บทที่ 254 จงใจฆ่า
สามวันหลังจากนั้น ศาลเมืองเจียงได้ทำการพิพากษาคดีการยิงกันในคฤหาสน์เฟิง รูปคดีแค่มองก็เข้าใจได้แล้ว ข้อสงสัยทั้งหมดล้วนชี้ไปที่ตัวลั่วมั่น
สายตาของลั่วมั่นจ้องอยู่ที่เงาร่างของคนที่นั่งอยู่บริเวณที่นั่งผู้เข้าร่วมรับฟังการตัดสินคดีความตั้งแต่ต้นจนจบ ข้างหูก็มีเสียงของทนายความ โจทก์และผู้พิพากษาทั้งสามฝ่ายดังหึ่งๆ
ตั้งแต่ต้นจนจบเฟิงเฉินไม่ได้มองเธอ สายตาของเขาอยู่ที่ร่างของทนายความฝ่ายโจทก์ตลอด มองไม่ออกถึงอารมณ์ความรู้สึกใดๆ
“จำเลยถูกกล่าวหาว่าตั้งใจฆ่าคน แน่นอนว่าคือการจงใจฆ่า จำเลยยอมรับว่าได้รับสิทธิ์ในการครอบครองปืนและลูกกระสุนอย่างเปิดเผย ทั้งยังยอมรับว่าหนึ่งอาทิตย์ก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องนี้ขึ้น ได้มีความขัดแย้งใหญ่โตกับเหยื่อเพราะเรื่องงาน ในจุดนี้ คนรับใช้ข้างกายที่ชื่อว่า หลี่หมิงเฟิ่งสามารถยืนยันได้”
“………..”
“เงินทุนหมุนเวียนของกิจการตระกูลจำเลยขาดสภาพคล่องจึงได้ขอความช่วยเหลือกับตระกูลเฟิง เหยื่อได้แสดงความไม่พอใจออกมาหลายครั้ง……..ในจุดนี้สามารถสอบถามจำเลยและครอบครัวของเหยื่อได้ ความสัมพันธ์ระหว่างจำเลยกับเหยื่อนั้นไม่ค่อยดีในยามปกติ”
หลังจากผู้พิพากษาอนุญาตให้สอบถามได้ ทนายความฝ่ายโจทก์ก็ไม่ได้พุ่งมาทางลั่วมั่น แต่พุ่งไปทางบริเวณที่นั่งของผู้เข้าร่วมรับฟังการตัดสินคดีความแทน
“คุณหนูเฟิง ขออนุญาตสอบถามครับว่า คุณรู้หรือไม่ว่าความสัมพันธ์ของจำเลยและเหยื่อหรือก็คือมารดาของคุณ ปกติแล้วเป็นอย่างไร มีแรงจูงใจในการฆ่าหรือไม่”
แถวแรกสุดของที่นั่งผู้เข้าร่วมรับฟังการตัดสินคดีความคือคนตระกูลเฟิง นับไล่ตามลำดับมาจากมุมสุด ก็คือเฟิงเฉิน เฟิงจิ่ง เฟิงเซิ่งสามคน พ่อเฟิงนั้นอยู่เฝ้าลู่จิ่งจูที่โรงพยาบาล จึงไม่ได้มา ข้างกายสามพี่น้องยังห้อมล้อมไปด้วยคนรับใช้ของคฤหาสน์เฟิง ที่ล้วนเป็นพยานในวันนั้น
วันนี้เฟิงจิ่งสวมชุดสีดำทั้งตัว สีหน้าขาวซีด ตอนที่ได้ยินทนายความเอ่ยถามก็มองไปยังที่นั่งของจำเลยแวบหนึ่ง แววตามีร่องรอยความเกลียดชังพาดผ่าน เอ่ยตอบด้วยเสียงเย็นชาว่า “ความสัมพันธ์เป็นอย่างไรนั้น ฉันไม่ทราบค่ะ แต่คุณแม่ของฉันหวังมาตลอดว่า เธอจะสามารถคลอดเด็กน้อยให้กับตระกูลพวกเราได้ แต่งงานมาสามปี รบเร้าไปหลายต่อหลายครั้ง เธอก็ไม่ได้ใส่ใจ ใครจะไปรู้ว่าเธอมีแรงจูงใจในการฆ่าคนหรือไม่กัน”
เฟิงจิ่งที่ฟังการไต่สวนพิจารณาคดีมาได้ครึ่งวัน ก็รู้สึกง่วงเล็กน้อย หลังจากเอ่ยได้สองประโยคก็ลูบบุหรี่ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงตามสัญชาตญาณ แต่ในตอนที่เงยหน้าขึ้นมากลับเจอสายตาของเฟิงเฉินที่นั่งอยู่ด้านข้าง จึงตัวสั่นขึ้นมาแปลกๆ และหยุดพูดในทันที
ทนายความถามเฟิงจิ่งเรียบร้อยแล้ว ก็หันหน้าไปทางเฟิงเซิ่ง
“คำถามเดียวกันครับ คุณชายรองเฟิงอยู่ที่คฤหาสน์เฟิงมาโดยตลอด เทียบกับคุณหนูเฟิงแล้ว น่าจะได้ทำความรู้จักมากกว่า คุณคิดว่าอย่างไรครับ”
เฟิงเซิ่งรีบตอบว่า “แน่นอนว่าผมเชื่อในตัวมั่นมั่น นั่นเป็นพี่สะใภ้ผมเลยนะ ยิ่งไปกว่านั้นความสัมพันธ์ระหว่างมารดาของผมและมั่นมั่น แต่ไหนแต่ไรมาก็ผ่านไปได้ จะต้องไม่มีเรื่องฆ่าคนประเภทนี้เกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด การโต้เถียงกันเพียงแค่เล็กน้อยและการกระทบกระทั่งกันในด้านการใช้ชีวิตจะทำให้ฆ่าคนได้อย่างไรกัน บ้าไปแล้วหรือ พวกคุณจะต้องเข้าใจอะไรผิดแน่นอน”
คำพูดนี้มีความหมายลึกซึ้ง ฟังดูแล้วเหมือนกับแก้ตัวแทนลั่วมั่น แต่กลับทำให้คนเชื่อว่าเธอฆ่าคนเป็นเรื่องจริงอย่างน่าประหลาดใจ
เฟิงเฉินเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง แววตาอึมครึมเล็กน้อย
สุดท้ายก็สอบถามเฟิงเฉิน ตอนที่ถามเขา ลั่วมั่นที่อยู่ในที่นั่งจำเลยก็มีสีหน้าแข็งทื่อ ลังเล ไม่กล้าที่จะมองไปทางเขา เธอไม่ได้ละอายใจในตัวเอง เธอกลัวว่าเขาจะไม่เชื่อเธอ
“ในฐานะที่คุณเฟิงเป็นสามีของจำเลย จะตอบคำถามผมสักสองสามข้อได้ไหมครับ”
“ได้”
“ในวันที่เกิดเหตุ คุณเฟิงทราบหรือไม่ว่าจำเลยจะไปเข้าร่วมงานเลี้ยงของตระกูล”
ในที่สุดเฟิงเฉินก็เงยหน้าขึ้นมองลั่วมั่นแวบหนึ่ง เสียงทุ้มต่ำนั้นเย็นชา
“ไม่ทราบ”
เมื่อได้ยินแล้ว ลั่วมั่นก็หัวใจหนักอึ้ง คิดถึงกระดาษโน้ตที่เฟิงเฉินทิ้งไว้ให้ตัวเองในตอนเช้าวันนั้น เขาระบุชัดเจนว่าไม่ให้เธอไป ตอนนี้ทำไมถึงได้เชื่อว่าเธอวิ่งไปหาเรื่องใส่ตัวที่คฤหาสน์เฟิงกัน
ทนายความฝ่ายโจทก์ถามต่อว่า “ระหว่างจำเลยและเหยื่อมีความขัดแย้งกันใช่หรือมี ในระยะอันใกล้นี้ ความขัดแย้งรุนแรงขึ้นกว่าเดิม?”
เฟิงเฉินถอนสายตาจากลั่วมั่น ริมฝีปากบางเอ่ยออกมาคำเดียวอย่างตระหนี่
“ใช่”
“ดังนั้นจำเลยจะต้องมีแรงจูงใจในการฆ่าอย่างแน่นอน?” ทนายความกดดันต่อ