“ประธานถัง ทำไมคุณถึงพูดแบบนี้ได้คะ?”
พอคำพูดนี้ของถังเฉาลั่นออกมา คิ้วโก่งของฟางหย่าก็ตั้งขึ้น พูดขึ้นด้วยความเดือดดาลเต็มใบหน้า
ตั้งแต่หลังจากได้รู้ว่าภรรยาของถังเฉาก็คือหลินชิงเสว่ ฟางหย่าก็ตัดใจอย่างถึงที่สุด
เพียงแค่คิดว่าต่อไปสามารถอยู่บริษัทเดียวกับถังเฉา ได้เจอหน้ากันทุกวันก็พอใจแล้ว
แต่ว่าถังเฉากลับเสนอความเห็นให้หลินชิงเสว่เห็นด้วยที่จะยกบริษัทให้กับสำนักงานการก่อสร้าง นี่ทำให้ฟางหย่ารับไม่ได้แล้ว
พวกของหลี่ถาวก็มองกันด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว
ถังเฉากลับไม่ได้อธิบาย เพียงแค่มองหลินชิงเสว่
หลินชิงเสว่ก็ตกอยู่ในความเงียบ
ซือเหวินปินก็นั่งกลับลงไปอีกครั้ง ไม่รีบร้อนเลยแม้แต่น้อย
“ประธานหลิน สามีของคุณก็พูดอย่างนี้แล้ว คุณก็เชื่อฟังผมเถอะ เซ็นชื่อเถอะ? ไม่อย่างนั้นทุกคนก็จะไม่มีความสุข นี่ไม่ดีหรอกหรือ”
“บริษัทให้คุณได้ แต่ว่าถ้าหากจะเอาคืนกลับมาอีกก็ยากแล้วล่ะ”
ถังเฉาเปลี่ยนหัวข้อสนทนา มองซือเหวินปินแล้วยิ้มอย่างเย็นชาหนึ่งครั้ง
ทันใดนั้นซือเหวินปินก็ประหลาดใจไปทั้งใบหน้า
เหมือนไร้วิญญาณอยู่นาน ทันใดนั้นใบหน้าก็เต็มไปด้วยความเดือดดาล “ล้อเล่นหรือ ผมยังไม่ได้รับบริษัทของพวกคุณ แล้วจะมาคืนให้พวกคุณได้อย่างไร?”
“นั่นมันก็ไม่แน่นะ”
ถังเฉาหัวเราะหึหึแล้วเอ่ยว่า “อีกอย่าง คืนหรือไม่… ไม่ใช่คุณที่ตัดสินใจ?”
ซือเหวินปินไม่รู้ว่าคำพูดนี้ของถังเฉาหมายความอย่างไร แต่เขาฟังความคุกคามในคำพูดของถังเฉาออก ตอนนี้จึงหัวเราะเสียงเย็นออกมา “คุณคุกคามผม?”
“แต่ก่อนเห็นแก่ที่คุณรู้จักกับประธานเจิง เจิงเทียนเสียง ถึงได้รักษาหน้าคุณอยู่สามส่วน อย่ามาไม่รู้จักดีชั่ว!”
ถังเฉายิ้ม ไม่ได้โกรธ และก็ไม่ได้อธิบายอีก เพียงแค่มองไปยังหลินชิงเสว่ ในดวงตามีแววให้กำลังใจ
หลินชิงเสว่ลังเลอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายก็ตัดสินใจได้
“ตกลงค่ะ ฉันจะมอบลี่จิงให้กับคุณ!”
“ประธานหลิน!”
“ประธานหลิน คุณทำอะไร?”
สีหน้าของฟางหย่าและหลี่ถาวล้วนเปลี่ยนไปมาก พากันยับยั้ง
หลินชิงเสว่เองก็มีสีหน้าจริงจัง “ฉันรู้ความหมายของพวกคุณ แต่ว่า… ฉันไม่ยอมให้ลี่จิงตกอยู่ในมือของคนอื่นแน่!”
ซือเหวินปินหัวเราะอย่างหยิ่งยโส “ยังจะมาพูดอะไรไม่ยอมให้บริษัทตกอยู่ในมือของคนอื่นแน่ เธอถูกเตะออกจากเกมแล้ว!”
หลินชิงเสว่มีสีหน้าเย็นชา เซ็นชื่อของตัวเองอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ส่งไปให้ซือเหวินปิน “หวังว่าคุณจะไม่เสียใจในภายหลังนะคะ”
เธอเองก็นึกถึงคำพูดก่อนหน้านี้ที่คนบ้าดนตรีเคยพูดเอาไว้ พฤติกรรมครั้งนี้ของซือเหวินปินเป็นการหาเรื่องเดือดร้อนเข้าตัวอย่างแน่นอน
ซือเหวินปินรับบริษัทเอาไว้ พักหนึ่งก็มีความมั่นใจขึ้นมา เอ่ยสั่งกับพวกเธอว่า “ให้เวลากับพวกเธอครึ่งวัน เก็บของแล้วไสหัวออกไปซะ!”
มองดูฉากนี้ ฟางหย่ากับหลี่ถาวก็โมโหแต่ไม่กล้าพูดออกมา
มองส่งซือเหวินปินมาโดยตลอดแล้วพวกเธอถึงเดินขึ้นมาข้างหน้า เตรียมจะเอ่ยถามกับประธานหลินว่าทำไมจะต้องมอบบริษัทให้ด้วย
ถังเฉากลับส่ายศีรษะ ชิงพูดขึ้นมาก่อนว่า “ทุกท่าน พวกคุณกลับบ้านไปพักผ่อนกันก่อนสองวัน ผมขอรับรองกับทุกคนว่า เมื่อพวกคุณกลับมาลี่จิงจะยังคงเป็นลี่จิงดังเดิม”
พวกของฟางหย่ากับหลี่ถาวล้วนแต่มองกันไปมาไม่พูดไม่จา ช่วงเวลาสั้น ๆ ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร
“ตกลงค่ะ พวกเราเชื่อคุณ!”
ฟางหย่ากัดฟันเอ่ยกับถังเฉาว่า
“ถ้าหากว่าไม่มีลี่จิงแล้ว ฉันจะไม่ให้อภัยคุณแน่!”
ฟางหย่านำผู้คนจากไป
หลินชิงเสว่มองถังเฉาแวบหนึ่ง “การกระทำนี้ของคุณก่อให้เกิดความแค้นของคนมากมายแล้วนะคะ”
ถังเฉาแบมืออย่างช่วยไม่ได้ “ช่วยไม่ได้นี่ครับ ทุกอย่างคิดเพื่อภาพรวม”
บริษัทยกให้เป็นของสำนักงานการก่อสร้างชั่วคราว ถังเฉากับหลินชิงเสว่ทำได้เพียงกลับบ้านล่วงหน้า
ตอนนี้ถังเสี่ยวลี้ยังอยู่ที่โรงเรียนอนุบาล ในบ้านมีเพียงพวกเขาสองคน
ถังเฉามองบ้านที่เงียบสงัด ฉับพลันก็ร้องเรียกขึ้นมา “ที่รัก”
“อะไรหรือคะ?”
หลินชิงเสว่เพิ่งจะวางกระเป๋า
“คุณยังอยากมีน้องชายให้ถังเสี่ยวลี้หนึ่งคนไม่ใช่หรือครับ? ยังรักษาคำพูดอยู่ไหมครับ?”
ถังเฉาเอ่ยถาม
หลินชิงเสว่ตะลึงอยู่นานแล้วถึงจะเรียกสติกลับมาได้ ใบหน้าแดงระเรื่อด้วยความขัดเขิน
“ทำไมคุณ…ยังจำได้?”
ถังเฉายิ้ม “คนรุ่นก่อนของผมเคยเตือนผมไว้ว่าตลอดชีวิตนี้ผมต้องทำเรื่องสามเรื่อง”
“กินเนื้อที่แพงที่สุด ดื่มเหล้าที่แรงที่สุด แต่งงานกับผู้หญิงต้าเซี่ยที่งดงามที่สุด”
“ตอนนี้ผมทำได้ทั้งหมดแล้ว”
หลินชิงเสว่เองในใจก็มีความรู้สึกบางอย่าวเกิดขึ้นเลยไปปิดประตูเบา ๆ
……
อีกด้านหนึ่ง
ซือเหวินปินถือเอกสาร ขับรถไปถึงเขตคนมีฐานะระดับสูงแห่งหนึ่ง กดกริ่งประตูบ้านของตัวเอง
ด้วยความรวดเร็ว ประตูเปิดออกแล้ว คนที่เปิดประตูให้เขาคือคนชราผมขาวอายุหกสิบกว่าปีคนหนึ่ง
“พ่อ”
ซือเหวินปินยิ้มทักทาย จากนั้นก็ชูซองเอกสารที่ใส่สัญญาเอาไว้ที่อยู่ในมือ “ผมจะบอกข่าวดีกับท่านหนึ่งเรื่อง ผมเพิ่งจะรับซื้อบริษัทแห่งหนึ่งมา”
ซือฉี่เหิงกลับโบกไม้โบกมือ “เรื่องเล็ก ๆ แบบนี้เดี๋ยวค่อยว่ากัน ยังไม่รีบไปเปลี่ยนชุดให้เรียบร้อยอีก ไปออกงานกับฉันหน่อย!”
ซือฉี่เหิงเป็นสมาชิกของสำนักงานการก่อสร้าง อาศัยคอนเนกชั่นของพ่อของเขา ซือเหวินปินถึงได้เข้าสู่สำนักงานการก่อสร้าง
ตอนนี้เห็นสีหน้าของซือฉี่เหิงเคร่งขรึมจริงจัง ซือเหวินปินก็ตื่นตระหนกอยู่ในใจ “พ่อครับ งานอะไร ท่านถึงได้ให้ความสำคัญขนาดนั้น”
ยกหัวข้อนี้มา สีหน้าของซือฉี่เหิงก็ยิ่งเคร่งขรึมยิ่งขึ้น
“คนบ้าดนตรีมาจัดคอนเสิร์ตที่เมืองหมิงจูแล้ว พอได้ยินชื่อแล้วคนใหญ่คนโตมากมายจากทุกที่ทั่วประเทศก็มา นอกจากบุคคลชั้นสูงในท้องถิ่นของพวกเราแล้ว ยังมีประธานหลัว ผู้อำนวยการของสมาคมการค้าหงยิงอีก รวมถึงเมืองเจียงเฉิง เมืองหนิวเฉิน เมืองจินเหอ ฯ ตระกูลในเมืองชั้นหนึ่งของเขตเจียงเจ้อ แถมทางฝั่งเยี่ยนจิงนั่นก็มีคนมา แกว่าฉันจะไม่ให้ความสำคัญได้เหรอ?”
“คนบ้าดนตรี? คนบ้าดนตรีที่มีเสียงดนตรีดังกังวานไปสามวันคนนั้น?”
ซือเหวินปินตะลึงหนัก
“ใช่สิ ก่อนที่ฉันจะปลดเกษียณ จะเลื่อนตำแหน่งได้ไหมก็ต้องดูกันครั้งนี้ล่ะ!”
ในดวงตาของซือฉี่เหิงเปี่ยมไปด้วยความหวัง ราวกับได้เปล่งแสงแห่งการเกิดใหม่ “ถ้าหากได้เลื่อนตำแหน่ง ตำแหน่งของฉันก็จะส่งต่อให้แกขึ้นมานั่ง!”
ได้ยินอย่างนั้น ซือเหวินปินกับซือฉี่เหิงก็ตื่นเต้น
ได้ยินมาว่าคนบ้าดนตรีงดงามราวกับนางอัปสรสวรรค์ ไม่มีผู้ชายคนไหนสามารถดึงเอาผ้าคลุมหน้าของเธอออกมาได้ เขาอยากจะเห็นความงดงามนั่นมาตั้งนานแล้ว!
“พ่อครับ ผมจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเดี๋ยวนี้!”
แสงราตรีค่อย ๆ มืดมิดลง ครอบครัวของซือฉี่เหิงสามคนเร่งโดยสารรถยนต์ไปยังสถานที่จัดงานแสดงดนตรีของคนบ้าดนตรี
ระหว่างทางเขามองเห็นรถยนต์หรูหรามากมายที่มาจากต่างถิ่น หมายเลขทะเบียนของรถทุกคันล้วนแต่อุปสงค์มากกว่าอุปทาน
“สมกับที่เป็นคนบ้าดนตรี งานแสดงดนตรีครั้งหนึ่ง นึกไม่ถึงว่าจะสามารถดึงดูดบุคคลสำคัญจากทุกที่ทั่วประเทศมาร่วมชมได้!”
ซือเหวินปินอดไม่ได้ที่จะอุทานอย่างตกตะลึง
แต่ว่าเขาค่อย ๆ พบว่าการเดินทางผิดปกติแล้ว
นี่ไม่ใช่ทางไปอาคารกั๋วจี้หรือ?
เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามว่า “พ่อครับ พวกเราไม่ได้ไปงานแสดงดนตรีหรือครับ? ทำไมถึงเข้ามาย่านการค้าแล้วล่ะครับ?”
“นี่ก็คือทางที่จะไปสถานที่ที่จัดงานแสดงดนตรีนี่”
ซือฉี่เหิงตอบตามเหตุผลที่มันควรจะเป็น
ซือเหวินปินคิดว่าพ่อของตนไม่ถึงขั้นที่จำเส้นทางผิด ดังนั้นจึงไม่ได้ถามมาก
ทว่า รถยนต์ขับไปด้านหน้าแล้วก็หยุดอยู่ที่ใต้อาคารกั๋วจี้
ตอนนี้สีหน้าของซือเหวินปินเปลี่ยนไปอย่างถึงที่สุด “พ่อครับ พวกเรามาอาคารกั๋วจี้ทำไมครับ?”
ซือฉี่เหิงยังคงมีท่าทางมีชีวิตชีวา “สถานที่ที่คนบ้าดนตรีจะแสดงดนตรีในคืนนี้ก็คือที่อาคารกั๋วจี้!”
บึ้ม!
พอคำนี้ลั่นออกมา สมองของซือเหวินปินก็โล่งไปในทันที ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
ด้วยความรวดเร็ว เขามองเห็นรถยนต์หรูหราหลายคันล้วนหยุดอยู่ที่ใต้อาคารกั๋วจี้
บุคคลสำคัญเดินออกมาขบวนใหญ่
หลัวปู้ ผู้อำนวยการสมาคมการค้าหงยิง
หูอีซาน อดีตเศรษฐีท้องถิ่นอันดับหนึ่งแห่งเมืองหมิงจู
เจิงเทียนเสียง เศรษฐีท้องถิ่นอันดับหนึ่งแห่งเมืองหมิงจู
และยังมีผู้นำของตระกูลใหญ่ทุกตระกูล…
บนหน้าผากของซือเหวินปินมีเหงื่อเย็นผุดออกมาในชั่วพริบตา มักจะรู้สึกว่าตนเองประสบปัญหาใหญ่เข้าแล้ว!