บทที่ 138 ก็แค่หย่าเท่านั้นเอง
“อยู่ที่บ้านเธอจะเอาแต่ใจยังไงก็ได้ แต่ที่นี่เป็นบ้านของพ่อกับแม่ ต่อหน้าพวกท่าน เธอแน่ใจหรือว่าจะใช้อารมณ์กับผม?”
เพียงแค่ลั่วมั่นตกอยู่ในภวังค์ชั่วครู่ เฟิงเฉินก็ได้หยุดอยู่ที่ข้างหลังเธอเสียแล้ว พร้อมกับน้ำเสียงที่ไร้หนทาง “นิสัยของพี่สาวผมเธอรู้ดี แต่ไม่ต้องห่วง ผมจะช่วยเธอเอง”
“ใครต้องการความช่วยเหลือจากคุณ?” ลั่วมั่นดีดตัวออกจากบริเวณอ้อมแขนของเขาราวกับถูกไฟฟ้าช็อต จับจ้องเขาด้วยสีหน้าประหลาดใจ “ขี้โกง…..”
ความรำคาญที่มากกว่าความโกรธ ทีท่าเช่นนี้ของเธอช่างน่ารักเหลือเกินในสายตาของเฟิงเฉิน
“ไม่ต้องการจริงเหรอ?”
“ไม่ต้องการ” ลั่วมั่นคิ้วผูกติดกัน ด้วยน้ำเสียงที่สุดแสนจะลังเล
เฟิงจิ่งนั้นไม่เท่าไหร่ ถูกเขาว่าประโยคสองประโยคไม่เดือดร้อนอะไรหลอก แต่ทุกครั้งที่มาทานอาหารที่คฤหาสน์เฟิง เธอมักจะถูกพ่อและแม่บ่นเรื่องลูกเสมอ แม้ว่าหลายปีมานี้เฟิงเฉินมักจะเด็ดดอกหญ้าข้างทางเสมอ แต่ต่อหน้าพ่อและแม่พวกเขาทั้งคู่มัดจะแสร้งรักกันมากมาโดยตลอด ยังไงซะการแต่งงานในครั้งนี้เธอเป็นฝ่ายสมยอมเอง
เฟิงเฉินจับจุดอ่อนของเธอได้ เขาเข้าประชิดตัวเธอ
“หากพ่อแม่ของผมถามเรื่องลูกขึ้นมา เธอก็ไม่ต้องการความช่วยเหลือจากผมงั้นเหรอ? หากพ่อและแม่ถามว่าทำไมถึงยังไม่มีความคืบหน้าขึ้นมา หากผมบอกว่าคุณไม่พยายาม เธอก็คงจะ…..”
ทันใดนั้นหัวใจที่ราบเรียบของลั่วลั่นถูกเขาสะกิดจนเกิดไฟปะทุ
“ไม่ต้องการ”
เธอเอ่ย พลันคิดที่จะเดินออกจากอาคาร “ไม่มาก็ไม่ต้องมา”
เมื่อเห็นแผ่นหลังที่ร้อนระอุของลั่วมั่น เฟิงเฉินลูบไล้ตนเอง อย่างไม่เข้าใจ การชอบพูดจาไร้สาระของเขาทุกครั้งที่เห็นเธอมันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? เขาตั้งใจมาง้อเธอแท้ๆ
เขาไล่ตามเงาร่างของลั่วมั่นไป ทั้งคู่ตีฝีปากกันกระทั่งถึงห้องโถง เมื่อเข้ามาด้านใน กลับรู้สึกถึงบรรยากาศที่น่าอึดอัด พร้อมกับแจกันราชวงศ์ส้งที่ตกแตกละเอียดที่พื้น เหล่าสาวใช้กำลังช่วยกันเก็บกวาด โดยไม่กล้าแม้แต่หายใจ
ลู่จิ่งจูสีหน้านิ่งขรึม มือที่จับแก้วน้ำสั่นระริก ข้างๆ เป็นพ่อตาของลั่วมั่น บิดาของเฟิงเฉิน ดูเหมือนว่าจะอารมณ์แปรปรวนไม่น้อย เฟิงจิ่งอยู่ในชุดสีแดงเลือดหมูยืนเกาะอยู่ที่ริมหน้าต่าง กำลังสูบบุหรี่อยู่
ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“คุณแม่ เกิดอะไรขึ้น?” ผู้ที่คำพูดมีน้ำหนักนอกจากคุณหญิงคุณท่านตระกูลเฟิงแล้ว ก็คงจะเป็นเฟิงเฉิน เพราะงั้นการที่เขาเอ่ยขึ้นแก้สถานการณ์อันน่าอึดอัดนี่ก็สมเหตุสมผลแล้ว
ลู่จิ่งจูชี้ไปทางเฟิงจิ่ง เอ่ยขึ้นอย่างโมโห “อย่าถามฉัน ไปถามพี่สาวแกไป”
เฟิงจิ่งหันหน้ากลับมา พ่นควันบุหรี่ออกมาเป็นวงกลางอากาศ ก่อนที่จะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ปกติ “ก็แค่หย่าไม่ใช่หรือไง? จำเป็นต้องทำแบบนี้เหรอ? ฉันไม่ได้ถูกไล่ออกมาจากบ้านแม่สามีสักหน่อย เขาขึ้นเตียงกับผู้หญิงคนนั้นถึงบ้าน ยังไม่หย่ากับเขา ฉันโง่นักหรือหรือไง?”
ลู่จิ่งจูวางแก้วน้ำขาลงบนโต๊ะอย่างแรง เธอพยายามที่จะระงับสติอารมณ์ของคนเองให้เป็นปกติ
“ระหว่างสามีภรรยาจะไม่มีเรื่องให้สะดุดได้อย่างไร แกบอกหย่าก็หย่า ไม่มีแม้แต่ลูกสักคน แล้ววันหลังแกจะใช้ชีวิตยังไงกัน?”
“ต้องอยู่ยังไงก็อยู่อย่างงั้นแหละ” สายตาของเฟิงจิ่งมองข้ามผ่านเฟิงเฉินที่มุ่งไปยังตน หยุดอยู่ที่ลั่วมั่นที่อยู่ด้านหลังของเขา พร้อมเอ่ยอย่างมีเลศนัย “ฉันไม่เหมือนกับใครบางคนหลอก ฉันมีการงานของตนเอง จะมีลูกหรือไม่ฉันก็อยู่ได้ทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องใช้เด็กเพื่อยืนยันสถานะของตนเอง”
ประโยคนี้ แดกดันลั่วมั่นชัดๆ
เฟิงจิ่งไม่สบอารมณ์ที่เห็นลั่วมั่นใช้ชีวิตอย่างสุขสบายที่ตระกูลเฟิงมาช้านาน สำหรับเธอ ลั่วมั่นก็เป็นแค่ผู้หญิงไร้ค่าที่แต่งงานเพื่อเกี่ยวดองทางธุรกิจเท่านั้น ที่ทำให้รู้สึกสมเพช
“พูดพล่อยๆ!”
ลู่จิ่งจูเป็นคนหัวโบราณอย่างมาก เธอโมโหแทบคลั่งเมื่อได้ยินประโยคที่หลุดออกจากปากของลูกสาว
ส่วนลั่วมั่น สีหน้าเธอเองก็ไม่สู้ดีเช่นเดียวกัน
“พี่ เลิกพูดจาประหลาดได้ไหม” เฟิงเฉินเอ่ย พร้อมเอื้อมมือหยิบบุหรี่ของเฟิงจิ่งออก ก่อนบี้กับหน้าต่างจนดับมอด พร้อมเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ที่นี่คือคฤหาสน์เฟิง ไม่มีพื้นที่สำหรับการริเริ่มการหย่าร้องของเธอ เลิกจับผิดคนอื่นไปทั่วเพื่อระบายอารมณ์ซ