“ฉันรู้ว่าพี่ตั้งใจที่จะฝึก ไม่มีทางไปสนใจพวกเธอแน่ ถึงอย่างไรวันหลังฉันก็จะฝึกกับพี่ทุกวัน ถือโอกาสช่วยพี่แก้ไขปัญหานิดหน่อย จะได้ทำให้พี่มีสมาธิกับการฝึกให้ฉันหน่อย”
จนกระทั่งตอนนี้ ทั้งสองคนก็ทำข้อตกลงกันแล้ว ถังเชียนเชียนก็ได้อยู่ข้าง ๆ ถังเฉาตลอดดังหวัง
หลังจากที่ทานอาหารแล้ว ถังซานฉ่ายก็ให้ลูกศิษย์ของตัวเองมาหาถังเฉา
“ศิษย์พี่ครับ มีคนมาเยี่ยมเยียนตระกูลถังของพวกเราแล้วครับ อาจารย์เรียกพี่ไปห้องโถงใหญ่ครับ”
ถังเฉาไม่เข้าใจอยู่บ้าง ทำไมมีคนมาเยี่ยมเยียนแล้วตัวเองจะต้องไปด้วย แต่ก็ยังเคารพคำพูดของถังซานฉ่าย เลือกที่จะตามศิษย์น้องคนนี้ไปยังห้องโถงใหญ่
ในเวลาเดียวกันนี้เอง คนของตระกูลไป๋ที่กำลังคุยโวโอ้อวดอยู่กับถังซานฉ่ายอย่างใช้อำนาจบาตรใหญ่อย่างถือดีอยู่กลางห้องโถงใหญ่
“น้องถัง ฉันไม่ได้โม้นะ แชมป์ครั้งนี้จะต้องเป็นของตระกูลไป๋ของพวกเราอย่างแน่นอน”
“นายเองก็รู้ศักยภาพของตระกูลไป๋ของพวกเรา ขอเพียงได้จับอาวุธ โดยรวมแล้วตระกูลแปดไม่มีสักคนที่เป็นศัตรูของพวกเรา”
มองดูสีหน้าที่จริงจังขนาดนี้ของท่านไป๋แล้ว ถังซานฉ่ายก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดว่าใช่หรือไม่จึงจะดี เพียงแค่ยิ้มออกมาอย่างอึดอัด
“จริงสิ คุณลุงถัง ดูเหมือนว่าช่วงนี้ในบ้านของคุณจะมีคนที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษมาปรากฏตัวขึ้นนะ เขาเป็นใครกันแน่นะ? ผมล่ะแปลกใจมากเลย เอางี้ คุณพาเขามาพบผมสักหน่อยสิ?”
ไม่ต้องให้ไป๋ตี๋ออกปาก ถังซานฉ่ายก็รู้อยู่แต่แรกแล้วว่าไป๋ตี๋มาเพื่อถังเฉา
ถ้าว่ากันตามลักษณะที่เป็นมาตลอดละก็ ตระกูลไป๋จะต้องเลือกอาวุธที่ใช้ควบคุมผู้นำทุกคนก่อนการแข่งขันแน่ ๆ ดังนั้นจึงมีผลราวกับเสือติดปีก
รวมถึงครั้งนี้ด้วย แต่ว่าถังซานฉ่ายกลับไม่ได้กังวล เพราะว่าเขาเองก็ไม่รู้ว่าท้ายที่สุดแล้วจะมีอะไรที่สามารถควบคุมถังเฉาได้ ตอนที่ถังเฉาแข่งขันต่อสู้ ความเร็วนั่นยังทำให้ชาวสวรรค์ตกใจ แม้แต่ตาของตัวเองก็ยังมองไม่ทัน
“ไม่เป็นไร ผมเรียกเขามาพบคุณแล้ว ถึงอย่างไรทุกคนก็ล้วนแต่เป็นทายาท รู้จักกันสักหน่อยก็เป็นเรื่องที่สมควร วันหลังก็จะได้ช่วยเหลือกัน”
หลังจากที่ไป๋ตี๋ฟังประโยคนั้นจบก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมา ชี้ถังซานฉ่ายแล้วเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่ว่า
“คุณลุงถังนี่เข้าใจผมจริง ๆ ไม่เลว… ไม่เลวเลย…”
ถังเฉาเดินออกมาจากโรงอาหารด้วยความรวดเร็ว
แต่พลังที่ส่งออกมาจากบนร่างของถังเฉากลับไม่ได้ทำให้ไป๋ตี๋สัมผัสได้ถึงความกดดันแม้แต่น้อย
คนที่ฝึกยุทธ์ทั้งหมดจะต้องมีแรงกดดันอยู่บนร่าง และความแข็งแกร่งประเภทนี้ก็ยืนยันความแข็งแกร่งของคนคนนั้นได้
แต่ตอนที่ถังเฉาเดินเข้ามาในประตูใหญ่ ไป๋ตี๋หันกลับไปมอง กลับสัมผัสไม่ได้ถึงแรงกดดันใด ๆ
“ท่านนี้คือ?”
ไป๋ตี๋เอ่ยถามด้วยใบหน้าไม่อยากจะเชื่อ ถังซานฉ่ายชี้ไปที่ถังเฉา หัวเราะหึหึพลางเอ่ยแนะนำว่า
“ไป๋ตี๋ คนคนนี้ก็คือทายาทของตระกูลถังที่คุณเพิ่งจะพูดเมื่อกี้ว่าอยากจะพบยังไงล่ะ เป็นอย่างไร ดูโดดเด่นใช่ไหมล่ะ”
ไป๋ตี๋มีท่าทีเยาะหยัน หัวเราะเสียงดังขึ้นมา
“ดูโดดเด่นจริง ๆ แรงกดดันบนร่างทำให้ผู้คนไม่กล้าประจบสอพลอจริง ๆ แรงกดดันน้อยยิ่งกว่าผู้หญิงคนหนึ่งเสียอีก นี่เป็นทายาทของตระกูลถังได้ยังไงกันเนี่ย?”
“เป็นทายาทของตระกูลถัง อย่างน้อยก็ต้องมีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้แข็งแกร่งมาก แต่อย่างน้อยก็ถ้าเทียบกับคุณที่เหมือนกับพวกผู้หญิงแล้ว ก็ยังห่างชั้นกันอยู่นะ”
ที่จริงแล้วคำเปรียบเทียบว่าเหมือนกับพวกผู้หญิง พอเอามาใช้กับถังเฉาแล้วดูเหมือนจะไม่เหมาะสมกันสักนิด ถึงอย่างไรถังเฉาก็รูปร่างเป็นผู้ชายมาก ๆ แต่นี่เป็นเพียงอุบายยั่วโมโหถังเฉาของไป๋ตี๋เท่านั้น
หลังจากที่ถังซานฉ่ายฟังจบแล้ว สีหน้าก็เปลี่ยนไป แต่เป็นเพราะตนเองเป็นผู้อาวุโส จะออกปากก็ไม่งาม ทำได้เพียงยิ้มอย่างอึดอัด
แต่ว่าถังเฉากลับไม่โกรธเลยสักนิด เดินเข้ามาอย่างเงียบ ๆ นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของไป๋ตี๋
“ท่านนี้ก็คือทายาทของตระกูลไป๋สินะครับ ผมเคยได้ยินมาว่าถ้าไม่ถืออาวุธ ก็ไม่มีพลังต่อสู้ ผมดูจากรูปร่างของพี่ไป๋ท่านนี้แล้วก็ไม่เหมือนคนที่อ่อนแอขนาดนั้นนะ ต้องโทษคำเล่าลือข้างนอกนั่นที่เล่าลือพี่ไป๋อย่างอ่อนแอขนาดนั้น”
“ถ้าหากว่ามีคนที่พอไม่มีอาวุธแล้วก็ไม่มีกำลังการต่อสู้จริง ๆ ละก็ นั่นมันจะแตกต่างอะไรจากสวะล่ะ?”
คำพูดไม่กี่คำของถังเฉาทำให้ใบหน้าทั้งใบของไป๋ตี๋แดงขึ้นมาทันที เพราะว่าทุกคนล้วนแต่รู้ว่าตระกูลไป๋ทำได้แค่ใช้อาวุธ ส่วนเรื่องความรู้ด้านการต่อสู้นั้น ส่วนใหญ่แล้วจะไม่ได้ศึกษามามากมายนัก
หลังจากที่ถังซานฉ่ายฟังข้อโต้แย้งของถังเฉาจบ เขาก็ลอบยิ้มออกมา ในตอนนี้ท่านไป๋ และยังไป๋ตี๋ ทั้งสองคนกลับหน้าแดงไปทั้งหน้า ถึงขั้นที่มีความรู้สึกอยากจะฆ่าคนขึ้นมา
“แหม! ถังเชียว ดูที่นายพูดนั่นสิ คำพูดพวกนี้ถ้าไม่ควรพูดก็อย่าพูดเลย รีบหุบปากเสีย แล้วขอโทษผู้อาวุโสของตระกูลไป๋”
“ไม่มีอาวุธก็ไม่มีกำลังต่อสู้นี่ เรื่องประเภทนี้ไม่ได้น่าอับอายเหมือนอย่างที่นายพูดนะ ในเมื่อขอเพียงมีอาวุธ พวกเขาก็ยังถือว่าใช้ได้ใช่ไหมล่ะ”
เมื่อกี้ถังซานฉ่ายถูกไป๋ตี๋ทำให้โกรธจนสำลัก หลังจากที่ได้ฟังประโยคนี้แล้ว ก็รีบพูดรับส่งกับถังเฉาทันที
เมื่อกี้ไป๋ตี๋ไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง หลังจากได้ฟังคำพูดของถังซานฉ่ายแล้วจึงได้เข้าใจ พวกศิษย์พี่ศิษย์น้องของตระกูลถังก็แอบหัวเราะกันขึ้นมาพักหนึ่ง แอบหัวเราะคนเดียวก็ว่าไปอย่าง แต่ว่าคนมากมายขนาดนั้นก็เราะด้วยกัน ต่อให้เป็นการลอบหัวเราะ แต่ก็ยังเสียงดังอยู่ดี
เห็นได้อย่างชัดเจนว่าคนของตระกูลไป๋สองคนนี้ล้วนรู้สึกขายหน้า
ท่านไป๋ที่เห็นว่าไป๋ตี๋โมโหจนหมดคำพูด กลับปรากฏท่าทางเมตตาอารี มองถังเฉาพลางเอ่ยว่า
“นี่มันไม่เป็นไรนะ ถึงอย่างไรก็เป็นคนของยุทธจักร ถ้าไม่พกอาวุธสักชิ้นบนตัวก็คงไม่สมเหตุสมผลหรอกมั้ง”
ถังเฉาเพียงแค่พยักหน้าไปส่ง ๆ แสดงให้เห็นท่าทางว่าไม่สนใจ ส่วนใจของท่านไป๋กลับเดือดจัดตั้งนานแล้ว
รอจนไป๋ตี๋มีปฏิกิริยาตอบโต้ก็มองไปยังท่านไป๋ ท่านไป๋ใช้สายตาหนึ่งกับเขา ไป๋ตี๋เดิมอยากจะพูดอะไร กลับหุบปากฉับไป
“ถึงอย่างไรเมื่อถึงเวลาก็จะต้องแข่งขันต่อสู้ เอาอย่างนี้ไหม พวกนายสองคนลองสู้กันตอนนี้เถอะ? ฉันอยากจะดูว่าพี่ถังคนนี้มีเคล็ดลับอย่างไรกันแน่ สามารถทำให้หวางหวู่ของตระกูลถังได้เปรียบในตอนที่ดวลกันด้วย”
ถึงแม้ว่าถังเฉาจะบดหวางหวู่จนแหลกละเอียด แต่ข่าวที่ตระกูลถังปล่อยออกไปกลับได้เปรียบ ถึงอย่างไรก็เป็นคนของตระกูลถัง ถ้าหากทำให้คนนอกได้พบเรื่องตลกนั่นก็แย่แล้ว
ถังเฉากลับไม่ใส่ใจ เพราะว่าที่จริงแล้วไป๋ตี๋ที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้ทำให้ตนเองรู้สึกได้ถึงแรงกดดันใด ๆ ถ้าหากว่าเพียงแค่ใช้กลอุบายหรือแค่อาวุธละก็ ถังเฉาไม่ได้หวาดกลัวเลยสักนิดจริง ๆ
เดิมทีถังซานฉ่ายกังวลว่าวรยุทธ์ของถังเฉาจะถูกวิเคราะห์ออกมา พอถึงตอนที่แข่งขันการต่อสู้กัน ตระกูลไป๋ใช้อาวุธเฉพาะทางเข้า คิดจะปฏิเสธการแข่งขันการต่อสู้ครั้งนี้
แต่ยังไม่ถึงตอนที่ถังซานฉ่ายเอ่ยปาก ถังเฉาก็น้อมรับคำท้าครั้งนี้ไปแล้ว
“ได้นะ ถึงอย่างไรผมก็เพิ่งจะกินอิ่ม ตอนนี้ไม่มีอะไรทำ มีเวลามาทดลองกับพี่ไป๋คนนี้พอดี”
“แต่ในเมื่อพี่ไป๋ใช้อาวุธ เช่นนั้นผมก็ใช้อาวุธด้วยเลย ไม่อย่างนั้นมันก็ไม่ยุติธรรมเกินไป”