“มีรอยเท้า”
หลินจิ่วจิ่วก็พบรอยเท้าบนพื้น
บนดินร่วนชื้น มักจะทิ้งรอยเท้าได้ง่าย
ที่สำคัญกว่านั้น รอยเท้าดินที่นี่คือรูปร่างของมนุษย์
แม้แต่คนตระกูลหลินยังบอกว่าป่านี้เป็นพื้นที่ส่วนตัวของตระกูลหลิน ปกติจะไม่มีใครเข้ามา และคนของตระกูลหลินเองก็ไม่เข้ามาอยู่แล้ว
ฉะนั้น เห็นได้ชัดว่าในป่านี้ไม่มีคนอยู่แล้ว แต่ทำไมถึงมีรอยเท้าได้?
ถังเฉากับหลินจิ่วจิ่วต่างมองหน้ากัน ดวงตาของพวกเขากลายเป็นความเคร่งขรึม
“ของหลินโป๋หลาย!”
ถังเฉา หลินจิ่วจิ่ว หงโฝ ทั้งสามรีบตามรอยเท้านี้ไปทันที
แต่เมื่อเดินลึกเข้าไป ในไม่ช้าพวกเขาก็พบว่ารอยเท้าในโคลนหายไป
“รอยเท้าหายไปแล้ว?”
หลินจิ่วจิ่วอุทานออกมาและมองดูรอบๆ “หรือว่าพี่ชายฉันจะอยู่แถวนี้?”
“ไม่เสมอไป”
หงโฝพูดขึ้น “เธอก็บอกแล้วว่าพฤติกรรมของเขาในตอนนี้ไม่ต่างอะไรจากพฤติกรรมของสัตว์ป่า สัตว์มักจะพยายามหนีจากการล่า โดยการกลบเกลื่อนรอยเท้าและกลิ่นของมัน และนี่ก็คือพฤติกรรมการล่าและการตอบโต้ของสัตว์”
“เธอเป็นมืออาชีพไม่ใช่เหรอ? ทำไมแค่นี้ก็ไม่เข้าใจล่ะ?”
หงโฝมองไปที่หลินจิ่วจิ่วอย่างแปลกใจ
หลินจิ่วจิ่วดูอึดอัดมาก จากนั้นสักพักเธอก็พูดความจริงออกมา “ที่ฉันชำนาญคือสัตว์ตัวเล็ก ส่วนเสือตัวนี้เป็นแมวตัวใหญ่ตัวแรกที่ฉันฝึก”
“……”
ถังเฉาชำเลืองมองเธอโดยไม่พูดอะไรสักคำ แต่เขารู้ทันเธอตั้งแต่แรกแล้ว
เหตุผลที่เธอไม่ยอมฟังใคร ก็เพราะว่าเธอเป็นคนหัวแข็ง เชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน สิ่งที่ตัวเองได้เห็นเท่านั้น
ความจริงแล้วผู้ฝึกสัตว์ป่านั้นมีน้อยมาก โดยเฉพาะผู้ฝึกหญิง ดังนั้นถ้าเธอเสแสร้งต่อหน้าคนอื่นมันไม่มีปัญหาอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้คนที่เธอต้องเสแสร้งด้วยคือถังเฉา
“พวกคุณหมายความว่า พี่ชายฉันอาจจะเจอสัตว์ป่า แล้วถูกสัตว์ป่าไล่ล่างั้นเหรอ?”
หลินจิ่วจิ่วถามขึ้น
“อาจจะใช่นะ ใครจะไปรู้ล่ะ?”
หงโฝยักไหล่แล้วทำเหมือนไม่รู้ไม่ชี้
แต่หลินจิ่วจิ่วถึงกับหน้าซีดทันที
ป่าอันกว้างใหญ่นี้ ใครจะไปรู้ว่ามีสัตว์ป่าที่ดุร้ายซ่อนอยู่ในนั้น?
ต่อให้ไม่มีสัตว์ป่าที่ดุร้าย อย่างน้อยก็มีแมลงที่มีพิษ หรืออื่นๆ สรุปคือ คนที่ไม่มีประสบการณ์ในการเอาชีวิตรอดในป่าแห่งนี้ เขาอาจจะอยู่ได้ไม่เกินครึ่งวันด้วยซ้ำ
พี่ชายฉันคงไม่ได้……
หลินจิ่วจิ่วไม่กล้าคิดเรื่องนี้อีกต่อไป และใบหน้าของเธอก็เต็มไปด้วยความกลัว
“มันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดหรอก”
ถังเฉาอ่านใจเธอได้และพูดเบาๆ ว่า “ที่นี่คือป่าในเมือง ไม่ใช่ถิ่นทุรกันดาร มันไม่มีสิ่งมีชีวิตที่คุณกำลังคิดหรอก”
หลินจิ่วจิ่วถึงจะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“หรือถ้ามี ก็คงมีแค่เหล่าสิงโตหรือเสือที่ถูกคนนำมาปล่อยเท่านั้น”
“……”
ทันใดนั้น ใบหน้าของหลินจิ่วจิ่วก็ซีดลงอีกครั้ง
หงโฝมองไปที่ถังเฉาอย่างกะทันหัน “เจ้านาย หรือว่าเจ้านายก็คิดเหมือนฉัน?”
ถังเฉาพยักหน้าตอบ “ป่าแห่งนี้น่าจะเป็นสวนล่าสัตว์ขนาดใหญ่ในอดีต”
“สวนล่าสัตว์?”
หลินจิ่วจิ่วถามด้วยความสงสัย
“ใช่ สวนล่าสัตว์”
ถังเฉาพูดแทงใจดำ “ในโลกนี้ ขอแค่มีเงินก็ทำได้ทุกอย่าง เพื่อสนองความต้องการในความหยาบช้าของชาวตระกูลหลวง ผู้หญิงบริสุทธิ์และชีวิตกลางคืนไม่สามารถเติมเต็มให้พวกเขาพึงพอใจได้แล้ว สิ่งที่พวกเขาต้องการคือความตื่นเต้น ความเร้าใจกว่านี้ อย่างเช่นการปีนหน้าผา การดำน้ำ หรือการล่าสัตว์”
“แต่การล่าสัตว์ในประเทศนั้นผิดกฎหมาย ด้วยเหตุผลนี้ ทำให้พวกเขาต้องใช้พื้นที่ของตนในการสร้างป่าขึ้นมาเอง และภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีใครสังเกตเห็น พวกเขาจะแอบนำสัตว์ป่าบางชนิดมาปล่อย โดยทั่วไปแล้วจะเป็นสัตว์กินพืช เช่นละองละมั่ง หรือกวางเรนเดียร์ที่เป็นสัตว์กินพืช แต่บางครั้งก็จะมีสัตว์กินเนื้อขนาดใหญ่ เช่นหมาป่า หรือเสือเป็นต้น”
“สำหรับคุณที่ต้องการถามว่าทำไมผมถึงคิดอย่างนั้น คฤหาสน์แต่งงานของหลินรั่วหวีกับเว่ยหมิงจวินตั้งอยู่ที่นี่ และมันก็พิสูจน์แล้วว่าที่นี่เคยเป็นพื้นที่ล่าสัตว์ขนาดใหญ่มาก่อน”
“……”
เมื่อได้ยินคำอธิบายของถังเฉา ในที่สุดหลินจิ่วจิ่วก็เข้าใจ
“ดูเหมือนว่าคุณรู้เยอะเลยนะ”
เธอพูดขึ้น
ถังเฉามองเธอ แต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงแต่หันมองไปที่หงโฝ
“คุณเอาผงยันยินมาไหม?”
หงโฝถึงกับเบิกตากว้างทันที “คุณรู้จักผงยันยินด้วยเหรอ”
เมื่อพูดจบ เธอก็หยิบขวดหยกเล็กๆ ออกมาจากกระเป๋าเสื้อของเธอ
“นั่นมันอะไร?”
หลินจิ่วจิ่วถาม
“ผงยันยิน กลิ่นกายของสัตว์จะไม่สามารถปกปิดได้อีก”
หงโฝพูดต่อ “ในเมื่อไม่มีรอยเท้าแล้ว เราตามกลิ่นไปดีกว่า”
“ผงยันยิน มันสามารถทำให้กลิ่นทั้งหมดที่ถูกซ่อนอยู่ในดินแผ่ออกมาได้ เนื่องจากก๊าซก็มีน้ำหนัก ผงยันยินมันสามารถผสมเข้ากับกลิ่นตัวแล้วแยกออกมาได้ มันจะจมลงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งคนได้กลิ่นในดินนี้”
“เฉพาะนักล่าที่มีประสบการณ์ในป่าหลายปี หรือนักรบที่เข้าใจสงครามในป่าถึงจะมีวิธีการแบบนี้ได้”
หลินจิ่วจิ่วอ้าปากใบเล็กๆ ของเธอเล็กน้อย เธอรู้สึกตกใจมาก
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่เธอไม่เคยสัมผัสมาก่อน และเธอก็รู้สึกว่ามันวิเศษมาก
ทันใดนั้น ดูเหมือนเธอจะคิดอะไรบางอย่าง เธออดไม่ได้ที่จะมองไปที่ถังเฉาด้วยความประหลาดใจ
หรือว่า เขาเป็นนักล่า?
หรือเป็นนักรบที่เข้าใจสงครามในป่า?
หลินจิ่วจิ่วเริ่มสงสัยเกี่ยวกับตัวตนของถังเฉา
ถังเฉาเทผงยันยินออกมาเล็กน้อย หลังจากนั้นอีกสักพัก กลิ่นฉุนจาง ๆ ก็ลอยขึ้นในอากาศ
กลิ่นนั้นนอกจากเหม็นแล้วมันยังมีกลิ่นคาวปะปนกันอยู่ นอกจากนี้ยังมีกลิ่นหญ้าจางๆ ผสมอยู่ด้วย
ทั้งกลิ่นหอมและกลิ่นเหม็นรวมกัน กลิ่นหอมค่อยๆ หอมขึ้น และกินเหม็นก็ค่อยๆ แรงขึ้นเช่นกัน
สีหน้าของถังเฉากับหงโฝเริ่มกลายเป็นเคร่งขรึมอีกครั้ง
“นี่มันกลิ่นของตัวอะไรกันแน่?”
ไม่ใช่กลิ่นของสัตว์กินเนื้อขนาดใหญ่อย่างเสือหรือสิงโต
ถังเฉานั่งลงและมองดูดินที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าอย่างละเอียด
นอกจากรอยเท้าของพวกเขาแล้ว ตำแหน่งที่เขาเหยียบอยู่ยังดูเรียบมาก เหมือนเพิ่งถูกไม้นวดแป้งกลิ้งผ่านอย่างไรอย่างนั้น
แต่เมื่อสังเกตอย่างละเอียดอีกครั้ง ภายใต้ความเรียบบนพื้นนั้นยังมีรอยยุบบางๆ อยู่……
จากนั้นถังเฉายื่นมือออกไปเพื่อหยิบดินขึ้นมาดม
กลิ่นคาวมันแรงกว่าเดิม……
“นี่มัน……”
สีหน้าของถังเฉาเริ่มขุ่นมัวและไม่แน่ใจ และหัวใจของเขาก็เต้นแรงขึ้น
“มันคืองู”
หงโฝพูดด้วยความตกใจ
“งู?!”
หลินจิ่วจิ่วก็ตกใจมาก สิ่งที่ผู้หญิงกลัวที่สุดก็คืองู
“ตอนที่ทำหนอนพิษ นอกจากจับแมลงที่มีพิษแล้ว ฉันยังต้องจับงูมาทำกู้งูด้วย ดังนั้นดูจากโครงร่างแล้ว นี่คืองูอย่างแน่นอน”
“และยังเป็นงูตัวใหญ่ด้วย!”
“……”
ทันใดนั้น หัวใจของถังเฉาก็เต้นแรงขึ้น
ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่ร่องรอยที่งูคลานผ่าน
จนกระทั่งถึงตอนนี้ พวกเขาเห็นเพียงร่องรอยครึ่งเดียวเท่านั้น ส่วนอีกครึ่งที่เหลือมันจมอยู่ในหญ้าแล้ว
แค่ครึ่งเดียวมันก็ใหญ่ขนาดนี้แล้ว ถ้าเต็มตัวมันจะไม่ใหญ่เท่าล้อรถหรือ?
แล้วงูตัวนี้ต้องใหญ่แค่ไหนกัน ถึงจะสร้างโครงร่างขนาดนี้ได้?
“ผมเคยได้ยินมาว่า ปกติงูจะกลับรังใช่ไหม?”
ถังเฉาหันมองกลับไปแล้วถามหงโฝ
หงโฝพยักหน้าตอบ “ใช่ งูมันฉลาดแกมโกง และหัวใจของการแก้แค้นมันก็สูงมาก ไม่ว่าจะเป็นการล่าสัตว์ หรือว่าวิ่งหนีเอาตัวรอด มันจะไม่ผ่านรังงูของตัวเอง แต่มันจะหันกลับไปโจมตีศัตรูก่อนอย่างแน่นอน!”
สวบ สวบ สวบ ……
ทันทีที่เสียงพูดของหงโฝหยุดลง ทันใดนั้นถังเฉาก็ได้ยินเสียงเสียดสีของพงหญ้าจากที่ไม่ไกล