วันนี้ที่เยี่ยนจิง ถูกครอบครองไปด้วยสองข่าวใหญ่ อีกทั้งสองข่าวใหญ่นี้ล้วนมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลถัง
ข่าวแรก ผู้นำตระกูลถังได้ส่งทอดตำแหน่งผู้นำ ให้กับถังฮันเจี๋ย ด้วยเหตุนี้ถังฮันเจี๋ยจึงได้กลายเป็นผู้นำที่อายุน้อยที่สุดในทั้งเก้าตระกูลใหญ่
ข่าวที่สอง ก็คือข่าวที่เกี่ยวกับด้านธุรกิจ
ทรัพยากรและสายสัมพันธ์ทางธุรกิจของตระกูลถัง ล้วนได้ถ่ายทอดให้กับตระกูลหลายๆตระกูลที่เพิ่มเข้ามาในเมืองเยี่ยนจิง
แบ่งเป็นตระกูลต่ง ตระกูลซุน ตระกูลจ้าว ของเมืองหมิงจู และตระกูลเซี่ย ตระกูลหูของเมืองเจียงเฉิง
สำหรับเรื่องที่ตระกูลถังทำไมถึงทำแบบนี้ ไม่มีใครสามารถที่จะเดาออกว่าตระกูลถังคิดจะมาไม้ไหนกันแน่
อย่างไรเสีย ตระกูลเหล่านี้อยู่ในเมืองของตัวเองนั้นถือได้ว่าเป็นตระกูลอันดับหนึ่งอันดับสองที่มีทั้งเงินและอิทธิพล แต่เมื่อมาอยู่ที่เยี่ยนจิง แม้แต่ตระกูลระดับสองยังเทียบไม่ติด
แต่ว่า มีการช่วยเหลือของตระกูลถัง ฐานะของตระกูลเหล่านี้ก็เปลี่ยนไปทันที ได้กลายเป็นตระกูลแถวหน้าของเยี่ยนจิง
มีคนพูดว่าตระกูลถังนั้นต้องการเพิ่มเครือข่าย แต่ด้วยความน่าสนใจของตระกูลถัง ถ้าหากต้องการเพิ่มเครือข่าย มีตระกูลมากมายที่อยู่แถวหน้าของเยี่ยนจิงต่างแย่งกันอย่างสุดชีวิต เพื่อจะมาเป็นเครือข่ายของตระกูลถัง ทำไมต้องใช้ทรัพยากรทั้งหมด ไปสนับสนุนตระกูลเหล่านั้นด้วยล่ะ?
อาคากั๋วจิน ผู้คนไปๆมาๆ
คนที่สามารถเข้าออกที่นี่ หากไม่ใช่เศรษฐีผู้มั่งคั่ง ก็คือนักวิเคราะห์ที่สำคัญที่วิจัยเรื่องการเงินในเยี่ยนจิง พวกเขากำลังวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจของเมืองโบราณเยี่ยนจิงอยู่ตลอดเวลา
ว่ากันว่าในทุกหนึ่งชั่วโมง เงินทุนหมุนเวียนในอาคารกั๋วจี้มีมากกว่าหมื่นล้าน
อีกทั้งยังเป็นเงินดอลลาร์อีกด้วย
แม้แต่ในนานาชาติ ก็ยังมีสถานที่เช่นนี้
ประตูหมุนคริสทัลหมุนด้วยความเร็วที่คงที่ ผู้ชายสี่คนกับผู้หญิงคนหนึ่งเดินออกมาจากประตูหมุนอย่างกระฉับกระเฉง
พวกเขาทั้งหมดต่างสวมสูทระดับไฮเอนด์ ดูสวยงามหรูหรา
เป็นคนของตระกูลต่ง ตระกูลซุน ตระกูลจ้าว ตระกูลเชี่ย ทั้งห้าตระกูลใหญ่ที่เพิ่งเข้ามาในเยี่ยนจิงเมื่อสองสามวันก่อน
“คิดไม่ถึงเลยจริงๆ วันหนึ่งฉันเซี่ยสิงจู๋จะสามารถมาตั้งหลักในเยี่ยนจิงได้”
เซี่ยสิงจู๋สูดอากาศที่บริสุทธิ์สูดเข้าปอดอย่างลึกๆ แล้วพูดออกมาจากใจ
จ้าวเย็นหรานที่สวมชุดสูทสีขาวทั้งร่าง ริมฝีปากถูกทาไว้ด้วยลิปสติกสีแดงที่สดใส ยิ้มแห้งๆแล้วกล่าว “ฉันก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน แต่ว่าคนเราต้องมีความฝัน ความฝันของฉันก็คือสามารถมายืนอยู่ในเยี่ยนจิงอย่างมั่นคง โชคดีที่มันเป็นจริงแล้ว”
“ทั้งหมดนี้ล้วนต้องพึ่งคุณถัง มิเช่นนั้นตอนนี้เราก็ยังคงหดหัวอยู่ในเมืองของตัวเอง เป็นเศรษฐีบ้านนอกอยู่”
ต่งวี่ซู่ที่มีความสามารถโดดเด่นและหน้าตาหล่อเหลา ใบหน้ากลับแฝงไปด้วยรอยยิ้มที่ภาคภูมิใจ
หูอีซานแม้จะไม่พูด แต่ว่ารอยยิ้มบนใบหน้าของเขา ก็ได้แสดงอารมณ์ความรู้สึกในเวลานี้ออกมาแล้ว
ซุนยู่เฟิงเสนอ “งั้นเรามาหาสถานที่ฉลองกันหน่อยมั้ย เพื่อเป็นการขอบคุณที่คุณถังให้ความช่วยเหลือเราในช่วงเวลานี้”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนต่างก็เห็นด้วย
“เรื่องนี้เป็นสิ่งที่จำเป็น”
“คุณจ้าว คุณโทรไปเชิญคุณถังหน่อย”
เชี่ยสิงจู๋ยิ้มมองไปที่จ้าวเย็นหราน แล้วกล่าว
จ้าวเย็นหรานพยักหน้า แล้วก็โทรไปหาถังเฉาทันที
“คุณถังใช่มั้ยคะ?”
จ้าวเย็นหรานยิ้มถาม
เสียงที่เรียบเฉยของถังเฉาดังมาจากปลายสาย “มีธุระหรือ?”
จ้าวเย็นหรานยิ้มๆ แล้วพูด “พวกเราทั้งห้าตระกูล ได้กลายเป็นตระกูลแถวหน้าอย่างเป็นทางการแล้ว อยากจะจัดงานเลี้ยงเล็กๆเพื่อฉลองกัน และเพื่อขอบคุณคุณถังที่ดูแลปลูกฝังและให้ความช่วยเหลือพวกเรา”
หูอีซานพูดเสริมอยู่ข้างๆ “สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ เราก็ไม่ได้เจอคุณถังมานานแล้ว”
ถังเฉานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ตกลง
“ได้”
จ้าวเย็นหรานดีใจอย่างมาก จากนั้นก็แจ้งที่อยู่ให้กับเขา
“หกโมงเย็น ที่สโมสรเก้ามังกร ไม่เจอไม่กลับนะคะ”
อีกฝั่งหนึ่ง ถังเฉาที่วางสายแล้ว ก็หันหน้าไปมองเย่หรูอี้ แล้วพูด “ค่ำนี้ผมจะไปที่สโมสรเก้ามังกร”
“อืม”
เย่หรูอี้ตอบเขาโดยที่ไม่เงยหน้าขึ้นเลย ยังคงคัดใบชาอย่างจริงจัง
ข้างๆมีกาต้มชาลายครามที่สวยงามตั้งอยู่บนเตา ค่อยๆต้มด้วยไฟอ่อนๆ เมื่อมันเดือดได้ที่ก็ส่งเสียง “อี๊ๆ”
น้ำเดือดแล้ว
เย่หรูอี้ยืนขึ้นอีกครั้ง เพื่อไปกรองน้ำกลั่น
เธอไม่ได้สวมยูนิฟอร์ม แต่สวมชุดกี่เพ้าสีม่วงที่ผ่าสูง ต้นขาเนียนสวยที่ผลุบๆโผล่ๆ ดึงดูดให้คนคิดจินตนาการ
นี่แหละคือเสน่ห์ของกี่เพ้า
เย่หรูอี้เหมาะกับการสวมกี่เพ้าอย่างมาก ราวกับว่ามันถูกตัดมาเพื่อเธอโดยเฉพาะ ดูมีเสน่ห์แพรวพราว
เธอใส่ใบชาลงไปในชา กลิ่นชาที่หอมกรุ่นก็โชยออกมาในทันที
“ดื่มสักแก้วแล้วค่อยไป”
เย่หรูอี้ยกที่ถือเก้าชาไว้ ยื่นไปตรงหน้าของถังเฉา
ถังเฉากลับไม่ขยับ สายตาจับจ้องอยู่ที่เย่หรูอี้
เมื่อสังเกตเห็นสายตาของเขา ใบหน้าที่เย็นชาของเย่หรูอี้ก็ปรากฏขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“ทำไม? กลัวฉันใส่ยาพิษเหรอ?”
เธอพูดอย่างเยาะเย้ย
ถังเฉาส่ายหัว “เพียงแค่รู้สึกว่าเวลามันช่างผ่านไปเร็วนัก”
“……”
เย่หรูอี้กลับตกอยู่ในความเงียบ
มันก็จริง เป็นเวลานานที่นานมากแล้วที่เธอออกมาจากเมืองหมิงจู เพื่อมาที่เยี่ยนจิง
ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา เธอก็ไม่ได้สวมชุดกี่เพ้าอีก และเปลี่ยนชื่อจากซ่งหรูอี้มาเป็นเย่หรูอี้
แต่สิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนเลย ก็คือความทะเยอทะยานในใจเธอ
“คุณสามารถทำกับฉันเหมือนฉันที่เป็นซ่งหรูอี้คนก่อน”
หลังจากนิ่งไปครู่ใหญ่ จู่ๆเย่หรูอี้ก็พูดขึ้นมา
เมื่อได้ยินสิ่งที่เธอพูด ถังเฉาก็ผงะไปครู่หนึ่ง จากนั้นสีหน้าก็กลับสู่ความเรียบเฉย แล้วเขาก็จิบชาไปหนึ่งคำ
“แต่ว่าผมไม่ใช่ถังเฉาคนเก่าแล้ว”
“……”
สองชั่วโมงก่อนหน้านั้น เขามาที่ห้องทำงานของเย่หรูอี้ ทั้งสองคนเปิดใจพูดคุยกันเหมือนเพื่อนเก่า
“ฉันไม่เคยคิดว่าคุณจะมาหาฉัน”
เย่หรูอี้เองก็จิบชาไปหนึ่งคำ กล่าวอย่างอ่อนโยน “ฉันก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่ไม่รู้จักยางอาย สู้ได้ฉันก็สู้ สู้ไม่ได้ฉันก็ปล่อยมัน ฉันคิดว่าตอนที่ฉันเห็นคุณแล้วฉันจะสามารถทำใจให้เป็นปกติได้ จนกระทั่งคุณมานั่งอยู่ตรงหน้าฉันแล้ว ฉันเพิ่งรู้ว่า ฉันยังลืมคุณไม่ได้”
“แต่คุณไม่กลัวจะถูกหลินชิงเสว่รู้เข้าเหรอ ที่คุณมาพูดเรื่องในใจกับอดีตภรรยาอย่างฉัน?”
พูดจบ เธอก็ได้ใช้สายตาอันฉลาดหลักแหลมของเธอมองสำรวจแววตาของถังเฉา
ถังเฉาไม่ได้หลบเลี่ยง สายตาชัดเจน “ก็เพราะว่าเมื่อห้าปีก่อนเราเกือบจะได้เป็นสามีภรรยากัน ดังนั้นคุณสำหรับผมแล้ว ก็คือคนพิเศษคนหนึ่ง คุณเข้าใจผม”
เย่หรูอี้พยักหน้า พูดย้ำ “ใช่ ซ่งหรูอี้เข้าใจคุณ”
“คุณก็คือซ่งหรูอี้”
“ซ่งหรูอี้คืออดีตไปแล้ว เวลาที่เราอยู่ด้วยกันตามลำพัง ฉันถึงจะเป็นซ่งหรูอี้”
“……”
“คุณมองทะลุการแสแสร้งแกล้งทำของฉัน เคยเห็นด้านที่อ่อนแอของฉัน ฉันก็มีความเห็นอกเห็นใจคุณ มุมมองชีวิตของเรามันเข้ากันได้ แต่ว่าทำไมเราถึงไม่ได้อยู่ด้วยกันล่ะ?”
เย่หรูอี้ก็ถามขึ้น
“คุณหายตัวไปห้าปีแล้ว แต่ในใจของคุณจำได้เพียงผู้หญิงที่คุณทำร้ายอย่างหนักในคืนนั้นเท่านั้น กลับลืมคนที่รอคอยคุณมาโดยตลอด ผู้หญิงคนนี้ที่ใจคอโหดเหี้ยมที่จะกลายเป็นภรรยาคุณในไม่ช้า”
คำพูดของเย่หรูอี้แฝงไว้ด้วยความเย้ยหยัน
เย้ยหยันถังเฉา และก็เย้ยหยันตัวเอง
“ถังเฉา คุณไม่เพียงแต่ทำผิดต่อหลินชิงเสว่ ยังผิดต่อฉันด้วย”
เย่หรูอี้ดื่มชาที่อยู่ในแก้วหมดในคราเดียว ราวกับว่าในแก้วไม่ใช่ชา แต่เป็นเหล้า
“ฉันเป็นคนที่เชื่อในโชคชะตา ก็ไม่รู้ว่าชาติที่แล้วฉันบำเพ็ญเพียรมามากขนาดไหน มันจึงทำให้ฉันได้มาเดินอยู่บนโลกใบนี้ เดิมเราทั้งสองคนคุณควรเดินในเส้นทางที่สดใสของคุณส่วนฉันก็ควรที่จะเดินในเส้นทางที่ยากลำบากของฉัน แต่เพราะความแค้นของเรายังไม่สิ้นสุด สายสัมพันธ์ยังตัดไม่ขาด มันถึงเกือบจะทำให้เรากลายเป็นสามีภรรยากัน แล้วก็ทำให้เรากลายมาเป็นศัตรู ดังนั้นฉันจึงเกลียดหลินชิงเสว่ เธอแย่งทุกอย่างไปจากฉัน
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ดวงตาของเย่หรูอี้แดงขึ้นมาแล้ว แต่เธอกลับมองไปที่ถังเฉาแล้วยิ้ม
“แต่มีสิ่งหนึ่งที่ฉันมั่นใจอย่างมาก ฉันสามารถฆ่าคุณได้ และก็ยินดีที่จะรับมีดรับกระสุนแทนคุณ โดยที่หลินชิงเสว่ไม่กล้า”
ถังเฉาตกตะลึงไปกับคำพูดของเย่หรูอี้ และทันใดนั้นเขาก็ไม่กล้าสบตาของเย่หรูอี้โดยตรง
เขาก็เข้าใจในทันที วิธีแสดงความรักของทุกคนนั้นไม่เหมือนกัน เขาเป็นประเภทที่ชดเชย หลินชิงเสว่เป็นประเภทให้
และเย่หรูอี้เป็นพวกที่ทำร้ายอีกฝ่ายอย่างหนัก หรือถูกทำร้ายอย่างหนัก ก็ไม่ยอมจะเป็นคนที่ถูกลืม
สายตาของถังเฉาก็เศร้าไปในทันที ลูกกระเดือกขยับไปหนึ่งที เหมือนมีคำพูดมากมายที่อยากจะพูด
เมื่อคำพูดมาถึงริมฝีปากก็มีเพียงคำ “ขอโทษ” คำเดียว
เย่หรูอี้ส่ายหัว “คุณไม่ต้องขอโทษ ฉันไม่ได้เกลียดคุณเลย”
ถังเฉาโค้งคำนับให้เย่หรูอี้จากใจจริง จากนั้นหันหลัง คิดจะเดินออกไปจากห้องทำงาน
“ถังเฉา”
เย่หรูอี้ที่อยู่ด้านหลังตะโกนเรียกด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง
ถังเฉาหยุดฝีเท้าลง หันหน้ามองไป
ก็พบว่าผู้หญิงที่ใจคอโหดเหี้ยมที่ผู้คนต่างเกรงกลัว ใบหน้ากลับไหลเต็มไปด้วยน้ำตา
“งานแต่งของฉัน คุณจะมาใช่มั้ย?”
เธอหยิบการ์ดเชิญที่ประณีตสวยงามใบหนึ่ง ยื่นไปตรงหน้าของถังเฉา
โครม!
ทันใดนั้น มันเหมือนกับสายฟ้าที่อยู่บนท้องฟ้าสีคราม ให้ฟาดลงมาที่หัวของถังเฉาอย่างแรง
หัวใจของสั่นอย่างรุนแรง
เมื่อรับมาเปิดดู เห็นเพียงตัวอักษรที่แสบตาไม่กี่ตัวที่อยู่บนการ์ดเชิญสีแดงสด
“เจ้าบ่าว ถังหลิน
เจ้าสาว เย่หรูอี้”
เมื่อเห็นตัวหนังสือเหล่านี้ ถังเฉาถึงจะนึกขึ้นได้ เย่หรูอี้กับถังหลินของตระกูลถัง ได้หมั้นหมายกันนานแล้ว
เพียงแต่เย่หรูอี้ยืดเยื้อมาโดยตลอด ตอนนี้ ในที่สุดก็ยืดเยื้อต่อไปไม่ได้แล้ว
“อวยพรให้ฉันมีความสุข,
เย่หรูอี้ที่น้ำตาเต็มหน้าก็ยิ้มขึ้นมา
“……”
ถังเฉาอ้าปากเล็กน้อย อยากที่จะพูดคำอวยพรอย่างมาก แต่ในลำคอเหมือนมีก้างปลาติดอยู่ ไม่ว่ายังไงมันก็พูดไม่ออก
ถังเฉาเดินออกไปอย่างห่อเหี่ยว
เป็นครั้งแรก ที่รู้สึกว่าหัวใจของตัวเองเหมือนถูกควักไปหนึ่งชิ้น
ลิฟต์ได้ลงไปเรื่อยๆ ถังเฉาหายใจเข้าลึกๆ ราวกับว่ามีเพียงการทำแบบนี้ ถึงจะทำให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
ติ๊งตอง
ประตูลิฟต์เปิดแล้ว ชายหนุ่มรูปงามเดินเข้ามาพร้อมดอกกุหลาบในมือ
สี่ตาประสานกันในทันที สายตาของถังเฉาเต็มไปด้วยแรงอาฆาตนานแล้ว
ใบหน้าของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “ถังเฉา นายทำไมถึงอยู่ตรงนี้?”
เมื่อถามเสร็จ เขาก็เข้าใจอะไรบางอย่างในทันที และทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็มืดมนจนเหมือนจะสามารถบีบน้ำออกได้
“นายเพิ่งออกมาจากห้องของหรูอี้? พวกนายทำอะไรกัน?”
คู่หมั้นของตัวเอง ที่มีความสัมพันธ์กับชายคนอื่นอย่างไม่ชัดเจน เรื่องนี้ถังหลินรู้นานแล้ว เพียงแต่ได้อดทนมาโดยตลอด คิดไม่ถึง ในไม่ช้าเขากับเย่หรูอี้ก็จะเข้าพิธีแต่งงานกันแล้ว ทั้งสองคนยังติดต่อกันอย่างใกล้ชิด
ในชั่วขณะ ถังหลินรู้สึกว่าตัวเองเหมือนถูกสวมเขา
“หลีกไป”
ถังเฉาเอ่ยปากอย่างเฉยชา น้ำเสียงที่เฉยเมยไร้ซึ่งความรู้สึก
ทันใดนั้น แรงอาฆาตที่รุนแรงก็ถาโถมเข้ามา ทำให้ถังหลินตกใจจนดอกไม้ในมือหล่นลงบนพื้น
แต่ครั้งนี้เขาไม่กลัว และได้คำรามไปทางถังเฉา
“ไอ้หนุ่ม หากแกกล้าที่จะเข้าใกล้คู่หมั้นของฉันอีก ฉันจะทำให้แกตายทั้งเป็น!”
แต่ว่า ถังเฉาได้เดินไปไกลแล้ว
ถังหลินจึงปรับสภาพอารมณ์ให้เป็นปกติ แล้วเดินเข้าไปในลิฟต์
ชั้นบนสุดของอาคาร เย่หรูอี้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่างบานใหญ่ มองอย่างเฉยเมย
การเผชิญหน้ากันระหว่างถังหลินกับถังเฉา เธอมองเห็นอย่างชัดเจน
รู้ว่าถังหลินจะมาถึงในไม่ช้านี้แล้ว แววตาของเย่หรูอี้ดุร้าย ใช้สองมือไปดึงเสื้อผ้าที่อยู่บนตัวอย่างแรง
ฉึก……
ทันใดนั้น เย่หรูอี้ก็ได้ฉีกกี่เพ้าบนตัวของเธอขาด เผยให้เห็นผิวกายที่ขาวผ่องราวกับหิมะ
ถ้าไม่ทำก็คือไม่ทำ ถ้าทำคือต้องทำให้สุด เธอเอาเลือดบริสุทธิ์ที่เตรียมไว้ออกมาจากลิ้นชัก แล้วเทลงบนโซฟาโดยตรง
ทันใดนั้น โซฟาสีขาวราวกับหิมะ ก็ถูกย้อมด้วยสีแดงที่แสบตา
และเย่หรูอี้ ก็นอนลงบนโซฟาด้วยท่าทางที่เหนื่อยหอบ รอการมาของถังหลิน