พอเย่จงซือพูดจบ บริเวณงานเลี้ยงที่เต็มไปด้วยเสียงเอะอะ พลันเงียบลง
ในชั่วขณะนั้น แต่ละคนต่างมองหน้ากันไปมา ต่างคนต่างไม่เห็นมีปฏิกิริยาใด ๆ
ให้แม้แต่เด็กรุ่นหลังตระกูลเย่ ก็มองหน้าเย่จงซืออย่างงง ๆ
“เจ้ามังกรอะไรกัน?”
เย่จงซือหน้าเย็นเยือกจนแทบจะระเหยออกเป็นไอ สองตาจ้องเขม็งไปที่ถังเฉา “พวกเรายังจำม้ามืดที่ดังระเบิดในงานประชุมแดนเหนือ ชายหนุ่มใส่หน้ากากที่ใช้ชื่อว่าเจ้ามังกรคนนั้นได้ไหม?”
“ก็คือท่านผู้นี้!”
“อะไรนะ?”
ตูมเดียวเท่านั้น เย่จงซือเพียงแค่พูดจบ สีหน้าของทุกคนที่อยู่ในบริเวณงานเปลี่ยนกันไปอย่างสิ้นเชิง
คนที่อยู่ในบริเวณงานทั้งหมดนี้ ไม่ใช่รวยมากก็เป็นคนสูงศักดิ์ ล้วนมาจากตระกูลยักษ์ใหญ่เมืองซื่อจิ่ว กับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทั่วประเทศล้วนเป็นเรื่องที่รู้กันชัดแจ้ง
เรื่องที่สำคัญระดับสากลที่เกิดขึ้นใกล้ ๆ นี้ คงต้องยกให้เหตุการณ์ในงานประชุมแดนเหนือที่เจียงเฉิง
ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์การต่อสู้ในช่วงแรก หรือเหตุการณ์ช่วงหลังที่คนทั้งหมดในสนามกีฬาถูกกักเป็นตัวประกัน ล้วนเป็นข่าวระดับยอดนิยม
อันเนื่องมาจากในงานประชุมแดนเหนือครั้งนั้น ทุกคนล้วนจำชายลึกลับใส่หน้ากากคนนั้นกันได้
เขาสู้กับหัวหน้าสมาคมการต่อสู้แห่งเมืองเจียงเฉิง สู้กับหลินรั่วหวี ตัวคนเดียวช่วยคนทั้งหมดที่อยู่ในสนามกีฬา—หากครั้งนั้นขณะทำการต่อสู้กับหลินรั่วหวีไม่ถูกเหตุการณ์นั้นขัดจังหวะ เขามีโอกาสอย่างยิ่งที่จะได้ตำแหน่งที่หนึ่ง
คนกล้าแกร่งแบบนี้ เหล่าผู้ยิ่งใหญ่ในเมืองซื่อจิ่วต่างก็อยากแย่งซื้อตัวมาเป็นพวก ยิ่งแน่นอนไปกว่านั้นก็อยากให้รู้ว่าตัวจริงของคนใส่หน้ากากนั้นเป็นใครกัน แต่ก็ไม่มีร่องรอยแม้วี่แววแต่น้อย
เงียบหายไปพักใหญ่แล้ว กลับมาปรากฏในเมืองซื่อจิ่ว ทั้งยังเป็นการปรากฏตัวในงานมงคลสมรสของตระกูลเย่กับตระกูลถัง
อยู่ต่อหน้าคนระดับที่สามารถท้าเทียบกับหลินรั่วหวี เย่จงซือให้รู้สึกกดดันเพิ่มหนักขึ้นอีกมาก สีหน้ายิ่งเยือกหนักลงอีกถึงสุดขีด
ถึงอย่างไร ในความมั่นใจของเขาก็ไม่มีความมั่นใจในการจะไปเทียบเคียงกับหลินรั่วหวีได้
คนระดับยิ่งใหญ่นี้มาก่อกวนหาเรื่องในงานแต่งงานตระกูลหลวง เขาก็ให้รู้สึกว่าหมดปัญญาจริง ๆ
หวังเจี้ยนหลู้ก็เกิดอาการออกสีหน้าตื่นตระหนก จ้องเพ่งตาจับที่ถังเฉา หน้าแก่ ๆ ออกอาการกระตุก เต็มไปด้วยความรู้สึกไม่อยากยอม
ส่วนถานหลี้ ยิ่งไปกันเป็นเรื่องตกใจจนโง่ออก คิดถึงคำก่นด่าก่อนหน้านี้ ทำเอาหล่อนช็อกกลัวจนหน้าซีด ทำอะไรไม่ถูก
ในขณะนั้น ทั่วทั้งบริเวณเงียบกริบ ทุกคนต่างรับรู้ถึงความกดดันที่หนักอึ้ง
ยิ่งตอนสายตาของถังเฉากวาดผ่าน มันสะท้อนเห็นความเย็นเยือกในความเด็ดขาด ยังให้คนรู้สึกขนลุกในใจ
นอกจากคนที่อยู่ในโถงงานเลี้ยง ชายหนุ่มแขนด้วนที่ยืนอยู่นอกโรงแรม ก็มองอยู่ด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ
เย่เทียนหลง นั่นเอง
เขากำลังคิดวางแผนช่วยเย่หรูอี้ยังไง ไม่คิดว่าจะมาพบเห็นถังเฉา
หลังจากตื่นตะลึงแล้ว ก็ได้เห็นถึงโอกาสอันเป็นอย่างดีนี้ จึงรีบลอบเข้าไปทางด้านข้าง เร้นแฝงตัวเข้าไป
…………………….
พฤติการณ์ของเย่เทียนหลง ย่อมรอดไม่พ้นสายตาของถังเฉา เขาทำไม่ใส่ใจแค่นหัวเราะเบา ๆ
ไหน ๆ จะหาเรื่องก่อกวนแล้ว ก็ทำมันให้ถึงที่สุด
และแล้ว ในตาของถังเฉาแวบผ่านแววหนาวเยือก จ้องไปที่เย่จงซือ “ดูท่าแล้ว คุณเหมือนจะออกหน้าแทนพวกเขาใช่ไหม?”
คำพูดที่เหน็บหนาว ทำเอาเย่จงซือสะท้านไปถึงในใจ
ในตอนนี้ เขารู้สึกถึงความกดดันที่แสนหนักหนา
ตัวเขาเองก็รู้สึกใจสะท้านอย่างแรงสุด ถึงยังไงด้วยตัวเขาเองก็เป็นผู้ฝึกแรงภายในมา ก็จัดอยู่ในกลุ่มผู้รู้ ซึ่งเรื่องนี้ก็จะกลายเป็นปัจจัยสำคัญในเรื่องการชิงตำแหน่งผู้จัดการตระกูลเย่สมัยต่อไป ระหว่างตัวเขาและเย่เซ่าเตี๋ยกับเย่หรูอี้
แต่ว่าคนที่อยู่เบื้องหน้าของเขาตอนนี้ คนที่เพียงแค่สายตาก็ทำให้เขาหมดสิ้นถึงความคิดจะต่อต้าน คงเห็นแล้วซึ่งพลังและความเก่งกาจ
“สมแล้วที่เป็นยอดฝีมือไร้เทียมทานในจักรวาลผู้สามารถเทียบทานฝีมือกับหลินรั่วหวี……”
เย่จงซือตระหนักคิดอยู่ในใจว่า จะเป็นศัตรูกับเขาไม่ได้เด็ดขาด
คิดมาได้ถึงนี้แล้ว เย่จงซือรีบส่ายหน้า “มิกล้า ผมคิดว่าน่าจะมีอะไรเข้าใจผิดกันเป็นแน่แท้”
แชว๊ป!
ฟังคำพูดของเย่จงซื่อจบ สีหน้าถังเฉาไม่ได้ผ่อนคลายอ่อนเย็นลง แต่กลับเกรี้ยวกราดขึ้น
ตาทั้งคู่ของถังเฉาทำหรี่ลงเล็กน้อย พูดเหมือนเจาะจงถึงใครว่า “เข้าใจผิด?คนในตระกูลหวังมาเย้าหยอกลวนลามลูกน้องหญิงสาวของข้า หล่อนปกป้องตัวเองอย่างสมเหตุ มันผิดตรงไหน?”
ตูม
พอพูดแบบนี้ออกไป ไม่เพียงเย่จงซือ หวังเจี้ยนหลู้ และทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็หน้าเปลี่ยนสี
เรื่องราวที่เป็นข้อเท็จจริงชัดเจนแล้ว เรื่องเป็นเพราะทายาทตระกูลหวังไปชมชอบในความสวยของบอดี้การ์ดสาวชาวบ้าน แต่กลับถูกเล่นงานกลับ
เย่จงซือเหงื่อแตกพลั้กให้เห็น หวังเจี้ยนหลู้ยิ่งถึงขนาดตากระตุก
เกี่ยวกับยอดชายนายหวังเชาคนนี้ ทุกคนล้วนรู้จักกันดีในเรื่องคุณธรรมส่วนตัวเป็นยังไง ลองได้เห็นสาวที่สวยต้องใจ ก็จะมีใจคิดเอาให้อยู่มือ หญิงสาวชาวบ้านในเมืองซื่อจิ่วไม่น้อยที่ตกอยู่ในภัยเลวร้ายนี้ ไม่คิดว่าจะมาเจอเข้ากับบอดี้การ์ดสาวคนนี้เข้า
เข้าทางเฟิ่งหวงพอดีกับจังหวะต้องเสียบแทงมีดซ้ำ ทอดถอนใจไปเบา ๆ
“ฉันว่าออมแรงไว้มากแล้วเชียว ไม่คิดว่าจะไม่ได้เรื่องถึงปานนี้ สะกิดนิดก็กระเด็นไปเสียนี่”
“แค่นี้เองเหรอ ที่คิดจะสยบข้า?”
เฟิ่งหวงทำส่ายหน้าอย่างผิดหวัง
“……….”
ต่อหน้าถังเฉา พวกเขามีความกลัวเกรง กับคำพูดไม่กี่คำของเฟิ่งหวง จึงแทบทำให้พวกเขามึนสลบไปได้เลย
โดยเฉพาะกับหวังเจี้ยนหลู้ ตอนนี้ใบหน้าแดงก่ำ ลูกของตัวเองถูกเตะกระเด็นสลบไป ไม่เพียงขอความเป็นธรรมไม่ได้ แต่ยังกลับโดนสมน้ำหน้าเข้าให้
เย่จงซือหายใจเข้าอย่างลึก ฝืนยิ้มออกมา “คุณเจ้ามังกรครับ คนก็ได้ถูกอัดสั่งสอนไปแล้ว ท่านคงสะกดความโกรธลงได้ละ เราเข้าไปนั่งร่วมโต๊ะกันดีกว่านะครับ?พวกเราจัดเตรียมที่นั่งด้านหน้าสุดให้ท่านไว้แล้วครับ….”
เย่จงซือเริ่มวางหมากเกม ตอนนี้ใคร ๆ ก็มุ่งหวังที่จะดึงเจ้ามังกรเข้าเป็นพวก ไม่คิดว่าจะมาปรากฏตัวในงานเลี้ยงของพวกเขานี้ได้ มันช่างเป็นโอกาสดีมากเหลือเกินในการชวนเชิญ
หากแม้นเขาสามารถสร้างสัมพันธภาพให้ดีได้ เท่ากับตระกูลเย่จะได้นักบู๊ระดับสุดยอดฝีมืออีกคนหนึ่ง—–ไม่ ต้องเป็นเขาเองเย่จงซือจะได้นักบู๊สุดยอดฝีมือมาอีกคนหนึ่ง แล้วในเมืองซื่อจิ่วนี้ ยังจะมีใครมาเป็นคู่ต่อสู้เขาได้อีก?
แต่แล้ว สิ่งที่ถังเฉาจะพูดต่อไปนี้ กลับทำให้ความฝันหวานนี้ล่มสลายมลายสิ้น
“เข้านั่งที่เป็นเรื่องที่ต้องทำอยู่แล้วแหละ แต่ตำแหน่งตรงไหนช่างมันเถอะ ที่มาในครั้งนี้ ข้ามาในนามของตระกูลหลวงตระกูลฉู่”
ถังเฉาเอ่ยปาก พูดด้วยเสียงเรียบ ๆ
ตูม!
พอให้ได้ยินเข้า ทุกคนที่อยู่นั้นสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง โดยเฉพาะเย่จงซือ หน้าตาดูเหมือนจะบูดเบี้ยวเอาเลย
“มาในนามตระกูลฉู่?คุณท่าน ท่านกับตระกูลฉู่?”
เขากลืนน้ำลายลงคอไปคำใหญ่
ถังเฉาโบกมือ “คุณฉู่หยังแห่งตระกูลฉู่ได้ให้เกียรติข้า ให้เป็นตัวแทนตระกูลฉู่มางานนี้เท่านั้นแหละ”
“……”
ชั่วเวลาขณะนั้นเอง บริเวณโดยรอบเงียบกริบ บรรดากลุ่มตระกูลที่มุ่งหวังจะดึงถังเฉาเข้าพวกต่างผิดหวังไปตาม ๆ กัน
เย่จงซือหายใจเข้าลึก ๆ พยายามฝืนผลักดันรอยยิ้มออกมา พูดยิ้ม ๆ ว่า “ช่างเป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง แต่ก็คงได้แต่เรียนเชิญให้ท่านเจ้ามังกรดื่มกินให้สบายนะครับ”
“งานมงคลสมรสนี้ มันจะเป็นไปได้อย่างราบรื่นหรือ?”
ในขณะที่เย่จงซือกำลังจะเดินจากไป ถังเฉากลับพูดกลั้วหัวเราะออกเย้ย ๆ
เย่จงซือหยุดชะงักก้าว หันกลับมองอย่างข้องใจ
ถังเฉากลับทำเหมือนแค่คิดสะกิดแต่พองาม ยิ้มจืด ๆ ลุกขึ้นเดินเข้าสู่กลางโถงในงานเลี้ยง
เฟิ่งหวงก็เดินตามติดไป ด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
ช่วงเดินเฉียดไหล่ ถังเฉาปราดตามองเย่จงซือแวบหนึ่ง
ด้วยเพียงสายตานี้เอง ทำเอาเย่จงซือเหมือนถูกสะกดอยู่กับที่
เขาไม่กล้าแม้จะขยับตัว ประดุจว่าวิญญาณถูกแช่แข็งไว้ปานนั้น
ไม่รู้ด้วยสาเหตุอะไร เขารู้สึกแววตาของคนผู้นี้หนาวเยือกอย่างบอกไม่ถูก
จากคำพูดที่ไม่รู้มีความนัยอะไรตอนสบกันอีกครั้งก่อนหน้านี้ เย่จงซือให้รู้สึกไม่สบายใจ
ลังเลอยู่พักหนึ่ง เขาต่อโทรศัพท์ไปยังเบอร์โทร.เบอร์หนึ่ง
“ฮัลโหล ประสานกับนักบู๊สมาคมการต่อสู้ด่วน ให้จัดนักบู๊ระดับหัวหน้าอย่างน้อยสิบคนขึ้นไปมาหาข้าที่นี่ทันที เรื่องเงินไม่มีปัญหา!”
พอตัดสายโทรศัพท์ สีหน้าเย่จงซือค่อยคลายกังวลลงบ้าง รูม่านตาส่องประกายหนาวเย็น
ความไม่สบายใจของเขา มาจากผู้ชายใส่หน้ากากคนนั้น เพื่อให้งานแต่งงานดำเนินไปได้อย่างปกติ เขาไม่เสียดายที่จะต้องทุ่มทุน ลงเงินก้อนใหญ่เพื่อเชิญเอานักบู๊ระดับหัวหน้าจากศูนย์กลางสมาคมการต่อสู้แห่งเมืองซื่อจิ่วมา
รวมกำลังสิบกว่าคน ยังไม่นับนักบู๊ระดับแค่เพียงรองจากหัวหน้าลงไป!
วางกำลังอย่างเหวี่ยงแห!
ลองกล้ามาก่อกวน ก็จะให้ได้ลิ้มรสชาติของการหนีอย่างขี้จุกตูด
……….
ในเวลาเดียวกันนั้น ในห้องสูทหรูชั้นบนสุดของโรงแรม
ที่นี่เป็นห้องพักชั่วคราวสำหรับแต่งตัวเจ้าสาวของเย่หรูอี้
ขณะนั้น หล่อนอยู่ในห้องเพียงคนเดียว เดินไปเดินมาด้วยอาการร้อนรน
ดูสีท้องฟ้าที่เริ่มมืดลง มืดลง คนที่จะมาช่วยและคนที่จะมาเป็นตัวแทนยังไม่มีวี่แววจะปรากฏ
ตึง ๆ ๆ
ในขณะที่ใจหล่อนกำลังร้อนเป็นไฟลน เสียงเคาะประตูห้องสูทดังขึ้น
เย่หรูอี้ดีใจออกนอกหน้า รีบวิ่งไปเปิดประตู แต่ที่พบเห็น กลับเป็นถังหลินที่ยิ้มบานเต็มหน้า
พริบตานั้นเอง ความดีใจบนใบหน้าเย่หรูอี้หายเป็นลบทิ้ง คงมีแต่ความอึมครึมเย็นชา
“ยังไม่ใช่เวลาที่เราจะพบกัน คุณจะมาทำไมกัน?”
ตามกำหนดการ ต้องหนึ่งชั่วโมงก่อนเข้าพิธี จึงจะเป็นเวลาให้คู่บ่าวสาวได้พบกัน
ถังหลินพูดเสียงหัวเราะ “ไหน ๆ จะช้าหรือเร็วเราก็ได้แต่งงานกันแล้ว ก็มาเจอกันเร็วหน่อยดีกว่า—-เธอก็เป็นคนเสนอเองไม่ใช่หรือ ว่าให้มาโรงแรมเร็วหน่อย”
พูดพลางก็พยายามเบียดตัวเข้าไปในห้อง
เย่หรูอี้รีบขวางทางเข้าเขาแล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “ในเมื่อก็จะแต่งงานเป็นของคุณเร็ว ๆ นี้แล้ว แค่เวลาอีกนิดเดียวคุณก็รอไม่ได้เลยหรือไง?”
“ออกไปก่อน!”
เย่หรูอี้ชี้ไปข้างนอก พูดเสียงไม่มีน้ำ
คงอาจจะเห็นแววตาเย่หรูอี้มีอารมณ์เคืองอยู่ ถังหลินหน้าง้ำลง แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรได้ จึงต้องเลือกที่จะจากไป
หลังจากถังหลินเดินจากไป เย่หรูอี้ก็เดินกลับไปนั่งที่ขอบเตียง มองดูฟ้าที่ค่อย ๆ มืดลง ตรงระหว่างคิ้วส่อความระอาใจ
ตึง ๆ ๆ!
ขณะนั้น เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีก
เย่หรูอี้นึกฉุนโกรธขึ้นมา เปิดประตูพรวดออก ด่าใส่ออกไป “จะให้พูดกี่ครั้งถึงจะรู้เรื่อง แก…..”
“พี่สาว”
เสียงผู้ชายทุ้มลึกดังมาจากนอกประตู
เห็นเย่เทียนหลงมองไปรอบด้านอย่างระแวดระวัง แน่ใจว่าไม่มีใครเห็น จึงเดินเข้ามา
เย่หรูอี้ดีใจจนออกหน้า ถามอย่างร้อนรนว่า “เตรียมไว้พร้อมหมดไหม?”
เย่เทียนหลงผงกหัว “คนเตรียมพร้อมแล้ว แต่ว่าพี่… พี่จะทำแบบนี้จริง ๆ เหรอ?”
เย่เทียนหลงพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม“แผนเอาชะมดมาแลกองค์รัชทายาท คงเก็บความลับไว้ไม่ได้นาน พอเจ้าสาวเอาผ้าคลุมหน้าออก ทุกอย่างก็จะถูกเปิดเผย ถึงเวลานั้นก็จะเป็นสภาพปลาตายในอวนขาดตายกันทั้งคู่นะ”
เย่หรูอี้นิ่งอึ้ง ตามด้วยแววเหี้ยมส่อออกมาทางตา
ตั้งแต่เริ่มคิดวางแผนนี้มา หล่อนก็มองเห็นแล้วถึงผลที่จะเกิดขึ้นในสภาพที่ว่าแบบนี้
แผนใด ๆ ก็ตาม ยิ่งแยบยลก็ยิ่งผิดคาดง่าย
หล่อนคิดไว้พร้อมหมดทุกอย่างแล้ว ขาดอย่างเดียวที่คิดไม่ถึงว่าถังเฉาจะตาย
ณ.ขณะปัจจุบัน คงได้แต่รักษาม้าตายด้วยวิธีเดียวกับรักษาม้าเป็น เป็นการดิ้นหาทางเอาตัวรอดกันให้ถึงที่สุด
“เอา…..งั้นก็ตามผมไป”
เย่เทียนหลงก็คงเห็นถึงการตัดสินใจของเย่หรูอี้แล้ว ถอนหายใจเบา ๆ แล้วพูดกับเย่หรูอี้
ในขณะที่ทั้งสองกำลังจะออกไป เสียงประตูก็ดังขึ้นอีก
เสียงดังครั้งนี้ ทำเอาเย่เทียนหลงกับเย่หรูอี้สะดุ้งโหยง
“ใคร…ใครกัน?”
พยายามข่มใจสงบ เย่หรูอี้ส่งเสียงถามออกไป
ปัง!
แต่ในนาทีเดียวกันนั้น ประตูกลับถูกแรงถีบเปิดออก
ถังหลินเดินหน้าเหี้ยมเข้ามา มองผู้ชายที่เพิ่มขึ้นมาในห้อง ปราดสายตามา “ข้าก็รู้แล้วว่านังแพศยาอย่างแกต้องมีแอบซ่อนผู้ชายไว้!”