจะควบคุมตัวเองไม่ได้ หรือว่ากลัวว่าเธอจะจำนายได้แล้วโกรธแค้นนายกันแน่?”
น้ำเสียงอันเรียบเรื่อยของถังเฉาดังขึ้นมาอีกครั้ง หูอีซานได้ฟังแล้วร่างกายยิ่งสั่นสะท้านอย่างรุนแรงยิ่งขึ้น
“คุณถังครับ เรื่องวันนี้… ปล่อยมันไปดีไหมครับ?”
ผ่านไปนานเขาถึงจะหันกลับมาพูดกับถังเฉา
ยิ่งกลับมาใกล้บ้านเกิดยิ่งหวาดกลัว… กลัวอะไรน่ะเหรอ?
ก็กลัวคนที่ไม่กล้าจะเผชิญหน้า และยังมีส่วนลึกในใจที่ยังก้าวไปไหนไม่พ้น
แต่ทว่า… ถังเฉากลับตบบ่าของเขาเบา ๆ “นายคิดว่านายยังเหลือทางหนีทีไล่ให้ถอยกลับอีกเหรอ? นายจะไปหรือไม่ ไม่ใช่นายที่เป็นคนตัดสิน”
คำนี้พูดออกมา ร่างกายของเขาก็นิ่งชะงักไป หันหลังกลับไปมองก็เห็นเพียงด้านหลังของถังเฉา ลุงเหลียงกับซูเซี่ยก็เดินออกมา พวกเขามองหูอีซานด้วยสายตาแปลกใจ
โดยเฉพาะซูเซี่ยที่ยืนอยู่ด้านหลังของถังเฉา เธอกำลังมองพิจารณาเขาด้วยความแปลกใจ “คุณคือเพื่อนของพี่ถังเฉาใช่ไหมคะ ทำไมไม่เข้ามาล่ะคะ?”
พูดจบเธอก็สังเกตเห็นเครื่องแต่งกายบนร่างของหูอีซาน
ชุดสูทล้ำค่าราคาแพงระยับนับแสนหยวน นาฬิกาที่ข้อมือ รวมถึงออร่าที่บ่งบอกถึงความเป็นคนตำแหน่งสูงที่ออกมาจากร่างอยู่เสมอนั่นอีก ไม่มีส่วนไหนเลยที่ไม่บ่งบอกว่าเขาเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จที่ร่ำรวยคนหนึ่ง
ดังนั้นเธอจึงรู้สึกขัดเขินอยู่ไม่น้อย “บ้านของหนูไม่มีของมีค่าอะไร คงจะรับรองพวกคุณได้ไม่ดี ขอโทษด้วยจริง ๆ นะคะ…”
ลูกของครอบครัวที่ยากจนต้องหาเลี้ยงครอบครัวเร็วกว่าบ้านอื่น เธอมองออกตั้งแต่แรกว่าหูอีซานอยู่คนละโลกกับพวกเธอ ปฏิกิริยาแรกของเธอก็คือน้อยเนื้อต่ำใจ
สีหน้าของหูอีซานเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง รีบอธิบายอย่างร้อนรน “ไม่ใช่นะ หนูอย่าเข้าใจผิด ฉันไม่ได้ไม่เข้าไปเพราะอย่างนั้น คือฉัน…”
ภายหลังหูอีซานก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก เขาเพียงมองซูเซี่ยด้วยความตึงเครียดเป็นอย่างมาก กลัวว่าจะถูกซูเซี่ยเกลียดเข้าให้ นึกไม่ถึงว่าเขาจะถึงขั้นถอดนาฬิกาข้อมือกับเสื้อนอกราคาแพงออก หลังจากนั้นจึงเอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า “แบบนี้มันเยอะเกินไปใช่ไหม?”
“คุณ… คุณทำอะไรคะ?”
ซูเซี่ยเบิกตาโตมองหูอีซานอย่างไม่อยากจะเชื่อ เธอเพียงแค่พูดความในใจออกมา นึกไม่ถึงว่าคนคนนี้จะถอดของราคาแพงทั้งหมดทิ้งเพื่อที่จะเอาใจเธอ!
“ฉัน…”
หูอีซานอ้ำอึ้งขึ้นมากะทันหัน ข่มความรู้สึกเอาไว้อยู่นานสองนานแล้วจึงพูดออกมาหนึ่งประโยค “ฉันกลัวว่าหนูจะทำตัวห่างเหินกับฉัน”
นึกไม่ถึงว่าจะได้มาเจอกับหูอีซานที่ไม่เคยเจอหน้าคร่าตากันมาก่อนที่ยอมทำเพื่อซูเซี่ยถึงขั้นนี้ ลุงเหลียงเหมือนกับเข้าใจอะไรบางอย่างได้จึงเดินอยู่ตรงหน้าของถังเฉาแล้วเอ่ยถามด้วยระดับเสียงที่มีพวกเขาสองคนที่ได้ยินว่า “นายตามหาพ่อบังเกิดเกล้าของเสี่ยวเซี่ยเจอแล้วเหรอ?”
ถังเฉาพยักหน้าอย่างลังเลใจ กลัวว่าลุงเหลียงจะเสียใจเพราะเรื่องนี้
ไหนเลยจะรู้ว่าบนใบหน้าของลุงเหลียงจะปรากฏความยินดีขึ้นมา พ่อของเสี่ยวเซี่ย… เป็นใครเหรอ?”
เขากังวลอยู่ว่าพ่อของซูเซี่ยจะเป็นพวกต้องโทษพวกนั้น ถังเฉาจึงผ่อนคลายลง เขายิ้มแล้วเอ่ยว่า “เขาคือหูอีซาน คนรวยอันดับหนึ่งของเมืองหมิงจู”
“คนรวยอันดับหนึ่งของเมืองหมิงจู?!”
ลุงเหลียงเบิกตาโตทันที ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ เขาพูดพึมพำกับตัวเองว่า “เสี่ยวเซี่ย… นึกไม่ถึงว่าเธอจะเป็นลูกสาวของคนที่รวยอันดับหนึ่ง…”
ในที่สุดหูอีซานก็เข้าไปในบ้าน ซูเซี่ยส่งน้ำชาหนึ่งแก้วให้กับเขาอย่างมีมารยาทเป็นอย่างมาก ตอนที่ส่งชาให้ อยู่ ๆ เธอก็หัวเราะขึ้นมากะทันหัน
หูอีซานอึ้งไปพักหนึ่ง “หนูหัวเราะอะไรหรือ?”
“อ๊ะ ขอโทษค่ะ หนูแค่คิดว่าคุณตลกดี”
ซูเซี่ยรีบหยุดหัวเราะทันที “อีกอย่าง หนูรู้สึกคุ้นเคยกับคุณมากค่ะ”
หูอีซานตื่นเต้นอยู่เต็มใบหน้า แต่พอนึกถึงคำพูดของถังเฉาเขาก็ระงับอารมณ์เอาไว้อย่างดื้อ ๆ เขาเกาศีรษะ “อย่างนั้นเหรอ…”
ถังเฉากับลุงเหลียงจงใจเว้นระยะห่างให้หูอีซานกับซูเซี่ยได้ค่อย ๆ พูดคุยกันจนถูกคอ
หูอีซานก็ไม่ได้ปิดบังฐานะที่ร่ำรวยอันดับหนึ่งของตัวเอง เขาจ่ายค่าเล่าเรียนทั้งหมดให้กับซูเซี่ยในนามของตัวเองโดยตรง ถ้าหากลุงเหลียงไม่ห้ามไว้ล่ะก็ แม้แต่บ้านกับรถก็คงจะมอบให้แล้ว
หูอีซานไม่ได้อยู่ต่อนาน เขาจากไปด้วยความรวดเร็ว เขากลัวว่าถ้ายังอยู่ต่อไปอีกเขาจะต้องระงับอารมณ์ตัวเองไว้ไม่ได้แน่
ถังเฉาไปตระกูลหลินรอบหนึ่ง เอาข่าวดีนี้ไปแจ้งกับหลินเจิ้นสง
หลังจากได้ทราบข่าวดีนี้หลินเจิ้นสงก็ดีใจเป็นอย่างยิ่ง ดีใจกับซูเซี่ยจากใจจริง
ทุกอย่างดูเหมือนจะไปในทิศทางที่ดี…
หลังจากที่ถังเฉาจากไป หน้าต่างห้องที่สองของบ้านใหญ่ตระกูลหลินเปิดแง้มออกเป็นช่องเล็ก ๆ สะท้อนให้เห็นภาพใบหน้าขาวซีดที่อาฆาตแค้นของผู้หญิงคนหนึ่ง
เธอคือโจวเหม่ยหยูน
จ้องเขม็งอยู่นาน เธอก็โทรศัพท์ออกไปสายหนึ่ง
“ฉันควรทำยังไง?”
ที่โทรศัพท์ไม่มีเสียงใดใด ตัดสายไปอย่างรวดเร็ว หลังจากผ่านไปหนึ่งนาที โจวเหม่ยหยูนก็ได้รับข้อความหนึ่งจากเบอร์นิรนาม
เนื้อหาในข้อความคือสี่ตัวอักษรอาบโลหิต
“ฆ่าหลินเจิ้นสง”