“แค็ก ๆ……”
“ไอ้บัดซบถังเฉา…….”
ช่วงเวลานั้น หลินอิ่นที่ตกลงมาจากชั้นสี่แต่ไม่ตาย เจ็บปวดอย่างสุดทนสักพัก สองขาก็หมดความรู้สึก ขยับเองไม่ได้
คนผ่านไปมารอบบริเวณมองดูอย่างเสียวสยอง หยุดยืนดูกันงง ๆ
ตึง!ตึง!ตึง!
ขณะนั้นเอง เสียงก้าวเท้าหนัก ๆ แว่วเบา ๆ มาจากในอพาร์ทเม้นท์ เสียงนั้นเหมือนกับไปย่ำลงบนหัวใจของหลินอิ่น ทำเอาเขาสะดุ้งอย่างแรง พยายามเอาแขนพยุงตัวไว้ ร้องขอความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง
“ช่วยด้วย มีคนจะฆ่าผม ช่วยผมด้วย……”
ใบหน้าที่เปื้อนเต็มด้วยเลือด พยายามใช้มือสองข้างตะกาย ร้องขอความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง
ฉากที่คลุ้งด้วยกลิ่นคาวเลือด ทำเอาคนที่มุงดูอยู่เสียวสยอง อีกทั้งอพาร์ทเม้นท์นี้คนที่พักจะเป็นผู้หญิงโสดเป็นส่วนใหญ่ พวกหล่อนได้แต่กรีดร้องแล้ววิ่งหนีจากไป
“เดี๋ยวครับ อย่าเพิ่งไป……”
หลินอิ่นพยายามยื่นมือ แต่ไม่มีใครจะเข้าไปช่วยเขา
“ไม่มีใครจะช่วยแกหรอก”
เสียงถังเฉาแว่วมา ไม่รู้ถังเฉามายืนอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไร หลินอิ่นสะดุ้งสั่นไปทั้งตัว สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
เขาพลิกตัวกลับ เห็นรูปร่างถังเฉาในตอนนี้ดูสูงใหญ่มาก ยืนตระหง่านบดบังดวงอาทิตย์ไปหมด แสงของดวงอาทิตย์กระจายออกรอบตัวถังเฉา เหลือเป็นเงาดำคลุมลงมา
เห็นแต่ดวงตาคู่หนึ่ง สุดแสนจะหนาวเยือก
“แก…..แกกล้าฆ่าฉันเหรอ!”
หลินอิ่นแผดเสียงร้องด้วยความกลัว สองแขนดันพื้น กระเถิบตัวถอยกรูดอย่างทุลักทุเล
ถังเฉามองด้วยแววตาเย็นชา พูดด้วยน้ำเสียงไม่สทกสท้าน “ข้าบอกแล้วงัย ถ้าแกกระโดดลงไปเอง ก็อาจจะมีทางรอด ถ้าอยู่ในมือฉันละก็ฉันก็จะหักคอแก นี่แกก็กระโดดลงมาเองแล้ว ฉันก็ไม่ต้องลงมือกับแก”
ได้ยินอย่างนี้แล้ว หลินอิ่นกลับรู้สึกอึ้งทันที ไม่รู้ว่าที่พูดนั้นจริงเท็จแค่ไหน แต่ก็ทำให้พูดอะไรไม่ถูก
และในทันทีนั้นเองถังเฉาก็ทำหน้าเย้ยเหยียดขึ้นมา “แต่ทว่าการคิดหวังเอาซื่อเหอย่วน แล้วทำเรื่องโง่ ๆ แบบนี้ได้ คงไม่ใช่ความคิดของแกคนเดียวมั้ง?ใช่เว่ยหมิงจวินบอกให้แกทำอย่างนี้ใช่มั้ย?”
นัยน์ตาของหลินอิ่นพลันสลดลง ไม่ยอมพูดอะไร
แต่ทว่า การแสดงออกของเขาก็เป็นการขายตัวเขาเองออกมาแล้ว ถังเฉาขยายความเองได้เลยว่าคนที่อยู่เบื้องหลัง ก็คือเว่ยหมิงจวิน
หลินชิงเสว่ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ หน้าขึ้นเครียดขึ้นมาสุด ๆ หล่อนก็ได้ทำตามข้อตกลงแล้ว ยอมออกจากตระกุลหลิน เว่ยหมิงจวินก็ยังไม่ยอมปล่อยหล่อนอีก
“ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว ก็กลับไปตระกูลหลินใหม่กันดีกว่า”
ถังเฉาพูดเยือกเย็นแบบดูไม่ออกว่าเป็นอารมณ์ไหน
“ไปทำอะไรที่ตระกูลหลิน?”
พลันหลินชิงเสว่อึดอัดขึ้นมาในใจ
ถังเฉาแสยะยิ้มแฝงด้วยความเหี้ยม พูดสั้น ๆ เพียงสามคำ
“ทวงเหตุผล”
ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ถังเฉาไม่ได้บอก นั้นก็คือจะไปเจอหลินโป๋หลายสักหน่อย
ถังเฉาคว้าลากเอาหลินอิ่นขึ้นมา ไม่สนใจว่าเขานั้นขาหักกระดูกแตก จับโยนขึ้นไว้บนกระบะหลัง มุ่งหน้าไปยังตระกูลหลิน
พวกเขาไม่ได้สังเกต บนท้องฟ้าที่ไม่ได้ไกลออกไปมากนัก มีเครื่องบิระหว่างประเทศลำหนึ่งกำลังค่อย ๆ ร่อนลง
สองชายหนึ่งหญิงค่อย ๆ ลงจากเครื่องบิน
ถ้าถังเฉาอยู่ที่นี่ ก็จะพบว่า พวกเขาคือหลินรั่วหวี ค้างคาว และเฟิ่งหวง
หลินรั่วหวีหลังลงจากเครื่องบิน ก็ไม่ได้ไปกับสองคนที่กล่าวถึงตอนหลัง แต่หยุดยืนเฉย
เฟิ่งหวงกับค้างคาวหันกลับไปมองอย่างข้องใจ สีหน้าบ่งบอกถึงความสงสัย
หลินรั่วหวีพูดเสียงเรียบ ๆ “ผมกับพวกคุณไม่ได้ไปทางเดียวกัน พวกคุณไปตามสบายของพวกคุณก่อน ผมจะกลับไปที่ตระกูลหลินหน่อย”
ค้างคาวมองพิเคราะห์หลินรั่วหวีด้วยสายตาหนาวเยือก ไม่พูดไม่จา เดินหายไปในฝูงคนอย่างรวดเร็ว
เฟิ่งหวงยังคงไม่จากไป คงยังเพ่งมองเขาอย่างข้องใจ
“เขามาที่เยี่ยนจิงนี่แล้ว”
หลินรั่วหวีมองไปที่หล่อน แล้วพูดเบา ๆ
ฉับพลันนั้น เฟิ่งหวงสท้านขึ้นทั้งตัว สีหน้าเกิดการเปลี่ยนไปอย่างมาก
……
ในเวลาขณะเดียวกันนั้น ณ.ที่หย่วนหยางกรุ๊ปตระกูลเย่
เย่เซ่าเตี๋ยกลับมาที่นี่คนเดียว ไม่เห็นมีหลู่เหมิงมาด้วย
คงไม่ยากจะเดาได้ หล่อนคงถูกเย่เซ่าเตี๋ยสั่งคนจัดการไปแล้ว
เกิดมาในตระกูลหลวงตระกูลเย่ เลือดเย็นเป็นจิตใจ เกือบแทบทุกคนล้วนเคยมีพฤติกรรมแบบนี้ เย่เซ่าเตี๋ยยิ่งหนักเข้าไปอีก
มาถึงชั้นล่างของหย่วนหยางกรุ๊ป บนใบหน้าเย่เซ่าเตี๋ยเปลี่ยนตามเป็นรอยยิ้มมาตรฐาน ก้าวเดินเข้าไปอย่างมาดเข้ม
ลิฟท์ได้พาส่งขึ้นไปข้างบน เย่เซ่าเตี๋ยเดินตรงเข้าไปที่ห้องทำงานส่วนตัว ปรากฏพบอาคันตุกะแปลกหน้าเพิ่มมาอยู่ในห้องคนหนึ่ง
เขาผู้นั้นแต่งกายเรียบง่าย ที่สวมใส่เป็นเสื้อเชิ้ตสีขาว แต่กลับทำให้ดูมาดลุ่มลึกได้ในความรู้สึก
ในมือเป็นหนังสือ “เศรษฐกิจกับการตลาด” เล่มหนาปึก นั่งอ่านอย่างติดพัน
เอกสารและหนังสือสัญญาที่อยู่บนโต๊ะทำงาน ดูตามสภาพ มีร่องรอยที่ได้ถูกชายผู้นี้รื้อค้น
ชายคนนั้นเห็นแล้วกับการกลับเข้ามาของเย่เซ่าเตี๋ย แต่เขายังคงทำไม่รู้ไม่ชี้ นั่งอ่านหนังสือต่อไป
เย่เซ่าเตี๋ยสายตาถมึงทื่อมองอยู่พักใหญ่ ตามด้วยสีหน้าโกรธเป็นไฟ
กระแทกรองเท้าส้นสูงเดินตึง ๆ เข้าไปหา มือจับคว้ากระชากหนังสือ“เศรษฐกิจกับการตลาด” ออกจากมือเขา พูดอย่างเกรี้ยวกราดว่า “เย่จงเวิ่น ใครอนุญาตให้แกเข้ามา?ออกไปให้พ้นเดี๋ยวนี้เลย!”
ผู้ชายในเสื้อเชิ้ตขาวนั้นก็คือ ‘หนึ่งมังกร’ ในหนึ่งมังกรสองหงส์แห่งตระกูลเย่ เย่จงเวิ่นนั่นเอง
ทว่า แม้หนังสือในมือถูกกระชากดึงไป แถมยังถูกตะเพิดไล่ เย่จงเวิ่นก็ไม่ออกอาการโกรธโมโหแต่อย่างใด กลับหัวเราะออกมาอย่างเรียบ ๆ
“ผมจะมาที่นี่ ยังต้องรอให้ใครอนุญาตอีกเหรอ?ใครกล้าขัดขวาง?”
เย่เซ่าเตี๋ยถึงกับสะอึกขึ้นมาทันที ตามด้วยเส้นเอ็นปูดโปนขึ้นบนหน้าผาก ปานว่าจะแตกให้ได้
เย่จงเวิ่นพูดถูก เป็นถึงมังกรตัวจริงของตระกูลเย่ ใครกล้าไปห้าม?
แม้ตัวหล่อนเอง เย่เซ่าเตี๋ย ก็ยังห้ามไม่ได้เลย
แต่ทว่า หล่อนไม่พอใจเอาอย่างมากในท่าทีวางมาดอยู่เหนือบนที่สูงของเย่จงเวิ่น ทำอะไรเอาตามอำเภอใจ
สูดหายใจเข้าลึก ๆ เย่เซ่าเตี๋ยจึงพูดน้ำเสียงห้วน ๆ ว่า “เย่จงเวิ่น จะให้ดีคุณควรพิจารนาทำความเข้าใจให้ดีนะว่า ณ.เวลานี้ที่อยู่ในอำนาจบริหารหย่วนหยางกรุ๊ปนั้นคือฉัน”
เย่จงเวิ่นยิ้มเรียบ ๆ “ใช่แล้วเป็นงัย?ต่อให้ฉันไม่มีธุรกิจอะไรเลยภายในประเทศ ไอ้ประธานหย่วนหยางกรุ๊ปของคุณนี่กับมูลค่าทรัพย์สินของคุณทั้งหมดรวมกัน ยังไม่ได้ครึ่งหนึ่งของฉันเลย”
“น้องสาว เห็นแก่ว่าเธอเป็นลูกพี่ลูกน้องกับฉันนะ ฉันถึงได้ให้เกียรติกัน ถ้าคนทั่วไปรึ มันคงไม่คุ้มที่ฉันต้องมาเสียเวลาด้วยหรอก”
เย่จงเวิ่นค่อย ๆ ยืนขึ้น ก้าวเข้าไปยืนข้างหน้าเย่เซ่าเตี๋ย มองจากที่สูงลงไปหาหล่อน
ฉับพลันนั้น เย่เซ่าเตี๋ยถูกข่มจนสะดุ้ง ทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาอย่างเสียไม่ได้ มองหน้าเขาอย่างตื่นกลัว
“เอาหละ ที่ฉันมาหาเธอนี่ มีเรื่องเป็นงานธุระนะ”
เย่จงเวิ่นใส่อารมณ์ไปแล้วก็เก็บหยุด บนใบหน้ายังคงยิ้มเรียบ ๆ
“มี เออ มีอะไรที่ว่าเป็นธุระหรือ?”
เย่เซ่าเตี๋ยพยายามข่มอารมณ์ตัวเองให้อยู่ในอาการสงบ
เย่จงเวิ่นแค่นหัวเราะ ควักเอารูปถ่ายออกมาช้า ๆ วางไว้ข้างหน้าเย่เซ่าเตี๋ย
“นี่คือ………”
เย่เซ่าเตี๋ยสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ในภาพถ่ายนั้น เป็นเด็กผู้หญิงกะโปโลคนหนึ่ง
หน้าตามอมแมม เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งซอมซ่อ ที่ใบหน้าออกแดงช้ำเหมือนโดนตบ
แต่แววตาคู่นั้น กลับทำให้เย่เซ่าเตี๋ยรู้สึกเสียวเงือก
หนาว
หนาวเยือกมาก ๆ
ยากจะมีในจินตนาการ ว่าจะมีเด็กสาวเล็ก ๆ มีแววตาที่เสียดแทงเข้ากระดูกได้ปานนี้
“รู้ว่าเธอเป็นใครมั้ย?”
บนใบหน้าเย่จงเวิ่นปรากฏรอยยิ้มเย็นเหี้ยม
“หล่อนคือ……”
เย่เซ่าเตี๋ยหัวใจเต้นรุนแรง พูดเสียงสั่นว่า
“เย่หรูอี้ตอนเด็ก ๆ!”