บรรยากาศของห้องทำงานนี้เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมในทันทีเพราะประโยคนี้ของเย่เซ่าเตี๋ย
ไม่ว่าจะเป็นถังเฉา หลินชิงเสว่ หรือลั่วเยนอวิ๋นกับถังหลิน ล้วนแต่มองไปที่เย่เซ่าเตี๋ยด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
พวกเขาล้วนแต่คิดไม่ถึงว่า เย่เซ่าเตี๋ยจะก่อกบฏต่อเย่หรูอี้ตรง ๆ อย่างไม่ไว้หน้าขนาดนี้ ทั้งยังประกาศศักดา เธอไม่มีคุณสมบัติ?
แต่สายตาของเย่หรูอี้ก็มือครึ้มขึ้นอย่างเข้มข้น เย็นยะเยือกหาที่เปรียบไม่ได้
แม้ว่าจะจะต้องเผชิญหน้ากับถังหลินที่เธอเกลียด เธอก็ยังไม่มีท่าทีเช่นนี้ปรากฏออกมา
จากตรงนี้จะเห็นได้ว่าในใจของเธอนั้น เย่เซ่าเตี๋ยนั้นน่ารังเกียจมากแค่ไหน
“ฉันจะมีคุณสมบัติหรือไม่ ก็ยังไม่ถึงตาเธอจะมาวิจารณ์”
เธอเอ่ยอย่างเย็นชา
“นั่นมันก็ไม่แน่นะ”
เย่เซ่าเตี๋ยเองก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มเยือกเย็นว่า “เธอเพิ่งจะกลับมาตระกูลเย่ได้ไม่นาน คุณปู่ไม่ไว้วางใจเธอมากเลยนะ สั่งให้ฉันมาดูแลเธอ ตอนนี้ฉันถามเธอว่าเธอรับสมัครยอดฝีมือมาได้แล้วเหรอ ไม่เกินไปหรอกมั้ง?”
เย่อี้หรูไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่สายตาที่มองไปยังเย่เซ่าเตี๋ยมืดครึ้มและหนาวเหน็บยิ่งขึ้น
ถังเฉามองดูฉากนี้ก็รู้แล้วว่าถึงแม้ว่าเย่หรูอี้จะกลับตระกูลเย่แล้ว แต่คนของตระกูลเย่ก็ไม่ได้ให้การต้อนรับเธอเท่าไหร่
การดูแลนั้นดูน่าฟัง แท้จริงแล้วคือการแทรกแซงทุกด้าน
ถ้าหากว่าเย่หรูอี้ไม่ได้รับสมัครยอดฝีมือมาเข้าร่วมประชุมแดนเหนือได้ เช่นนั้นตระกูลเย่ก็จะถูกคัดตกรอบในทันที
“ไม่รบกวนหรอก ฉันตามหาคนที่เหมาะสมเจอแล้วล่ะ”
เย่หรูอี้เก็บออร่าที่อยู่บนร่างไป เอ่ยอย่างเย็นชา “ยิ่งไปกว่านั้น คนที่จัดงานปรึกษาหารือครั้งนี้ก็คือฉัน เธอต่างหากถึงจะเป็นคนที่ไม่มีคุณบัติคนนั้นน่ะ!”
“อย่างนั้นเหรอ? แล้วยอดฝีมือที่เธอรับสมัครมาล่ะ อยู่ที่ไหนกัน?”
เย่เซ่าเตี๋ยที่เผชิญหน้ากับการเหน็บแนมของเย่หรูอี้กลับไม่โมโหเลย รอยยิ้มบนใบหน้ากลับลึกล้ำยิ่งขึ้น
ก่อนจะมา เธอก็ไปสอบถามมาแล้ว เย่หรูอี้ร่วมมือกับตระกูลถัง ตระกูลลั่ว มาโจมตีตระกูลฉินที่มีความเป็นไปได้สูงสุดที่จะเป็นแชมป์ เรียกให้มาปรึกษาหารือกันครั้งนี้
ในความเป็นจริงกลับให้ผู้แข็งแกร่งที่เป็นตัวแทนของแต่ละตระกูลขึ้นต่อสู้ออกปากก็จบแล้ว
ผู้เข้าร่วมการแข่งขันของตระกูลไหนแข็งแกร่งกว่า ใครที่มีอำนาจใจการพูดมากกว่ากัน
ผู้แข็งแกร่งเป็นที่เคารพ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด
แต่ว่าเย่หรูอี้กลับมองไม่เห็นว่าด้านหลังของเย่หรูอี้มีผู้แข็งแกร่งอะไรจะตามมา
เธอชี้ขาดภาพรวมแล้วว่าจนถึงตอนนี้แล้ว เย่หรูอี้ก็ไม่ได้รับสมัครยอดฝีมือมาแม้แต่คนเดียว!
เย่หรูอี้กวาดตามองเธออย่างเย็นชาครั้งหนึ่ง “ฉันบอกว่ารับสมัครมาแล้วก็คือรับสมัครมาแล้ว ต้องผ่านการเห็นด้วยจากเธอด้วยเหรอ?”
“ถ้าอย่างนั้นเธอก็เรียกเขาออกมาสิ!”
เย่เซ่าเตี๋ยเดินหน้าบีบบังคับเย่หรูอี้ไปอีกก้าว
ยิ่งเย่หรูอี้ขายผ้าเอาหน้ารอดอย่าคลุมเครือแบบนี้ เธอก็ยิ่งชี้ชัดข้อสันนิษฐานในใจ
“ใช่ ผมคิดว่าคุณเย่พูดจามีเหตุผล”
ทันใดนั้นถังหลินก็ออกปากเอ่ยว่า “หรูอี้ เรื่องที่คุณโชคร้ายมาผมได้ยินมาหมดแล้ว วันแรกที่มาเมืองเจียงเฉิงก็ทะเลาะกับสมาคมการต่อสู้แห่งเมืองเจียงเฉิงจนแยกกันด้วยความรู้สึกที่ไม่ดี รับสมัครคนมาไม่ได้ นี่มันไม่ได้ขายหน้าเสียหน่อย ผมช่วยคุณได้นะ”
ตอนที่พูดคำนี้บนใบหน้าของถังหลินมีความหยิ่งผยองอยู่
ถึงแม้ว่าเย่หรูอี้จะเป็นคู่หมั้นของเขา แต่เนื่องจากท่าทีเย็นชาที่เธอมีต่อตน ถังหลินจึงตัดสินใจร่วมมือกับเย่เซ่าเตี๋ย กดดันเย่หรูอี้ดี ๆ สักหน่อย
“สามีของฉันก็คือผู้เข้าแข่งขันที่เป็นตัวแทนตระกูลเย่ไปต่อสู้”
ทันใดนั้นน้ำเสียงเย็นยะเยือกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
สายตาของทุกคนรวมกันอยู่บนร่างของหลินชิงเสว่ในชั่วพริบตา
แม้แต่ตัวของเย่หรูอี้เองก็ประหลาดใจเป็นอย่างมาก
เธอไม่เคยคิดเลยสักนิดว่าหลินชิงเสว่จะพูดเพื่อเธอ
เย่เซ่าเตี๋ยมองหลินชิงเสว่ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร บนใบหน้าของเธอถึงเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
ไม่ได้กระด้างกระเดื่องต่อหลินชิงเสว่ เย่เซ่าเตี๋ยมองไปยังเย่หรูอี้ “ที่เธอพูดมาเป็นเรื่องจริงเหรอ?”
เดิมทีเย่หรูอี้คิดอยากจะประกาศเรื่องนี้ด้วยตัวเอง แต่ว่าหลินชิงเสว่ได้ประกาศแทนเธอไปแล้ว ทำได้เพียงพยักหน้า
“ใช่”
“ฮ่า ๆ ๆ…”
ทันใดนั้นเย่เซ่าเตี๋ยก็หัวเราะออกมาเสียงดัง
แม้แต่ถังหลินก็ยังหัวเราะตาม
“เย่หรูอี้ เธอไม่ต้องหาคนที่ไม่มีความสามารถมาทำเป็นว่ามีความสามารถที่นี่เอาตามใจเพื่อที่จะรักษาหน้าของตัวเองหรอกมั้ง?”
บนใบหน้าของเย่เซ่าเตี๋ยเต็มไปด้วยรอยยิ้มเยาะหยัน มองเย่หรูอี้แล้วเอ่ยว่า
“เขาเป็นลูกเขยแต่งเข้าบ้านของตระกูลหลิน มีความเกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลเย่ของเธอ?
ถังเฉาก็คล้อยตามไปด้วย
เรื่องที่ถังเฉาตอบรับคำเชิญของเย่หรูอี้ นอกจากถังหลินและเย่เซ่าเตี๋ยแล้ว คนอื่น ๆ ต่างรู้กันหมด ดังนั้นจึงไม่ได้แปลกใจมากเกินไป
“แต่ผมเป็นตัวแทนตระกูลเย่ไปต่อสู้จริง ๆ”
ถังเฉาส่ายศีรษะอย่างช่วยไม่ได้ ยกน้ำชาด้านหน้าขึ้นมาดื่ม
เห็นถังเฉาตอบรับ รอยยิ้มบนใบหน้าของถังหลินกับเย่เซ่าเตี๋ยก็หายไปในทันที มองเขาราวกับมองเห็นผีอย่างไรอย่างนั้น
จ้องมองอยู่นาน สุดท้ายเย่เซ่าเตี๋ยก็โบกไม้โบกมือ “นี่มันเป็นไปไม่ได้ พวกเธอสมรู้ร่วมคิดกันมาก่อนแล้วแน่ ๆ”
“ใช่ ไม่อย่างนั้นเขาจะถูกเชิญมาได้อย่างไร?”
ถังหลินเองก็ไม่เชื่อ
ถังเฉาไม่ได้อธิบายต่อเรื่องนี้ เพียงแค่มองเย่หรูอี้กับหลินชิงเสว่ทีหนึ่งอย่างจนปัญญา
พูดความจริงออกมาแล้ว แต่คนอื่นไม่เชื่อเองนี่!
“เย่หรูอี้ เธออย่าลืมนะว่าเธอกำลังแบกรับอะไรอยู่ เธอเคยสาบานต่อหน้าทุกคนในตระกูลเย่ว่าจะเป็นตัวแทนตระกูลเย่ชิงแชมป์ประชุมแดนเหนือมาให้ได้ ตอนนี้เธอกลับหาไม่ได้แม้แต่ยอดฝีมือเพียงคนเดียว จะให้ฉันเชื่อเธอได้อย่างไร?”
เย่เซ่าเตี๋ยมองเย่หรูอี้ด้วยสายตาเยียบเย็น
ด้วยความรวดเร็ว เธอเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอีก “แต่ว่าไม่เป็นไร ฉันหายอดฝีมือมาได้ก็พอแล้ว”
เพิ่งจะสิ้นเสียง เย่เซ่าเตี๋ยก็ตบมือ “เข้ามาสิ”
ประตูของห้องทำงานเปิดออก คนวัยกลางคนสวมชุดของราชวงศ์ถังทั้งตัวเดินเข้ามา
บุคลิกสง่าผ่าเผย อยู่นิ่ง ๆ ก็น่ายำเกรง คาดไม่ถึงเลยว่าจะสวมชุดนักบวชเต๋าของสมาคมการต่อสู้อยู่บนร่าง
“คุณคือหงเทียนเฉินที่อยู่อันดับที่สองของสมาคมการต่อสู้แห่งเมืองเจียงเฉิง?”
ชั่วพริบตาที่มองเห็นคนวัยกลางคนคนนี้ สีหน้าของเย่หรูอี้ก็เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก
“หงเทียนเฉิน?”
สายตาของถังเฉาเองก็เข้มงวดขึ้นเล็กน้อย
อีกอย่าง รูปร่างหน้าตาของเขาเหมือนกับหงเทียนหยาเด๊ะ ๆ
เย่เซ่าเตี๋ยยิ้มอย่างเย็นชา “ประธานหงเป็นหนึ่งในผู้ร่วมจัดงานประชุมแดนเหนือครั้งนี้ ฉันรับสมัครมาไม่ได้ แต่ว่าฉันกับประธานหงคุยกันจนถูกคอ เขารับปากฉันไว้แล้วว่าให้ฉันเลือกยอดฝีมือในสมาคมในนามของเขามาได้ตามใจ”
“ด้วยเหตุนี้ฉันก็เลยเลือกยอดฝีมืออันดับสองของสมาคมภายใน และก็คือคุณหงคนนี้ อ๋อ จริงสิ เขายังเป็นน้องชายของประธานหงด้วยนะ”
คำพูดของเย่เซ่าเตี๋ยยืนยันข้อสันนิษฐานของถังเฉาแล้ว
หงเทียนเฉินก็คือน้องชายของหงเทียนหยา
“หึ!”
หงเทียนเฉินที่เพียบพร้อมไปด้วยบุคลิกที่น่านับถือของยอดฝีมือร้องหึเสียงเบาออกมาหนึ่งครั้ง ไม่มองคนพวกนี้อยู่ในสายตาโดยสิ้นเชิง
สายตาของถังหลินก็มองหงเทียนเฉินอย่างเคร่งขรึม ด้านหลังของเขามียอดฝีมืออยู่ห้าคน แต่กลิ่นอายที่สัมผัสได้นั้นมีระดับเท่ากันกับหงเทียนเฉินอย่างคาดไม่ถึง
หรือจะพูดอีกอย่างก็คือห้าคนนี้รวมกันถึงจะต้านหงเทียนเฉินคนเดียวได้
ในใจของเย่หรูอี้มีความกดดันเพิ่มขึ้นมาหนึ่งส่วน มองเย่เซ่าเตี๋ยด้วยสีหน้าไม่น่ามอง
บนใบหน้าของเย่เซ่าเตี๋ยมีรอยยิ้มเย็นชา “คุณหงคนนี้จะเป็นคนที่ออกไปต่อสู้ในนามของยอดฝีมือของตระกูลเย่ของฉัน แต่ว่าถือว่าเป็นข้อแลกเปลี่ยน ฉันจะบัญชาตระกูลเย่ ส่วนเธอ ทำได้เพียงสนับสนุนฉัน ฟังรู้เรื่องแล้วหรือยัง?”
เย่เซ่าเตี๋ยมองเย่หรูอี้ เอ่ยถามขึ้น
บนใบหน้าของเธอมีรอยยิ้มอย่างมั่นใจว่าชัยชนะอยู่ในกำมือ
นี่คือยึดอำนาจมาได้แล้ว
บนใบหน้าของเย่หรูอี้ปรากฏความโมโหอย่างรุนแรง กำลังจะปฏิเสธ
ถังเฉากลับดึงเธอเอาไว้ “ลองฟังดูว่าเธอพูดว่าอย่างไร?”
ด้วยเหตุนี้เย่หรูอี้จึงพูดกับเย่เซ่าเตี๋ยว่า “ขอฟังความคิดเห็นของเธอก่อน”
เย่เซ่าเตี๋ยแย้มยิ้ม เอ่ยว่า “ถ้าคิดจะลอบจู่โจมตระกูลฉิน ที่จริงแล้วง่ายมาก วิธีเดียว สู้แบบเวียนเทียน”
เย่เซ่าเตี๋ยเอ่ยต่อว่า “ฉันสามารถให้ประธานหงใช้อำนาจหน้าที่ในทางที่ไม่ชอบ แอบให้ตระกูลฉินเจอพวกเราตั้งแต่รอบแรกได้ โดนหลาย ๆ รอบจะต้องแตกกระเจิงแน่”
“สู้แบบวงล้อ? เธอรู้ไหมว่าคนที่เป็นตัวแทนตระกูลฉินต่อสู้มีกี่คน?”
หลินชิงเสว่โต้แย้งเป็นคนแรก “นอกจากนี้ สมมุติฐานของพวกคุณเพียงแค่จินตนาการถึงตระกูลฉินตระกูลเดียว ลืมอำนาจอิทธิพลในท้องถิ่นของเมืองเจียงเฉิงแล้วเหรอ? ไม่ว่าจะเป็นตระกูลเซี่ย แล้วยังมีตระกูลลู่ ล้วนแต่เป็นพวกที่ไม่ได้รับมือง่าย ๆ กันทั้งนั้น”
พอถูกคนโต้แย้งเข้า สีหน้าของเย่เซ่าเตี๋ยก็ไม่น่ามองนัก แต่ก็ยังเอ่ยว่า “ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับใครก็ต้องแบ่งกลุ่มก่อนอยู่ดี”
“ถ้าอย่างนั้นก็แบ่งกลุ่มก่อนเถอะ”
นึกไม่ถึงว่าถังเฉาจะเห็นด้วยกับข้อเสนอของเย่เซ่าเตี๋ยไปอีกคน
นี่ทำให้เธอมองเขามากขึ้นหลายรอบ
แบ่งงานกับเรียบร้อยอย่างรวดเร็ว
รอบแรก ตระกูลลั่ว
รอบที่สอง ตระกูลถัง
รอบที่สาม ตระกูลเย่
นอกจากนี้ก็เป็นตระกูลหลินที่มุ่งมั่นที่จะเอาชนะตระกูลหนึ่ง
ลอบโจมตีกันสี่รอบ ตระกูลฉินจะต้องพังแน่
เย่เซ่าเตี๋ยพอใจกับแผนการของตนเองมาก
ถังเฉากลับส่ายศีรษะ ยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ต้องลำบากขนาดนั้น ลองฟังผมหน่อย”
“รอบแรกผมลงมือ รอบที่สองผมลงมือ รอบที่สามก็ยังเป็นผมที่ลงมือ ถ้าหากว่าพวกคุณไม่ระวังเจอผมเข้าก็ยอมแพ้ไปเองเถอะ พวกคุณไม่มีโอกาสหรอก”
“…”
หลังจากที่ถังเฉาพูดจบไปแล้ว ทั่วทั้งห้องทำงานก็เงียบสงัด
ใครก็คิดไม่ถึงว่าถังเฉาจะลุกขึ้นมาต่อต้านเย่เซ่าเตี๋ย แถมคำพูดที่ใช้โต้แย้งยังเหลวไหลเช่นนี้
หลินชิงเสว่ เย่หรูอี้และลั่วเยนอวิ๋นล้วนแต่เคยได้เห็นถังเฉาลงมือ ไม่ได้คิดว่าถังเฉากำลังคุยโว ทั้งยังมีความมั่นใจมากจริง ๆ
แต่เย่เซ่าเตี๋ยไม่รู้นี่ ถึงขั้นโกรธแต่ก็หัวเราะออกมาในความน่าขัน “นายเป็นแค่ลูกเขยแต่งเข้าบ้านตระกูลหลินคนหนึ่ง ให้นายนั่งฟังอยู่ข้างที่นี่ก็ถือว่ารักษาหน้ามากแล้ว ใครเอาความกล้าให้นาย กล้าพูดจาอวดดี?”
สัมผัสได้ถึงความโกรธในคำพูดของเย่เซ่าเตี๋ย ถังหลินก็ฉวยโอกาสเอ่ยว่า “คุณเย่ครับ เขาอยู่ที่นี่ก็เกะกะมากเกินไปจริง ๆ หรือไม่ เอาเขาโยนออกไปเถอะครับ”
เย่เซ่าเตี๋ยพยักหน้า มองไปยังเย่หรูอี้ “พวกเธอสมรู้ร่วมคิดกันเป็นการส่วนตัวแล้วจริง ๆ เขามีคุณสมบัติที่จะมาเป็นผู้แข็งแกร่งของตระกูลเย่ของฉันที่ไหนกัน? รีบให้เขาออกไป ไม่อย่างนั้นรอฉันขับไล่ด้วยตัวเอง ก็คงไม่ใช่แค่ไล่เขาออกไปง่าย ๆ แล้ว”
เดิมทีคิดว่าเย่หรูอี้จะกลัว แต่คิดไม่ถึงว่าเย่หรูอี้จะไม่มีสีหน้าหวาดกลัวใด ๆ
แม้แต่หลินชิงเสว่ภรรยาของถังเฉาก็ล้วนมีสีหน้าเรียบเฉย
สีหน้าของเย่เซ่าเตี๋ยครึ้มลง “ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ก็อย่ามาโทษว่าฉันไม่เกรงใจซะล่ะ!”
“ไม่จำเป็นต้องให้คุณเย่กับปรมาจารย์หงต้องลงมือหรอกครับ ผู้แข็งแกร่งของตระกูลถังของผมก็เพียงพอที่จะจัดการเขาแล้วล่ะ”
ในดวงตาของถังหลินระเบิดความเย็นเยียบเฉียบคมออกมา เขาอยากจะลงมือกับถังเฉามาตั้งแต่แรกแล้ว
เพิ่งจะสิ้นเสียง เงาร่างห้าสายที่อยู่ด้านหลังของถังหลินก็ขยับแล้ว
แต่พวกเขาไม่ได้ลงมือพร้อมกันห้าคน เพียงออกมาแค่คนเดียว
รูปร่างที่สูงใหญ่ กล้ามเนื้อที่กำยำล่ำสัน แค่ดูก็รู้ว่าใครแข็งแกร่งใครอ่อนแอ
ป้าบ!
เขายื่นมือออกมาข้างหนึ่ง ตกอยู่บนบ่าของถังเฉา
ไม่พอ เขายังไม่ได้ออกแรง เขาหวังว่าถังเฉาจะจากไปเอง เช่นนี้เขาก็จะไม่ต้องลงมือแล้ว
ทว่าถังเฉายังคงดื่มชาอย่างมีชีวิตชีวา ถึงขั้นที่แม้แต่จะมองก็ยังไม่มองคนคนนั้นสักแวบ
“ให้เวลาคุณสามวินาที เอามือสกปรกของคุณออกไปจากบ่าของผม”
“รนหาที่ตาย!”
พอคำนี้ลั่นออกมา มือของชายร่างใหญ่ที่อยู่บนบ่าของถังเฉาก็ออกแรงทันที
กร๊อบ!
ได้ยินเพียงเสียงกระดูกหักดังกังวานหนึ่งเสียง มือที่กำลังประคองถ้วยชาข้างนั้นของถังเฉาไม่รู้ว่าวางลงตอนไหน กำลังจับอยู่ที่ข้อมือของชายกำยำแน่น
และข้อมือของชายกำยำนั้นหักลงเก้าสิบองศาไปแล้ว สามารถมองเห็นกระดูกหนา ๆ สีขาวได้อย่างเลือนราง