“ฉันขอโทษจริง ๆ ช่วงหลายวันที่ผ่านมาฉันนึกเบาะแสอะไรไม่ออกเลย แต่ฉันก็พยายามแล้ว ฉันเชื่อว่าจะจำทุกอย่างได้ในไม่ช้า และเมื่อถึงเวลานั้นฉันจะบอกคุณทั้งหมด” โอดะไอครุ่นคิดอยู่นาน แต่ก็คิดอะไรไม่ออก เธอมองถังเฉาด้วยความรู้สึกเสียใจ
แม้ว่าจะไม่ใช่ความผิดโอดะไอ แต่ตอนที่เธอมองไปที่ถังเฉา เธอถือว่าตนเองเป็นเด็กที่สารภาพผิดต่อถังเฉา เธอรู้สึกว่าการที่ตนเองไม่สามารถนึกเบาะแสอะไรขึ้นมาได้ เป็นการผิดต่อถังเฉา
เมื่อถังเฉาเห็นเธอแสดงท่าทางละอายใจ ถังเฉารู้สึกผิดเล็กน้อย จึงเข้าไปตบไหล่เธอแล้วกล่าวว่า
“คุณกำลังคิดอะไรอยู่? ผมแค่อยากรู้ว่า คุณนึกเบาะแสอะไรขึ้นมาได้บ้างหรือยัง? ถ้ายังจำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร มันไม่สำคัญ ไม่เป็นไร คุณก็อยู่ที่นี่ให้สบายใจเถอะ”
ทำไมโอดะไอจะไม่รู้ว่าข่าวนี้มีความสำคัญต่อถังเฉามากแค่ไหน และถังเฉาสนใจข่าวนี้มากเพียงใด
แม้ว่าถังเฉาจะเดินทางมาที่ราชวงศ์ต้าเซี่ยเพื่อช่วยแม่ของตนเอง แต่เขายังคงเอาใจใส่เรื่องของหว่างเหลี่ยงและหลี่เห้า และระมัดระวังมากขึ้น เพราะถังเฉารู้หว่างเหลี่ยงอยู่ในราชวงศ์ต้าเซี่ย เพียงแต่ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหนเท่านั้น
หลังจากที่สามคนคุยกันอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดถังเฉาก็กำลังเตรียมตัวที่จะกลับไป
ขณะเดียวกัน ถังเชียนเชียนซึ่งไม่ได้เห็นถังเฉาเพียงวันเดียวกำลังนั่งอยู่ที่ตระกูลถัง
“แปลกจัง ทำไมสายแล้วพี่ถังเฉายังไม่กลับมาอีก ฉันจะต้องออกไปหาเขาแล้ว ถ้าหากขาเจออันตรายแล้วจะทำอย่างไรดีล่ะ?”
เป็นข้ออ้างที่ไร้เหตุผล คนอื่นอาจจะไม่รู้จักความสามารถของถังเฉา แต่ถังเชียนเชียนนั้นรู้ชัดเจน หลังจากได้เห็นการต่อสู้มากมายของถังเฉา ส่วนมากเขาจะเอาชนะคู่ต่อสู้ด้วยพลานุภาพที่บดขยี้ แต่ตอนนี้เธอกลับกล่าวคำพูดเช่นนี้ออกมา
หลังจากคนตระกูลถังที่อยู่ด้านข้างเห็นภาพนี้แล้ว อยากจะหัวเราะ แต่ก็มีความรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย
เพราะอย่างไรเสียถังเชียนเชียนนั้นเป็นหญิงสาวที่สวยมาก หากลูกศิษย์ของตระกูลถังพวกนี้ได้ถังเชียนเชียนมาครอบครอง ถือเป็นความโชคดีที่สุดของพวกเขา
ถังเชียนเชียนจึงออกไปจากตระกูลถัง และเดินไปตามถนน เธอไม่รู้ว่าถังเฉาอยู่ที่ไหน จนกระทั่งชายฉกรรจ์สามคนในร้านเห็นถังเชียนเชียนเดินหาคนราวกับคนหลงทาง
“สาวคนนั้นสวยมาก พวกเราไปลองดูไหม ดูว่าเธอจะตามพวกเราไปไหม”
หลังจากชายคนหนึ่งกล่าวจบ ชายอีกสองคนก็มองและพยักหน้าอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาถูกความงามของถังเชียนเชียนดึงดูด
“ผมไปเอง นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นสาวสวยเช่นนี้ ไป! รีบพาเธอไปกับพวกเราเถอะ”
“เฮ้ พี่ใหญ่ พี่ไม่ต้องรีบ แค่ผมเข้าไปพูดจีบ เธออาจจะไปกับพวกเราเลยก็ได้”
คนที่กล่าวคือเจ้ารอง เขาคิดว่าตนเองนั้นหล่อมาก แต่หลังจากที่คนอื่นได้ยินประโยคนี้ ก็มองหน้าเขาแล้วก็คลื่นไส้ขึ้นมาทันใด เพราะคนนี้คนไม่เพียงแต่ไม่หล่อ แต่ยังขี้เหร่อีกด้วย
“ไม่ใช่มั้ง หน้าตาแบบนี้ยังกล้าพูดจาเช่นนี้อีก ช่างน่าขำเสียจริง”
คนที่นั่งอยู่ข้างหลังกล่าว แต่บังเอิญไม่ระวังตัวทำให้พี่รองได้ยิน
ทันใดนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าของพี่สองก็หายไป และกลับมีสัหน้าที่ชั่วร้ายและโหดร้าย
“พี่ได้ยินไหมว่ามีคนกล้ากล่าวเยาะเย้ยผม”
หลังจากได้ยินคำพูดประโยคของพี่รอง สองพี่น้องก็ตบโต๊ะทันที และกล่าวกับลูกค้าคนอื่นในร้านด้วยท่าทางที่น่าเกรงขาม
“พวกคนชั้นต่ำกำลังพูดนินทาอะไรผมอยู่? ถ้าแน่จริงก็ลุกขึ้นมาพูดกับผม เป็นแค่คนไร้ประโยชน์ในราชวงศ์ต้าเซี่ยเท่านั้น ยังกล้าที่จะกล่าวนินทาลับหลังผมอีก”
เดิมยังไม่เท่าไหร่ แต่เมื่อพี่ใหญ่บอกว่าคนในราชวงศ์ต้าเซี่ยเป็นคนที่ไร้ประโยชน์ ทำให้ทุกคนไม่สามารถทนได้อีกต่อไป
“บ้าคลั่งเกินไปแล้ว พวกเราคนราชวงศ์ต้าเซี่ยอยู่ที่นี่มากมาย พวกคุณยังกล้าที่จะดุด่าพวกเราอีก”
ชายคนหนึ่งลุกขึ้นยืน และคิดจะต่อต้าน แต่ถูกเพื่อนข้างกายตบไหล่เบา ๆ
“พวกเขาเป็นคนญี่ปุ่น คุณอยากตายหรือ? รีบนั่งลงซะ”
หลังจากได้ยินประโยคนี้ เดิมผู้ชายที่โอหังระงับความโกรธของตนเองทั้งหมดทันที และเปลี่ยนท่าทางเป็นไอ้สุนัขขี้ประจบ
ในฐานะพี่ใหญ่ และถูกเหยียบหยามจนอับอายเช่นนี้ แล้วจะให้ยุติเรื่องเพียงเท่านี้ได้อย่างไร
“เมื่อสักครู่คุณพูดว่าอะไรนะ คุณพูดว่าพวกเราบ้าคลั่งหรือ?”
พี่ใหญ่แสร้งทำเป็นสุภาพอ่อนโยน เดินเข้าไปอยู่ตรงหน้าชายคนนั้นแล้วก้มหน้าลง
และเห็นได้ชัดว่ามือที่อยู่ข้างหลังของเขานั้นถือขวานอยู่
ผู้คนไม่กล้าพูดอะไร และหลังจากผ่านไปสองวินาที ทุกคนนั่งนิ่งและเงียบมาก ไม่มีใครพูดอะไร
แม้ว่าจะเป็นเวลาเพียงสองวินาที สำหรับพวกเขาแล้ว เป็นเวลาสองวินาทีที่ยาวนานที่สุดในชีวิตของพวกเขา
“ผมขอโทษจริง ๆ พี่ใหญ่ เมื่อสักครู่ผมเป็นคนพูดจริง ๆ ผมไม่ควรพูดบ้าคลั่งเช่นนั้น ถ้าพวกคุณไม่ตบหน้าผม ฉันจะขอโทษพวกคุณ”
หลังจากนั้น พี่ใหญ่ที่เป็นคนญี่ปุ่นเอาขวานฟันไปที่ร่างของชายคนนั้น จนกระทั่งชายคนนั้นหมดลมหายใจ
“เป็นแค่คนไร้ประโยชน์ ยังกล้ามาวิพากษ์วิจารณ์ต่อหน้าผม รนหาที่ตายชัด ๆ”
หลังจากพี่ใหญ่ใช้ขวานฟันชายคนนั้นจนตาย พี่น้องอีกสองคนที่อยู่ข้างหลังก็ปรบมือ
และสาเหตุที่คนญี่ปุ่นหยิ่งผยองมาก เพราะพวกเขามีมิตรภาพที่แน่นแฟ้มกับคนที่มีอำนาจในราชวงศ์ต้าเซี่ย
มิเช่นนั้น ชาวต่างชาติทั่วไปจะเข้ามาในราชวงศ์ต้าเซี่ยไม่ได้
หลังจากที่ผู้ชายญี่ปุ่นสามคนนี้จัดการธุระของพวกเขาเสร็จ พวกเขาก็รีบมาที่ถนนสายนี้โดยเร็วที่สุด
“ยังดี ที่ยังสามารถตามทันอยู่ ถ้าเจ้าหนูคนนั้นทำให้ผมล่าช้า ผมจะกลับไปทำลายร้านของพวกอย่างแน่นอน”
หลังจากพี่สองกล่าวจบ เขาก็พาพี่ใหญ่และน้องสามไปหาถังเชียนเชียน
เมื่อผู้คนบนถนนเห็นชายสามคนนี้ ก็หลบทางให้พวกเขา เพราะเสื้อผ้าที่พวกเขาใสนั้นบ่งบอกสถานะของพวกเขา และทำให้ไม่มีใครกล้ายุ่งกับพวกเขา
แล้วถังเชียนเชียนค่อย ๆ รู้สึกว่ามีคนเดินตามหลังตนเอง จึงหันหน้าไปมองคนที่เดินตามตนเอง
“พวกคุณเป็นอะไร? ถึงได้เดินตามฉันมาตลอดทาง มีเรื่องอะไรก็พูดมา”
ขณะนี้ ชายทั้งสามมองหน้ากัน หลังจากนั้นพี่สองก็สะบัดผมของตนเอง เขาขยิบตาให้ถังเชียนเชียน
“น้องสาว คุณไม่เข้าใจหรือว่าพวกเราหมายถึงอะไร? ถ้ารู้จักดูทิศทางลม ก็ตามพวกเราไปเดี๋ยวนี้ ผมคิดว่าคุณคงรู้สถานะตัวตนของพวกเราจากเสื้อผ้าที่พวกเราสวมใส่”
ในที่สุดถังเชียนเชียนก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ที่แท้ตนเองได้เจอพวกอันธพาลจากญี่ปุ่น ดังนั้นจึงรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาทันที
“พวกคุณอย่าเข้ามานะ!”