ในตอนนี้ถังเฉาก็สูบบุหรี่หมดไปหนึ่งมวนพอดี
ในตอนที่กำลังคิดจะสูบมวนที่สองนั้นก็ได้ยินหวางเจี๋ยเอ่ยกับเขาว่า
“พวกหัวหน้ามากันแล้ว”
เขาวางบุหรี่ลงเงียบ ๆ ย้อนถามกลับไปว่า “แล้วยังไงล่ะ? คุณกับพวกหัวหน้าล้วนแต่สนับสนุนความถูกต้อง เอาความจริงมาเปิดเผยต่อสาธารณชน ผมมีอะไรที่จะต้องกลัว?”
ดังนั้นหวางเจี๋ยจึงก้มหน้าก้มตาสูบบุหรี่อย่างกลัดกลุ้ม ใบหน้าเต็มไปด้วยความจนปัญญา
“หัวหน้าหวางครับ จะลงมือเลยไหมครับ?”
ด้านหลังมีคนพูดเสนอความเห็นขึ้นมา
หวางเจี๋ยเบิกตากว้าง “ฉันบอกแล้ว อย่าลงมือกับเขา”
พูดจบก็มองถังเฉาด้วยสายตาซับซ้อนทีหนึ่งพลางเอ่ยว่า “การไม่ลงมือกับแกถือเป็นการผ่อนผันที่ใหญ่ที่สุดของฉันแล้ว ต่อไปไม่ใช่ฉันที่พิจารณาคดีของแก ก็จะไม่นุ่มนวลขนาดนี้แล้ว”
ถังเฉายิ้มแย้ม “ขอบคุณนะครับ คุณชื่อหวางเจี๋ยใช่ไหม? ผมจะจำคุณเอาไว้”
ดังนั้นหวางเจี๋ยจึงไม่พูดอะไรอีก รอให้เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วเงียบ ๆ
ด้วยความรวดเร็ว ด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้าที่ถี่กระชั้นส่งขึ้นมา
ทันใดนั้นหวางเจี๋ยก็ดับบุหรี่ด้วยมือ ยืดตัวตรง พอสำนึกได้ก็ร้องขึ้นมา “หัวหน้าหนิง!”
หนิงซ่านหู่ตอบรับขึ้นมาหนึ่งที สายตาเย็นชา จากนั้นก็นั่งอยู่ตรงหน้าของถังเฉา
ก่อนอื่นก็มองพิจารณาเขาอยู่หลายครั้ง “แกมีความสามารถมากนะ กล้าลงมือแม้กระทั่งกับคุณหนูใหญ่ตระกูลเย่?”
รอยยิ้มบนใบหน้าของถังเฉาค่อย ๆหายไป “ความสัมพันธ์ของผมกับเย่หรูอี้เป็นเพียงความสัมพันธ์ด้านการร่วมมือทางธุรกิจธรรมดา ๆ”
“อย่างนั้นหรือ? แล้วทำไมพวกเราถึงจับมาแค่แก ไม่ไปจับคนอื่นล่ะ?”
หนิงซ่านหู่ยิ้มเยือกเย็น พริบตาถัดมาเขาก็ตบลงบนโต๊ะแรง ๆ หนึ่งที เอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “นี่เป็นโอกาสครั้งสุดท้ายของแกแล้ว ถ้าหากไม่สารภาพมาดี ๆ อีก ฉันจะไม่เกรงใจแกแล้วนะ”
เดิมทีคิดว่าถังเฉาจะตกใจกลัว แต่คิดไม่ถึงว่าถังเฉาจะไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย กลับยิ้มอย่างเย็นชา “หัวหน้าหนิง ผมไม่ได้อธิบาย เพียงแค่ตักเตือน สมัยนี้การจะไต่เต้ามาถึงตำแหน่งนี้ได้ไม่ง่ายเลย คนบางคนพอเชิญเข้ามาแล้ว คิดจะเชิญออกไปก็ยากแล้ว”
หนิงซ่านหู่ไหนเลยจะฟังความหมายไม่ออก?
โมโหจัดจนหัวเราะออกมา “ฉันอยากจะดูซิว่าคืนนี้ใครจะสามารถมาช่วยชีวิตแกได้!”
“ปิดประตู!”
“หัวหน้าหนิง…”
สีหน้าของหวางเจี๋ยเปลี่ยนไปเล็กน้อย ดูเหมือนอยากจะพูดอะไรออกมา แต่กลับถูกหนิงซานหู่พูดตัดบท
“แกหุบปากไปซะ เวลานานขนาดนี้แล้วยังหาผลลัพธ์มาไม่ได้อีก ฉันเอาแกไว้จะมีประโยชน์อะไร? ไสหัวออกไปซะ!”
ด่าเปิงออกไปแล้ว หวางเจี๋ยก็ปิดปากไปในทันที สายตากลัดกลุ้ม ทำได้เพียงไปจากที่นี่
เขาเองก็รู้ว่าทำแบบนี้ไม่ดี แต่ว่าก็ช่วยไม่ได้นี่นะ!
เรื่องบางเรื่องเขาก็รับผิดชอบไม่ไหว!
แอ๊ด!
ประตูห้องคุมขังส่งเสียงปิด
ทันใดนั้นด้านในห้องก็มืดสนิท มีเพียงหลอดไฟโดดเดี่ยวที่กำลังแกว่งน้อย ๆ
ภายในของทั้งห้องเงียบสนิทและหนาวเหน็บราวกับเปิดมหาทวารอเวจี
หนิงซ่านหู่โบกไม้โบกมือ ทันใดนั้นก็มีคนเดินเข้ามาสองคน
ในมือของพวกเขาถือห่วงโลหะที่มีขนาดพอกับ ๆ กับศีรษะ
อีกคนหนึ่งเดินไฟฟ้า ทันใดนั้นห่วงโลหะก็ส่งเสียงของกระแสไฟฟ้าออกมาดังเปรี๊ยะ
หนิงซ่านหู่มองถังเฉาด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก เอ่ยว่า “ฉันให้แกเวลาแกหนึ่งนาที คิดทบทวนเป็นครั้งสุดท้าย รีบพูดมันออกมา แบบนี้ถึงจะสามารถหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดบนผิวหนังได้”
ถังเฉายิ้มอย่างน่าสะพรึงกลัว “ทำไม คิดจะใช้เครื่องทรมานอย่างนั้นหรือ?”
กร๊อบ!
มือทั้งคู่ของถังเฉาสั่นสะท้าน ทันใดนั้นกุญแจข้อมือที่สวมอยู่ที่ข้อมือก็ถูกสั่นสะเทือนจนแหลกละเอียดในทันที
เขาค่อย ๆ ลุกขึ้นมา กดสายตามองหนิงซ่านหู่ด้วยสายตาเย็นชา
บึ้ม!
ฉากนี้สั่นสะเทือนพวกเขาอย่างล้ำลึก
การยกมือขึ้นมาสามารถสั่นสะเทือนกุญแจข้อมือจนแหลกละเอียดได้อย่างคาดไม่ถึง?
นี่เป็นพลังระดับไหนกัน?
แต่ว่าความตกตะลึงนี้ต่อเนื่องกันเพียงแค่พักเดียวก็กลับสู่ความเงียบสงบ
หนิงซ่านหู่หัวเราะเสียงเย็นครั้งหนึ่ง “ทำไมหรือ แกยังกล้าลงมืออีกหรือไง? ด้านนอกมีคนของฉันเต็มไปหมด วันนี้ต่อให้แกมีปีกก็ยากที่จะหนีไปจากที่นี่”
“หนี? ใครบอกว่าผมจะหนี?”
ถังเฉายิ้มเยาะหยัน “คืนนี้ผมจะนั่งอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน แล้วคุณก็จะให้คำตอบที่น่าพอใจให้กับผม”
คำพูดนี้ของถังเฉามีความมั่นใจถึงขีดสุด หนิงซ่านหู่ตกตะลึงน้อย ๆ เขาไปความมั่นใจประเภทนี้มาจากไหนกัน?
แต่พอได้ยินว่าถังเฉาไม่ได้มีความคิดจะไป หนิงซ่านหู่ก็ลุกขึ้นมาด้วยรอยยิ้มเยียบเย็น
“ดี กล้าดี รอหนึ่งชั่วโมงฉันจะดูซิว่าแกจะยังมีความกล้าเหมือนอย่างตอนนี้ไหม”
พูดจบเขาก็ออกคำสั่งหนึ่งออกมา
“ปรับอุณหภูมิที่นี่เป็นติดลบยี่สิบองศา!”
พูดจบก็ไปจากที่นี่
ด้วยความรวดเร็ว ในห้องที่โล่งกว้างนี้ก็เหลือถังเฉาเพียงคนเดียว
อุณหภูมิลดลงต่ำอย่างรวดเร็ว ต่อให้เป็นถังเฉาก็ยังรู้สึกได้ถึงความหนาวเย็น
กึก ๆ…
ตาเนื้อมองเห็นไอเย็นค่อย ๆ จู่โจมเข้ามา ทั่วทั้งห้องราวกับมีหิมะปกคลุมไปทั่ว ถึงขั้นที่ได้ยินเสียงวัตถุเกาะตัวกันเป็นน้ำแข็งอย่างบางเบา
แต่ว่าถังเฉาก็ยังคงนั่งอยู่ที่ที่นั่งอย่างไม่ไหวติง
บนข้อมือของเขา บนร่างกายของเขา หว่างคิ้วของเขาล้วนปรากฏน้ำค้างแข็งสีฟ้า แม้แต่ลมหายใจที่พ่นออกมาก็ล้วนแต่แข็งตัวเป็นน้ำแข็ง
ด้านนอก หวางเจี๋ยมองฉากนี้อย่างไม่อดทน หนาวยะเยือกไปทั้งตัว
“ลูกพี่ครับ แบบนี้โหดเหี้ยมเกินไปหรือเปล่าครับ? ติดลบยี่สิบองศา ใครจะไปทนไหว?”
หนิงซ่านหู่ยิ้มเยือกเย็นพลางเอ่ยว่า “ในเมื่อเขาอยากจะท้าทายอำนาจ ถ้าอย่างนั้นก็ให้เขาได้เข้าใจผลลัพธ์ของการท้าทายอำนาจ”
“ดูเร็ว เขาไม่ขยับแล้ว!”
ทันใดนั้น คนที่อยู่ข้าง ๆ ก็ชี้ไปที่ในห้องพลางร้องอย่างตกตะลึงออกมา
ทันใดนั้นทุกคนก็ล้วนแต่มองตามไป
เป็นเพียงว่าถังเฉายังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ แต่ว่าทั้งร่างกายล้วนแข็งเป็นน้ำแข็งสลักแล้ว
“คงไม่ได้ตายไปแล้วหรอกนะ?”
บางคนมีสายตาหวาดกลัว
ในตอนนี้หนิงซ่านหู่ก็นั่งต่อไปไม่ได้แล้ว สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ที่เขาคิดก็คือถ้าหากว่าตัวถังเฉาเองทนไม่ไหวแล้ว จะต้องมาขอร้องอ้อนวอนอย่างแน่นอน
แต่คิดไม่ถึงว่า เขาจะยอมที่จะแข็งตายดีกว่าที่จะยอมรับ
ถ้าเช่นนั้นถังเฉาตายไปแล้วจริง ๆ หรือ?
แน่นอนว่าไม่
ตั้งแต่ตอนแรกที่ไอหนาวจู่โจมเข้ามา ในร่างกายของเขาก็โคจรแรงภายในอย่างอัตโนมัติ
แรงภายในเปลี่ยนเป็นพลังงาน เช่นนี้อวัยวะภายในจึงจะไม่แข็งจนพังไป
แต่ว่านี่ไม่ใช่แผนระยะยาว
ถ้าหากยังไม่ออกไปอีก เขาเองก็ยืนหยัดอยู่ได้ไม่นาน
ถึงอย่างไรอุณหภูมิติดลบยี่สิบกว่าองศา ขอเพียงคนทั่วไปเข้าไปก็จะถูกแช่แข็งเป็นรูปสลักน้ำแข็ง
“รออีกหน่อยเถอะ”
หนิงซ่านหู่ยังคงไม่ตัดสินใจจะปล่อยคนไป
ครืด ๆ!
ในตอนนี้เอง ด้านนอกก็มีเสียงเรียกเข้าเบา ๆ ดังขึ้นมา
น้ำในถ้วยชาที่อยู่บนโต๊ะสั่นสะเทือนเล็กน้อยทันที
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“แผ่นดินไหวหรือ?”
สีหน้าของหนิงซ่านหู่กับหวางเจี๋ยเปลี่ยนไปเล็กน้อย สังเกตได้ถึงความสั่นสะเทือนราวกับจะเกิดแผ่นดินไหว
ปัง!
ในตอนนี้เองประตูก็ถูกลูกน้องคนหนึ่งกระแทกเข้ามาราวกับบ้าคลั่งในทันที
เขาทั้งกลิ้งทั้งคลานต่อเนื่องกันพุ่งเข้ามา ใบหน้าหวาดผวาจนอยากจะตายไปซะ
“แย่ แย่แล้ว! เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”
“มีอะไรหรือ?”
หนิงซ่านหู่ตวาดเสียงดัง เอ่ยถามขึ้น
คนคนนั้นชี้ไปด้านนอก น้ำเสียงสั่นสะท้าน “ข้างนอก… ข้างนอกมีตระกูลหลวงมากันเพียบเลยครับ!”
“ตระกูลหลิน ตระกูลลั่ว ตระกูลเจียง มากันหมดเลยครับ!”
“อะไรนะ?!”
พอคำนี้ลั่นออกมา อย่างว่าแต่หวางเจี๋ยเลย แม้แต่สีหน้าของหนิงซ่านหู่ก็เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
ถลันออกไปดูครั้งหนึ่ง ทันใดนั้นก็ถูกฉากที่อยู่ตรงหน้าทำให้ช็อกไป
ด้านนอกแออัดไปด้วยรถตำรวจของพวกเขาจริง ๆ
แต่รอบนอกสุดกลับล้อมรอบไปด้วยรถอเนกประสงค์จำนวนมาก คนกลุ่มใหญ่เดินลงจากรถมาด้วยสีหน้าเย็นชา
คนที่เป็นผู้นำก็คือชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่มีรูปร่างสูงใหญ่ทรงพลัง
เขาหรูหราอย่างถึงขีดสุดราวกับหยกก้อนหนึ่ง สีหน้าราบเรียบ แต่เพียงสายตาเดียวก็เพียงพอที่จะสร้างแรงกดดันให้กับคนอื่น ๆ ได้
“ตระกูลหลิน… หลินรั่วหวี!”
หูอีซานและเซี่ยสิงจู๋ที่ยังคงรออยู่ที่ประตูก็เปลี่ยนสีหน้าเล็กน้อย ในดวงตาเต็มไปด้วยความสั่นสะท้าน
“ผู้นำหลิน ท่านมาได้อย่างไร?”
สีหน้าของหนิงซ่านหู่เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก ท่าทางเคารพนบนอบอย่างอธิบายไม่ถูก รีบเข้าไปต้อนรับทันที
หลินรั่วหวีพยักหน้าอย่างเย็นชา เอ่ยว่า “พวกนายได้จับคนคนหนึ่งไว้ใช่ไหม?”
ขวับ!
พอคำนี้ลั่นออกมาหัวใจของหนิงซ่านหู่ก็สั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่ง พวกเขาจับคนคนหนึ่งไว้ ผู้นำหลินหมายความว่าอย่างไร?
“มีคนหนึ่งครับ แต่ว่าเขาทำผิดกฎหมายอย่างร้ายแรงมาก…”
หนิงซ่านหู่กำลังจะอธิบาย หลินรั่วหวีกลับตัดบทของเขาด้วยสีหน้าราบเรียบ
“ปล่อยเขาเถอะ นั่นคือลูกเขยของฉัน เขามีนิสัยอย่างไรฉันรู้ดี เขาไม่ใช่คนที่ทำเรื่องอย่างนั้นได้อย่างแน่นอน”
หลินรั่วหวีเอ่ยอย่างเย็นชา
“…”
คำพูดที่เดิมทีหนิงซ่านหู่คิดจะอธิบาย กลับถูกประโยคนี้ตอกกลับไปตรง ๆ หัวคิ้วขมวดแน่น สีหน้าไม่ดี
“ผู้นำหลิน คุณเข้าใจดีก็ไม่มีประโยชน์ครับ พวกเราทางนี้จะต้องทำตามขั้นตอนของทางราชการ…”
เขาไม่ไว้หน้าหลินรั่วหวีเลยแม้แต่น้อย ตระกูลหลินตระกูลหนึ่งยังยุแหย่ได้อยู่
“ขั้นตอนทางราชการ? เฮอะ พวกเราก็คือทางราชการ”
ทว่าตอนที่เสียงของพวกเขาเพิ่งจะสิ้นสุด ก็มีเสียงเย็นชาของผู้หญิงเสียงหนึ่งส่งมา
พอเสียงนี้ดังขึ้นมา ก็เหมือนจะกวาดล้างไปทั้งจักรวาล เพียงแต่ว่าคนที่ได้ยินเสียงนี้ ไม่มีใครที่จะไม่เปลี่ยนสีหน้าเป็นอย่างมาก
หนิงซ่านหู่สั่นไปทั้งร่าง ลำคอหันกลับไปอย่างแข็งทื่อ
เห็นเพียงทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ยังคงเป็นรถขบวนหนึ่งค่อย ๆ ขับเข้ามา
ประตูรถเปิดออก ผู้หญิงที่งดงามยิ่งที่แต่งกายอย่างเยือกเย็นหรูหราราวกับจักรพรรดินีเดินเข้ามาอย่างช้า ๆ
ด้านหลังมีคนติดตามมาสามพันคน ฉากนั้นยิ่งใหญ่เป็นอย่างยิ่ง
“ลั่ว… ลั่วเย่นหัวจากตระกูลลั่ว?!”
บึ้ม!
ตั้งแต่ตอนที่มองเห็นผู้หญิงคนนั้น ใบหน้าของพวกของหูอีซานและต่งวี่ซู่ก็เต็มไปด้วยความตกตะลึง
วิญญาณของถังฮันเจี๋ยถึงขั้นสั่นสะท้าน
หลินรั่วหวี ลั่วเย่นหัว!
ผู้ยิ่งใหญ่สององค์ถูกรบกวนแล้ว!
“ฉันก็คือขั้นตอนทางราชการ มีที่ไหนในเยี่ยนจิงบ้างที่ไม่ทำตามที่ฉันพูด?”
ลั่วเย่นหัวยิ้มเยือกเย็นพลางเดินเข้ามา มาถึงตรงหน้าของหนิงซ่านหู่
ความยิ่งใหญ่ที่ครอบงำทั้งใต้หล้าประเภทนั้นกดดันจนหนิงซ่านหู่หายใจไม่ออก
โดยเฉพาะดวงตาหงส์คู่นั้น ยิ่งไม่มีใครกล้าสบตากับเธอ
ทันใดนั้นสีหน้าของหนิงซ่านหู่ก็เปลี่ยนเป็นหวาดกลัว หวางเจี๋ยที่อยู่ด้านหลังก็ราวกับร่างกายและวิญญาณสูญหายไปอย่างไรอย่างนั้น
ไม่เพียงแต่ถูกความงดงามของลั่วเย่นหัวทำให้ตกตะลึง ยิ่งถูกความเผด็จการของต้นแบบของผู้หญิงสั่นสะเทือน แม้แต่ดวงตาก็ล้วนไม่เคยเคลื่อนไหวไปสักนิด
“จับลูกเขยของฉันไป ฉันว่าเก้าอี้ที่รองก้นนายอยู่นายคงจะไม่อยากนั่งแล้วสินะ!”
ลั่วเย่นหัวเอ่ยเสียงเย็น “ยังไม่รีบปล่อยคนมาอีก!”
บึ้ม!
ถ้าหากหลินรั่วหวียังหารือต่อไปล่ะก็ เช่นนั้นลั่วเย่นหัวก็ไม่อ่อนโยนขนาดนี้แล้ว มาถึงก็คุกคามเลย
ใครสนใจว่าคุณจะเป็นหัวหน้าหรือไม่ ใครมาก็ล้วนใช้การไม่ได้!
ทว่าหนิงซ่านหู่กลับสูดลมหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่ เอ่ยว่า “ไม่ได้…”
“ไม่ได้? มองดูรอบ ๆ นายก่อนสิ”
ในตอนที่เขากำลังจะพูดอะไรนั้นเองก็มีเสียงอันเย็นยะเยือกของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นมา
หนิงซ่านหู่มองตามไป
มองไปเพียงแวบเดียว สวรรค์ จบเห่แล้ว
เจียงไป๋เสว่กับหลงไป่ชวนนำพาตระกูลเจียงแห่งตระกูลหลวงและตระกูลหลงแห่งตระกูลหลวงมาเสริมอำนาจ!
ไม่เพียงแต่ตระกูลหลวงในเยี่ยนตู หนิงซ่านหู่ถึงขั้นที่มองเห็นเจ้าหน้าที่กองทหารของสนามรบใหญ่เยี่ยนจิง รถเกราะที่แต่งเต็มกำลังค่อย ๆ ขับเข้ามาทีละคัน ๆ
“หยุด!”
หยางหลิงเซียวตะโกนเสียงดัง “ขึ้นปืน!”
พรึ่บ ๆ ๆ!
ทันใดนั้นทุกคนในกองทหารก็ล้วนแต่ควักปืนในมือออกมา เล็งไปที่หนิงซ่านหู่
ถึงขั้นที่มีคนประกอบปืนครกเรียบร้อยแล้ว ขอเพียงหยางหลิงเซียวออกคำสั่ง ก็สามารถระเบิดทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าให้แหลกละเอียดเป็นผุยผงได้