บทที่ 111 นอนคนเดียว สามปี
เฟิงเฉินจับจ้องลั่วมั่นอย่างพิจารณา คำถามที่พ่นออกมานั้นมีความประหลาดเล็กน้อย
“ผมนอนที่ไหน?”
ลั่วมั่นคิดว่าเขาจะแยกห้องนอนอีกแล้ว สีหน้าเธอสลดทันที “แม้ว่าบ้านฉันจะไม่ใหญ่มากนัก แต่ห้องนอนเพียงพออยู่แล้ว คุณอยากนอนห้องไหนก็ได้”
คุณแม่ของลั่วมั่นนั้นใช่ว่าไม่เคยเห็นมีท่าเช่นนี้ของเขาเธอเคยไปที่วิลล่าจิ่นซิ่วมาแล้วครั้งหนึ่งก่อนหน้านี้ รู้ว่าทั้งคู่แยกห้องนอนกัน แต่เธอก็ยังคงร้อนรน เสียดายที่ตนพูดออกไปแบบนั้น
เฟิงเฉินเลิกคิ้วขึ้น กระตุกยิ้มมุมปาก “ถ้างั้นผมขอนอนห้องที่คุณเคยนอนแล้วกัน”
ลั่วมั่นนิ่งไป ด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป เธอปฏิเสธโดยปราศจากการไตร่ตรอง “ไม่ได้!”
“ทำไม?”
ลั่วมั่นหาข้ออ้างในการปฏิเสธ
“ห้องนั้นเป็นห้องนอนเดี่ยว เล็กมาก นอนไม่ได้หลอก”
แม่ของลั่วมั่นเองก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย “เป็นห้องนอนเดี่ยว มั่นมั่นจะเก็บไว้เป็นความทรงจำจึงไม่เคยกลับไปนอนที่ห้องนั้นอีก ตอนแต่งงานเราจัดเตรียมห้องเอาไว้ให้ อยู่ข้างห้องเธอเอง”
“ห้องไหน?” เฟิงเฉินเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา
“ทางนั้น” มารดาของลั่วมั่นชี้ไปยังห้องหนึ่งบนชั้นสอง
เฟินเฉินพยักหน้ารับคำ ก่อนที่จะก้าวยาวขึ้นไปยังชั้นบน
“ฉันบอกแล้วว่าไม่ได้!” ลั่วมั่นเร่งฝีเท้าตามขึ้นไป เธอวิ่งไปดักทางเดินของเขาเอาไว้ พร้อมกางแขนทั้งสองข้างขึ้นขวางประตูห้องนอนของตน
เฟิงเฉินยันเธอเอาไว้กับผนัง พร้อมกับโน้มตัวลงเล็กน้อย กระซิบเสียงแผ่ว
“ห้องเดี่ยวก็ไม่เป็นไรนี่ ผมนอนคนเดียวแล้วกัน ส่วนคุณก็ไปนอนที่ห้องรับรอง”
ลั่วมั่นถูกลมหายใจของเขาแผดเผาจนทรมาน เธอกัดฟันแน่น พร้อมเอ่ยขึ้น “เรื่องอะไร นี่มันห้องของฉัน!”
“อะไรเรื่องอะไร? ของของเธอก็คือของของผม ของของผมก็คือของของคุณ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมมาที่บ้านของคุณ พักที่ห้องใหญ่คงไม่เกินไปหลอก”
ลั่วมั่นร้อนใจ “ห้องใหญ่ที่วิลล่าจิ่นซิ่วก็เป็นของคุณ ส่วนฉันพักที่ห้องรับรอง! เป็นเวลาสามปี”
เธอไม่คิดอะไรมาก เมื่อตอนถกเถียง เพียงแต่เธอรู้สึกสงสารตัวเอง เมื่อกล่าวประโยคนั้นออกมา ความสงสารแปรเปลี่ยนเป็นความแข็งกระด้าง กีดขวางทางเอาไว้ไม่ยอมให้เขาเข้าไป
เฟิงเฉินอึ้งไป ดวงตาเขาสั่นไหวขึ้นมา
ในขณะที่ลั่วมั่นเผลอไผล เขาหยิบโทรศัพท์ออกมา ต่อสายหาใครบางคนต่อหน้าต่อตา “แม่บ้านหลี อีกสองวันผมกับลั่วมั่นจะกลับไปแล้ว คุณช่วยหาคนย้ายข้าวของคุณหญิงไปไว้ที่ห้องใหญ่ที ห้องเดิมของเธอช่วยทำให้กลับไปเป็นห้องรับรองเหมือนเดิมด้วย”
ประโยคชัดถ้อยชัดคำ ไร้ทีท่าอิดออดแต่อย่างใด
ลั่วมั่นเบิกตาโต
นี่มันอะไรกัน?
“พอใจรึยัง? นางหญิงเฟิง? ตอนนี้ผมเข้าไปได้หรือยัง?” เฟิงเฉินยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
เกี๊ยวทอดคงไม่ได้กินเสียแล้ว แต่ได้พักที่ห้องนอนของเธอก็ถือว่าคุ้มแล้ว
ลั่วมั่นตกอยู่ในภวังค์สักพัก ก่อนที่จะได้สติกลับคืนมา พร้อมกับสายตาของเธอที่แน่วแน่มากกว่าเก่า “ยังไงก็ไม่ได้ ฉันนอนที่ห้องรับรองมาสามปี แค่โทรศัพท์สายเดียวก็จะหักล้างทุกอย่างงั้นเหรอ มันง่ายเกินไปหน่อยไหม”
กลับบ้านมาทั้งทีถือว่าได้ปลดปล่อยความอัดอั้นในใจทั้งหมดออกมา นี่ไม่ใช่เรื่องที่เฟิงเฉินจะใช้ความอ่อนโยนเพียงน้อยนิดแล้วจะชดใช้ได้ง่ายๆ เพียงแต่เธอเห็นแก่บิดาและมารดา จึงไม่ได้แสดงออกมาเพียงเท่านั้น แต่อันที่จริงในใจเธอค่อนข้างถือโทษการทะเลาะวิวาทของหลายปีมานี้
“แล้วเธอต้องการอะไร?” ประโยคที่หลุดออก แม้แต่ตัวเฟิงเฉินเองก็สงสัยในความใจเย็นของตนที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
สายตาของลั่วมั่นเปลี่ยนไปทันที
“นายเองก็ไปนอนห้องรับรองสามปี ยุติธรรมดี”
สีหน้าของเฟิงเฉินซีดเผือด “สามปี?”
“สามปีนั่นแหละ ห้ามขาดแม้แต่วันเดียว” ลั่วมั่นถือโอกาสนี้ในการระบายความอัดอั้นทั้งหมดออกมา
เฟิงเฉินมีทีท่ายอมแพ้ เขาเอาแขนทั้งสองข้างลงจากผนัง
ลั่วมั่นค่อยยังชั่วในขณะที่รอให้แขนทั้งสองข้างลดลง เงาตะคุ่มตรงหน้าเคลือบคลานเข้ามา ทันใดนั้นริมฝีปากถูกเขาประกบ ขณะที่เธอแหงนหน้าด้วยความตกใจหญิงสาวกลับถูกกดให้ติดกับประตูอย่างแน่นหนา