บทที่ 236 ทำให้ตระกูลเฟิงเสียหน้า
เมื่อเฟิงเฉินและลั่วมั่นขับรถกลับมาถึงวิลล่าจิ่นซิ่วฟ้าก็มืดแล้ว เมื่อเข้ามาในประตูก็พบว่าไฟในห้องเปิดอยู่ เดิมทีไม่สนใจอะไร ลั่วมั่นยังคงเล่าเรื่องร้ายกาจที่เธอทำในครัวให้เฟิงเฉินฟัง แต่กลับได้ยินเสียงวางแก้วลงบนโต๊ะแรงๆ ดังมา
เสียงดัง “ปึง” ดังก้องอยู่ในห้องรับแขกขนาดใหญ่
ลั่วมั่นตกใจ จิตใต้สำนึกมองไปทางเสียงโดยไม่รู้ตัว ค่อยเก็บรอยยิ้มบนใบหน้าลง
“แม่ มาได้ยังไง?” ลู่จิ่งจูนั่งเอียงตัวหันหน้าทางระเบียงอยู่บนโซฟา สวมเสื้อคลุมสีเขียวเข้ม ผมม้วนลอน สวนสร้อยคอมุก รอบคอ คนทั้งคนดูสง่างามน่าเกรงขาม
“ทำไม? บ้านลายลูกสะใภ้ฉัน ฉันมาไม่ได้หรือไง?”
เฟิงเฉินอยากจะพูด แต่กลับโดนลั่วมั่นดึงไว้ห้ามไม่ให้เขาเอ่ยปาก
“ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น” ลั่วมั่นรีบอธิบาย “แม่ ฉันรินชาให้”
“ไม่ต้องแล้ว” ลู่จิ่งจูน้ำเสียงเย็นชา “แต่งงานกับเฉินมาสามปีแล้ว ฉันเห็นเธอยังไม่รู้ชัดเจนว่าตัวเองควรทำอะไรไม่ควรทำอะไร”
“ท่าน ประโยคนี้หมายความว่าอะไร?”
“ฉันหมายความว่าอะไร?”
เสียงดัง “ปัง” ภาพถ่ายกองหนึ่งหล่นจากมือลู่จิ่งจูกระจายลงบนโต๊ะชาและกระจายเต็มพื้น “ถ้าไม่ใช่เพราะผู้จัดการงานนิทรรศการจำคุณได้ จึงเอาภาพพวกนี้มาให้ยืนยันกับฉันก่อน คุณคิดจะแต่งตัวอย่างนี้ลงข่าวหรือไง? คุณคิดจะทำให้พวกเราตระกูลเฟิงขายหน้ากันใช่ไหม?”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘ศูนย์นานาชาติเมืองเจียง’ สี่คำนี้ ลั่วมั่นรู้สึกได้ถึงเรื่องไม่ดีอย่างเงียบๆ ยิ่งเห็นรูปถ่ายเหล่านั้นที่ถูกโยนออกมาจากมือลู่จิ่งจู ยิ่งเป็นหลักฐานยืนได้ว่าตัวเองเดาถูก
เรื่องที่งานนิทรรศการคอสเพย์เมื่อตอนบ่าย โดนคนรู้จักเห็นเข้าจนได้
ลั่วมั่นรู้ว่าตัวเองผิด แต่ไม่รู้จะอธิบายยังไง ทำได้แค่ยอมก้มหน้าก้มตาให้ลู่จิ่งจูดุด่าว่ากล่าว
“ยังถ่ายรูปด้วยกันกับคนพวกชายที่จะผู้ชายก็ไม่ใช่ผู้หญิงก็ไม่อีกเยอะแยะ คุณคิดจริงใช่ไหมว่าถ้าใส่ชุดแปลกๆ พวกนี้แล้วจะไม่มีใครจำคุณได้? ตั้งแต่ออกจากฝ่ายขายไปฝ่ายบริหารก็ไม่มีอะไรทำใช่ไหมถึงได้ไม่มีอะไรและเริ่มทำเรื่องแบบนี้ออกมา?”
“แม่ พอแล้ว” ทันใดนั้นเฟิงเฉินก็พูดขัดจังหวะลู่จิ่งจูออกมา
ลั่วมั่นอยากจะห้ามแต่ก็ไม่ทันแล้ว
“ช่วงบ่ายลั่วมั่นไปหาคุณฝู้เพื่อขอคำแถลงการณ์ให้กับเครื่องอ่านหนังสืออิเล็คทรอนิคใหม่ของบริษัท ไม่ได้ทำเรื่องไร้สาระแบบที่แบบคุณพูด”
“คำแถลงการณ์?” สีหน้าลู่จิ่งจูโกรธมากยิ่งขึ้น “เซ็นคำแถลงการณ์ต้องแต่งตัวอย่างนี้? ถ้าไม่รู้คิดว่าเธอจะถ่ายภาพโปรโมทเสียอีก!”
“ความคิดนี้ของท่านผมจะเอาไปคุยกับฝ่ายประชาสัมพันธ์” เฟิงเฉินตอบสีหน้าเรียบเฉย ลั่วมั่นที่นั่งฟังอยู่ข้างๆ ตกใจจนเนื้อเต้น
ลู่จิ่งจูโกรธจนมากลอกตาไปมา
“พวกคุณจะทำให้ฉันโกรธจนตายใช่ไหม?”
“เฉิน” ลั่วมั่นรีบห้ามเขาไว้ ไม่ให้เขาพูดอีก
ความสัมพันธ์ของแม่สามีกับลูกสะใภ้เป็นปริศนามาตั้งแต่โบราณ คุณแต่งงานเข้าบ้านแม่สามี ไม่ว่าก่อนจะแต่งงานแม่สามีชอบคุณแค่ไหน หลังจากแต่งงานมาแล้วไม่ว่ายังไงในใจก็ยังไม่เต็มใจอยู่ดี ลูกชายที่ตัวเองเลี้ยงมาเองยี่สิบกว่าปี ไปกุมมือคนอื่น ไปพูดแทนคนอื่น จะมีเหตุผลที่สบายใจได้ยังไง
ลั่วมั่นเข้าใจจุดนี้ดี จึงรีบปลอบแม่สามี “แม่ เฉินแค่พูดเล่น ฉันจะไปถ่ายโปรโมทได้ยังไงล่ะ เขาพูดเล่น ท่านดื่มชาเถอะ”
“พูดเล่น? ลูกชายที่ฉันเลี้ยงมาเองกับมือฉันไม่รู้เลยว่าเขาพูดเล่นเป็นด้วย”
น้ำเสียงลู่จิ่งจูหนักยิ่งขึ้น หน้าตายังคงเย็นชาเหมือนเดิม “เรื่องวันนี้ฉันจะไม่คิดบัญชีกับคุณ หลังจากนี้ถ้ามีเรื่องอัปยศแบบนี้เกิดขึ้นกับครอบครัวอีก ฉันจะเอารูปพวกนี้ไปถามให้ชัดเจนต่อหน้าพ่อแม่คุณ เกรงว่าตระกูลลั่วของพวกคุณคงต้องเสียหน้าไปตามกัน”
เมื่อพูดถึงพ่อแม่ ลั่วมั่นหน้าซีดขาว กำหมัดแน่นอย่างไม่รู้ตัว