มองส่งถังเฉากับหลินชิงเสว่จากไป ซ่งหรูอี้มองดูสภาพที่พังพินาศไปทั่ว บ้านใหญ่ตระกูลซ่งที่มีศพเกลื่อนกลาดเต็มไปหมด มุมปากก็ปรากฏรอยยิ้มน้อย ๆ ออกมา
“ส่งคนมาเก็บกวาดเถอะ”
พูดประโยคนี้จบ ซ่งหรูอี้ก็กลับมาที่บ้านใหญ่อีกครั้ง
ซ่งหมิงเวยเห็นสภาพแล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ
หลังจากผ่านคืนนี้ไป สถานภาพของเมืองหมิงจูจะต้องนำไปสู่ความวุ่นวายอย่างแน่นอน
แม้แต่ตระกูลเหยียนก็สูญสิ้นไปแล้ว หลังจากผ่านวันนี้ไป เมืองหมิงจูก็ไม่มีอิทธิพลที่สามารถต่อต้านกับถังเฉาได้อีก
หลังจากสั่งให้คนเก็บกวาดซากศพจนเสร็จ ซ่งหมิงเวยก็กลับไปบ้านใหญ่กับซ่งหรูอี้
กลับพบว่าซ่งหรูอี้กำลังมองต้นเหมยหนึ่งต้นในบ้านอย่างเหม่อลอย
“พี่ครับ พี่กำลังมองอะไรอยู่ครับ?”
ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ซ่งหมิงเวยก็ปลุกเร้าความกล้าเอ่ยถามขึ้นมา
ซ่งหรูอี้เก็บสายตากลับไป ยิ้มแล้วพูดว่า “ฉันกำลังรอให้ดอกเหมยฤดูหนาวบาน”
ซ่งหมิงเวยมึนงง จากนั้นก็ส่ายศีรษะ
“ตอนนี้เพิ่งจะเดือนตุลาคม จะมีดอกเหมยฤดูหนาวที่ไหนกัน?”
“จะต้องบานแน่”
ซ่งหรูอี้ก็ไม่อธิบาย เพียงแค่เอ่ยขึ้นเบา ๆ
ซ่งหมิงเวยเห็นสถานการณ์ก็ไม่พูดอะไรอีก ดูกิ่งไม้แห้งที่ใบร่วงโกร๋นเป็นเพื่อนเธอ
“ฉันจะไปแล้ว”
ซ่งหรูอี้ลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยขึ้น
“ไปไหนครับ?”
ซ่งหมิงเวยใจเต้นตึกตักทันที ในใจมีลางสังหรณ์บางอย่าง
ซ่งหรูอี้มองไปยังที่ไกล ๆ “เยี่ยนจิง”
ซ่งหมิงเวยลงไปนั่งบนพื้นดังตุ้บทันที
ที่จริงแล้ว ตอนที่เขารู้ว่าผู้ชายคนหนึ่งที่ชื่อว่าถังหลินปรากฏตัวอยู่ข้างกายของพี่สาวนั้น เขาก็รู้ว่าไม่ช้าก็เร็วจะต้องมีวันนี้
พี่สาวไม่ใช่คนของตระกูลซ่ง ซ่งจากซ่งหรูอี้ เธอเปลี่ยนมาใช้เมื่อตอนยังเด็กเพื่อเอาใจคนตระกูลซ่งอย่างสุดความสามารถ
ซ่งหรูอี้ไม่ได้พูดอะไร บรรยากาศค่อนข้างเศร้าสลด
“พี่!”
ซ่งหมิงเวยลุกขึ้นยืนอย่างฉับพลัน มองซ่งหรูอี้แล้วพูดเสียงดังว่า “ไม่ว่าต่อไปจะเป็นอย่างไร พี่ก็เป็นพี่ของผม เรื่องนี้ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้!”
ในดวงตาของซ่งหรูอี้ปรากฏความรู้สึกประหลาดใจ
จากนั้นก็มาอยู่ตรงหน้าของซ่งหมิงเวย หัวเราะเบา ๆ
“บริษัทตระกูลซ่งต้องส่งต่อให้นายแล้ว ต่อไปพี่ไม่อยู่แล้วก็อย่าทำอะไรด้วยความสับสนวุ่นวายล่ะ”
“ครับ”
ซ่งหมิงเวยดวงตาแดงก่ำ
น้ำเสียงก็มีเสียงสะอึกสะอื้นเพิ่มขึ้นมา
“นอกจากนี้แล้ว ยินดีที่ได้รู้จักนายนะ”
ซ่งหรูอี้ยิ้มออกมาจากใจเป็นครั้งแรก “ฉันจะบอกว่านามสกุลเดิมของฉันคืออะไรดีกว่า”
“นามสกุลเย่ เย่หรูอี้”
พูดจบก็หันหลังจากไป
ในดวงตาของซ่งหมิงเวยมีน้ำตาไหลออกมา
ในตอนนี้เขาก็นึกถึงคำพูดที่ถังเฉาเคยพูดไว้กับเขาเมื่อนานมาแล้วขึ้นมาได้
อยากกลายเป็นผู้นำของตระกูลซ่งไหม?
ตอนนี้ ในที่สุดเขาก็ได้ดั่งใจหวังกลายเป็นผู้นำของตระกูลซ่งแล้ว
เพียงแค่สิ่งต่าง ๆ ยังเหมือนเดิม แต่ผู้คนได้เปลี่ยนไปแล้ว!
ปึก!
ทันใดนั้นเขาก็คุกเข่าอยู่บนพื้น โขกหัวไปทางภาพด้านหลังของซ่งหรูอี้ที่จากไป
“พี่ครับ ขอบคุณที่ช่วยค้ำจุนมาก ๆ ครับ!”
เสียงดังกังวาน รูปร่างของซ่งหรูอี้ก็นิ่งไปเบา ๆ
เธอไม่ได้หันกลับมา “ช่วยฉันดูต้นเหมยในบ้านด้วย ดอกเหมยบานแล้วบอกฉันด้วย”
ทิ้งประโยคที่มีความหมายลึกซึ้งกินใจประโยคหนึ่งไว้ ซ่งหรูอี้ ไม่สิ… ควรจะเป็นเย่หรูอี้ก็จากบ้านตระกูลซ่งที่เธอใช้ชีวิตมานานถึงยี่สิบปี
“เรื่องในอนาคตจะน่าชมยิ่งกว่านี้”
“ถังเฉา ฉันจะรอนายที่เยี่ยนจิง”
……
อีกด้านหนึ่ง ถังเฉาไม่ได้กลับบ้านไปด้วยกันกับหลินชิงเสว่
“ชิงเสว่ เฟิ่งหวงจะส่งคุณกลับไป ผมยังมีธุระที่ต้องทำอีก”
“ตอนที่พูดคำนี้ ในดวงตาของถังเฉามีความเยือกเย็นอยู่
เรื่องของตระกูลซ่งจัดการเรียบร้อยแล้ว ยังเหลือเรื่องของโจวเหม่ยหยูนอีก
หลินชิงเสว่ก็เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร เพียงแค่พูดประโยคหนึ่งเบา ๆ “อย่าหัวรุนแรงเกินไปนะคะ”
พูดจบก็แยกย้ายกับถังเฉากันไปคนละทาง
ถังเฉานำเถี่ยเมี่ยนกับหงโฝไปยังสถานที่ที่เฟิ่งหวงให้มา
นั่นเป็นโกดังที่เก่าทรุดโทรมแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ที่ชานเมือง สภาพภูมิประเทศเป็นที่ลุ่มต่ำ สภาพอากาศเปียกชื้น
พอเข้ามาก็มองเห็นโจวเหม่ยหยูนที่ถูกมัดอยู่บนเก้าอี้ และยังมีหลินฉ่ายเวยที่ขดตัวอยู่ตรงมุม
เธอมาหลังจากที่เกิดเรื่องขึ้น รอจนเธอมาถึง หลินเจิ้นสงก็ตื่นแล้ว
“พ่อ!”
ถังเฉาเดินเข้าไป มองเห็นหลินเจิ้นสงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
“เสี่ยวเฉา นายมาแล้ว”
ตอนที่พูดออกมาเขายังมองโจวเหม่ยหยูนกับหลินฉ่ายเวยแวบหนึ่ง สีหน้าเย็นชา
คนหนึ่งเป็นภรรยาที่เขาใช้ชีวิตด้วยมายี่สิบกว่าปี อีกคนหนึ่งคือลูกสาวที่เขาเลี้ยงมายี่สิบกว่าปี แต่ทว่ากลับถูกล่อลวงไปทีละคน
นอกจากความโมโหแล้ว ยิ่งกว่านั้นก็คือความขมขื่น
หลินฉ่ายเวยเองก็มองเห็นถังเฉาแล้ว ปากก็อ้าขึ้น อยากจะร้อง แต่ก็ร้องไม่ออกแม้แต่คำเดียว
โจวเหม่ยหยูนก็ยิ่งไม่กล้าเงยหน้า ทั้งตัวสั่นอย่างรุนแรง
ถังเฉาไม่ได้ทำให้หลินฉ่ายเวยลำบากใจ เจตนารมณ์ของหลินฉ่ายเวยเขารู้แล้ว เหลือเพียงแค่ของโจวเหม่ยหยูน
เขาเดินมาถึงด้านหน้าของโจวเหม่ยหยูน เอ่ยถามด้วยใบหน้าสงบนิ่ง “ทำไมต้องทำแบบนี้ครับ?”
โจวเหม่ยหยูนหวาดผวา รีบร้อนบิดร่างกาย เอ่ยอย่างตัวสั่น ๆ ว่า “ฉันไม่รู้อะไรเลย ฉัน… ฉันถูกบังคับ”
“เหยียนเสี้ยงหม่าเอาอะไรมาคุกคามคุณ?” ถังเฉาพูดเสียงเย็น
ได้ยินชื่อเหยียนเสี้ยงหม่า โจวเหม่ยหยูนก็มีสีหน้าไร้ความรู้สึกไปพักหนึ่ง
เธอติดต่อกับอีกฝ่ายมานานขนาดนั้นยังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายชื่ออะไร นึกไม่ถึงว่าพอถังเฉาลงมือก็รู้แจ้งแล้ว
นี่ยืนยันได้เพียงสองเรื่อง
หนึ่ง ความสามารถในการสังเกตการณ์ของถังเฉานั้นโดดเด่นเกินใคร สอง ภูมิหลังของเขายิ่งใหญ่มาก
โจวเหม่ยหยูนยิ่งยินดีที่จะเชื่ออย่างที่สอง
ตอนนี้สีหน้าท่าทางก็ยิ่งดูไร้จิตวิญญาณยิ่งขึ้นไปอีก
พอคิดมาถึงตรงนี้ สีหน้าของเธอก็ยิ่งซีดเผือด
“ฉันพูดไม่ได้!” เธอออกแรงส่ายศีรษะ
ถังเฉาเองก็ไม่ถือสา “ไม่อยากพูด ไม่เป็นไร ผมเปลี่ยนคำถามใหม่ ทำไมต้องจ้างนักฆ่ามาฆ่าภรรยาของผม?”
เฮือก!
พอคำนี้ลั่นออกมา โจวเหม่ยหยูนกับหลินฉ่ายเวยก็ล้วนมีสีหน้าขาวซีด
“แม่คะ ท่านก็พูดออกมาเถอะค่ะ!”
หลินฉ่ายเวยเอ่ยพูดทั้งน้ำตา “อย่ามัวแต่หลงผิดจนกู่ไม่กลับเลย!”
“แกมันจะไปรู้อะไร?”
โจวเหม่ยหยูนเองก็ตะคอกออกมาเสียงดัง มองหลินฉ่ายเวยด้วยเบ้าตาแดงก่ำ “ที่ฉันทำมาทั้งหมดนี้ก็เพื่อแก!”
ถังเฉาส่ายศีรษะ “ไม่พูด ถ้าอย่างนั้นก็ขังเธอต่อ ขังจนกว่าเธอจะพูด”
พูดจบก็ให้หลินเจิ้นสงกับหลินฉ่ายเวยออกไป เตรียมจะปิดประตูใหญ่ของโกดัง
โจวเหม่ยหยูนมีสายตาหวาดกลัว “ไม่นะ ถังเฉา แกจะขังฉันไม่ได้ แกกำลังกักขังหน่วงเหนี่ยว… จะต้องติดคุก!”
ปัง!
สิ่งที่ขานรับเธอกลับเป็นเสียงประตูเหล็กที่ปิดลง
“ใครก็ได้ช่วยฉันด้วย…”
โจวเหม่ยหยูนสิ้นหวังแล้ว
แต่ในตอนที่สิ้นหวังนั้นเองก็โกรธแค้นถังเฉามากยิ่งขึ้น
“ถังเฉา ถ้าหากครั้งนี้ฉันไม่ตาย ต่อไปจะต้องให้แกได้ชดใช้!”
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ในระหว่างที่โจวเหม่ยหยูนสะลึมสะลือ ทันใดนั้นก็ถูกแสงสว่างอ่อน ๆ ส่องจนตื่น
จ้องมองดูอย่างละเอียด นึกไม่ถึงว่าจะเป็นเศษกระจกยาว ๆ เศษหนึ่งบนพื้น
เธอเงยหน้าทันที มองตรงมุมแวบหนึ่ง
เห็นว่าในโกดังที่มีพื้นที่ไม่ถึงสองเมตรนี้มีหน้าต่างที่แตกไปแล้วครึ่งหนึ่งอยู่หนึ่งบาน
ทันใดนั้นเธอก็มีสีหน้าดีใจ นึกแผนการหนีออกไปอย่างยอดเยี่ยมได้แผนหนึ่ง
ตุ้บ!
เธอใช้แรงทั้งตัวทำให้ตนเองล้มลงไปบนพื้น จากนั้นก็ออกแรงเสียดสีกับเศษกระจกที่อยู่บนพื้น
ทั้งขั้นตอนนั้นซับซ้อนหาใดเปรียบ แต่โจวเหม่ยหยูนก็ยังมุ่งมั่นอยู่
ท้ายที่สุดก็ตัดเชือกเส้นใหญ่จนขาด
เธอไปหาบันไดมาอีก กระโดดลงไปจากหน้าต่างที่แตกไปครึ่งหนึ่งอย่างระมัดระวัง
ชั่วพริบตาที่กระโดดลงมานั้น โจวเหม่ยหยูนรู้สึกเพียงว่าชีวิตนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังอีกครั้ง
เธอหายไปในแสงราตรี…