ณ โรงยิม เวลาล่วงเลยผ่านไป แต่ดูเหมือนว่าถังเฉาก็จะยังไม่มา
ฟางหย่านั่งไม่ติดที่อีกต่อไป ใบหน้าของหล่อนเปลี่ยนไปเล็กน้อย “เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า?ทำไมนานขนาดนี้แล้วยังไม่มาอีก”
หลินฉ่ายเวยที่อยู่ด้านข้างก็ได้แต่มองไปที่หน้าจอด้วยความว่างเปล่า
“เป็นอะไร ทำไมทำหน้าแบบนี้?”
ฟางหย่าเองก็ดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง ถามออกไปด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“ประธานฟาง คุณดูนี่สิ…”
หลินฉ่ายเวยเอาข้อความที่ถังเฉาส่งมาให้ฟางหย่าดู
ฟางหย่าตกตะลึงไปชั่วขณะ
รอยยิ้มที่มีอยู่บนใบหน้าได้หยุดนิ่งลง ใบหน้าเหมือนกับหน้ากากหน้าคนอย่างไงอย่างงั้น
หลังจากดูอยู่นาน ใบหน้าของฟางหย่าก็ดูน่าเกลียดขึ้นมากกว่าเดิม
“ทำไมกันล่ะ?ฉันแค่ให้เขาไปเอาเหล้าที่รักษาอาการฟกช้ำให้เฉยๆ ทำไมต้องให้เธอไปเอาด้วย?”
ใบหน้าของหลินฉ่ายเวยนั้นดูซับซ้อน พร้อมกับประคองฟางหย่าขึ้นมา “ประธานฟาง ฉันจะไปส่งคุณกลับบ้านก็แล้วกัน”
ขณะที่พูด ก็ประคองฟางหย่าขึ้นมา จากนั้นพาไปห้องที่ติดกับถังเฉา
หลังจากที่ตนทาเหล้ารักษาอาการฟกช้ำให้แล้ว เท้าของฟางหย่านั้นก็ยังคงดูบวมแดงราวกับบะจ่าง
วินาทีต่อมา ความรู้สึกเสียใจก็เกิดขึ้นภายในใจของหล่อน
“ไม่ได้ ฉันต้องรู้ให้ได้ว่าเขาทำอะไรอยู่ แม้แต่เวลาไปหยิบเหล้าที่รักษาอาการฟกช้ำของฉันยังไม่มีงั้นเหรอ?”
สีหน้าของหลินฉ่ายเวยเปลี่ยนไป “ประธานฟาง อย่าเลยค่ะ…”
อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทันที่เธอจะจับไว้ หล่อนกระโดดด้วยเท้าข้างเดียวไปที่ประตูห้องของถังเฉา
ตรงประตู หล่อนได้ยินเสียงหัวเราะของหลินชิงเสว่และถังเสี่ยวลี้ดังออกมาจากโทรศัพท์ ขณะเดียวกันก็มีเสียงของถังเฉาปนอยู่ด้วย
หล่อนรู้ทันทีว่าเป็นหลินชิงเสว่โทรเข้ามา
ฟางหย่ารู้สึกตะลึงไปชั่วขณะ เดิมทีมือที่ต้องการจะเคาะประตูนั่น ก็ดูเหมือนว่ามันจะหยุดนิ่งลง ทำไมมือมันขยับไม่ออกล่ะ
หลินฉ่ายเวยเดินเข้ามา มองเห็นฟางหย่าที่ดูนิ่งงันหน้าประตูของถังเฉา ก็เหมือนจะรู้อะไรบางอย่าง เธอรีบวิ่งเข้าไปหาทันที
เมื่อฟางหย่าหันกลับมา หลินฉ่ายเวยก็ตกใจเป็นอย่างมาก
หล่อนกำลังร้องไห้อยู่
“ประธานฟาง…”
ขณะนี้เอง หลินฉ่ายเวยก็รู้สึกลำบากใจเป็นอย่างมาก เธอประคองฟางหย่ากลับไปที่ห้อง
กลางดึก ข้อเท้าของฟางหย่ายังคงบวมอยู่ หล่อนนอนไม่หลับเลยสักนิด
เวลานี้ หล่อนพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมก่อนหน้านี้หลินฉ่ายเวยถึงไม่ยอมให้หล่อนทำ
หล่อนรู้ดีว่าตนเองเหมือนกับแมลงเม่าที่บินเข้ากองไฟ เห็นได้ชัดว่ามีความมั่นใจเต็มร้อย แต่กลับถูกตีกลับด้วยความจริงที่โหดร้ายเช่นนี้
“ถังเฉา ทำไมนายถึงไม่แม้แต่มองมาที่ฉันเลย…”
ฟางหย่าได้แต่พึมพำกับตัวเอง
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ทั้งสามคนพบกันที่ล็อบบี้ของโรงแรม
ข้อเท้าของฟางหย่ายังคงพันด้วยผ้าพันแผล แม้ว่าจะไม่บวมเหมือนเมื่อคืนแต่ก็ยังมีรอยช้ำอยู่บ้างเล็กน้อย
สำหรับเรื่องเมื่อคืน ทั้งฟางหย่าและหลินฉ่ายเวยต่างนิ่งเงียบไม่ได้พูดอะไรออกมา
อย่างไรก็ตาม ใบหน้าของถังเฉานั้นเต็มไปด้วยคำขอโทษ “ต้องขอโทษด้วยจริงๆนะครับประธานฟาง พอดีเมื่อคืนชิงเสว่โทรมา ผมเลยขอให้ฉ่ายเวยไปหยิบยามาให้แทน”
ฟางหย่ายิ้ม “ไม่เป็นไรเลยค่ะ ฉันไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจ ไว้ครั้งหน้าเจอกันค่ะ”
เมื่อเห็นว่าฟางหย่าไม่ได้โกรธเคือง ถังเฉาก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก “ครับ”
“นี่หล่อนบ้าไปแล้วเหรอ?!”
หลินฉ่ายเวยดึงฟางหย่ามาด้วยใบหน้าที่เหลือเชื่อ “นี่ขนาดโดนปฏิเสธ แถมยังขาเจ็บขนาดนี้ ยังจะมาอีกเหรอ?”
ฟางหย่าพูดอย่างแผ่วเบา “ฉันคิดถึงเขามาตั้งห้าปี คงไม่ยอมแพ้ง่ายๆแบบนี้หรอก”
หลินฉ่ายเวยเองก็ตกอยู่ในเงียบไปครู่หนึ่ง เธอไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
“ไปเถอะ ไปเข้ากลุ่มสาขากันเถอะ”
ทั้งสามหยุดรถและไปที่สาขาของลี่จิงกรุ๊ป
สาขาก่อตั้งอยู่ที่อาคารพาณิชย์ของจวี้เฟิงกรุ๊ป เช่นเดียวกับสำนักงานใหญ่ เหมาชั้นที่22ทั้งตัวเป็นบริษัท
ขณะหนึ่ง ชื่อเสียงของลี่จิงกรุ๊ปก็ทำให้ชื่อเสียงของจวี้เฟิงกรุ๊ปเพิ่มขึ้นไปด้วย
ในอาคารพาณิชย์ บริษัทใดที่มีอิทธิพลมากที่สุด ก็จะถูกตั้งชื่อโดยบริษัทนั้น
แต่ก่อนมีเพียงแต่จวี้เฟิงกรุ๊ปเท่านั้นที่โดดเด่น ไม่มีบริษัทใดมาเทียบได้
ตอนนี้ ด้วยการก่อตั้งของลี่จิงกรุ๊ป จึงทำให้ผู้คนได้มองเห็นถึงความหวังที่เหนือกว่า
ขณะนั้น บริษัทใกล้เคียงก็ได้ส่งหนังสือมาขอร่วมงานกับบริษัท แต่ก็โดนฟางหย่าปฏิเสธไปจนหมด
บริษัทที่หล่อนสนใจ มีแต่บริษัทชั้นนำเท่านั้น
ไม่ช้า หูอีซานก็เดินเข้ามา
“คุณถัง คุณผู้หญิงฟางครับ การประชุมแผนสนับสนุนของจวี้เฟิงกรุ๊ปที่มีต่อสาขาลี่จิงนั้นกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว ตอนนี้เราเหลือเพียงรอคณะกรรมการมาถึงเท่านั้นครับ”
เขาเคารพนับถือในตัวถังเฉาเป็นอย่างมาก
“โอเค”
ถังเฉาพยักหน้า พร้อมกับนั่งลง
หลินฉ่ายเวยที่เป็นผู้ช่วยของถังเฉานั้น ทำหน้าที่เป็นเลขาถือปากกาอยู่ในมือ เตรียมพร้อมจัดประชุมรายงานได้ทุกเมื่อ
อย่างไรก็ตาม ทุกนาทีที่ผ่านไป ดูเหมือนว่านอกจากคณะกรรมการของจวี้เฟิงกรุ๊ปที่มากันแล้ว อย่างน้อยก็มีคนอีกเกือบครึ่งเลยที่หายไป
สีหน้าของหูอีซานเริ่มมืดมน เขามองไปที่ผู้ถือหุ้น “เกิดอะไรขึ้น?คนอีกครึ่งหนึ่งหายไปไหน?”
“วันนี้เป็นวันสำคัญของการร่วมมือกันระหว่างจวี้เฟิงกรุ๊ปและลี่จิงกรุ๊ป มาสายกันแบบนี้ พวกคุณรับผิดชอบกันไหวเหรอ?”
สีหน้าของผู้ถือหุ้นก็ดูน่าเกลียดเช่นกัน “ประธานกรรมการบริหาร ก็ขาดแค่ประธานหูสองคนกับคนที่พวกเขาเอาเข้ามานี่”
“กรรมการหู?”
ถังเฉาหรี่ตาลง
“ก็ที่ผมบอกคุณเมื่อวานเรื่องพี่น้องกัน ที่ชื่อหูจิ้งจู๋กับหูจิ้งซูไงครับ พวกเขานำคนของตระกูลหูเข้ามา”
หูอีซานพูด
ท้องของฟางหย่านั้นเต็มไปด้วยความโกรธจากเรื่องเมื่อคืน หล่อนโบกมือไปมา “ไม่ต้องรอพวกเขาแล้ว!”
ถังเฉาพูดขึ้นมาทันทีว่า “ไม่ ต้องรอ พวกเราไม่ใช่แค่ต้องรอ แต่ยังต้องต้อนรับพวกเขาด้วย”
คนที่รู้จักถังเฉาดีมักจะรู้ว่าตอนนี้ในใจของเขาเริ่มมีร่องรอยของความไม่พอใจเกิดขึ้นมาแล้ว
สิบห้านาทีผ่านไป ประตูของห้องประชุมก็ถูกเปิดออก กลุ่มคนที่มีความสามารถพวกนี้มาสาย
นำโดยชายหญิงสองคนที่รูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกัน
ผู้ชายรูปหล่อ ส่วนผู้หญิงก็งดงาม อีกทั้งทั้งคู่นั้นล้วนแต่มีจักษุยาวดังนกการเวก ทำให้หญิงสาวนั้นดูชวนน่ามอง ในขณะที่มันทำให้ฝ่ายชายนั้นดูละเอียดและอ่อนโยน
“พวกเขาทั้งสองคนคือคนของตระกูลหูที่จบการศึกษาจากต่างประเทศมา หูจิ้งจู๋และหูจิ้งซู” หูอีซานกระซิบจากด้านข้าง
ถังเฉาพยักหน้า พร้อมกับสายตาที่แหลมคม
หูอีซานมองดูพวกเขาด้วยสีหน้าที่มืดมน “หูจิ้งจู๋ หูจิ้งซู พวกเธอนี่กล้ากันจริงๆ มีคนมากมายกำลังรอพวกคุณอยู่!หากไม่มีเหตุผลที่ดีมากพอล่ะก็ ฉันจะลงโทษพวกเธอ”
หูจิ้งซูไม่ได้พูดอะไร จากนั้นนั่งลงตัวตรง ราวกับไม่ได้ยินสิ่งที่หูอีซานพูด
ถังเฉามองไปที่หูจิ้งซูอีกครั้ง หล่อนเหมือนกับเพื่อนเก่าคนหนึ่งของเขา
ซ่งหรูอี้
หูจิ้งจู๋ยิ้ม พร้อมกับพูดกับหูอีซานว่า “กรรมการหู เราก็เป็นคนกันเองทั้งนั้น จำเป็นต้องเข้มงวดกันขนาดนี้เลยเหรอ อีกอย่าง ก็แค่ผมกับน้องสาวเราตื่นสายกันก็เท่านั้นเอง ไม่ได้ตั้งใจจะมาสายสักหน่อย”
“ตื่นสาย?”
หูอีซานโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ “วันนี้เป็นการประชุมการร่วมมือของสาขาลี่จิงกรุ๊ป พวกเธอตื่นสายงั้นเหรอ?พวกเธอไม่ได้มีคุณถังและพวกเขาไว้ในสายตาเลยสักนิด!”
“ร่วมมือ?”
หูจิ้งจู๋ยิ้มอย่างดูถูกเล็กน้อย พร้อมกับมองไปที่ถังเฉา ฟางหย่าและหลินฉ่ายเวย จากนั้นพูดว่า “นี่เป็นความร่วมมือแบบไหนกัน ทำไมฉันถึงต้องมีพวกเขาในสายตาด้วย?”
“บอกว่าเป็นการร่วมมือ อันที่จริงเป็นบริษัทจวี้เฟิงกรุ๊ปของเราต่างหากที่สนับสนุนพวกเขา บอกว่าให้มีไว้ในสายตา ก็ต้องเป็นพวกเขาที่มีพวกเราในสายตาต่างหาก!”