ลั่วมั่นตกใจชะงัก ตัวก็แข็งทื่อไปด้วย
เสียงที่แหบพร่าของเฟิงเฉินดังสะท้อนอยู่ในห้องน้ำ “มั่นมั่น ถ้าหากผมบอกว่าเรื่องคดีปล่อยให้เป็นหน้าที่ผมจัดการ ช่วงนี้คุณพักผ่อนอยู่ที่บ้านให้สบายใจ คุณคงจะไม่ยอมใช่ไหม”
“ใช่”
เสียงค่อนข้างอ่อนแรงของลั่วมั่น
เธอเห็นความเจ็บปวดในแววตาของเฟิงเฉิน
ความจริงแล้วสำหรับเฟิงเฉิน คาดเดาคำตอบนี้ได้ตั้งแต่เนิ่นๆแล้ว แต่เมื่อได้ยินจากปากของลั่วมั่นจริงๆ เขานั้นแสนเจ็บปวดหัวใจเหลือหลาย
“ใช่หรือไม่ที่ในใจคุณสามารถยอมรับการช่วยเหลือจากซือโม่ได้ ส่วนความช่วยเหลือจากผม กลับทำให้คุณอึดอัด”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ลั่วมั่นถึงกับสีหน้าเปลี่ยน
ไม่คิดว่าเขาจะคิดแบบนี้
สักพัก เธอจึงค่อยๆเงยหน้าขึ้น “ไม่ใช่”
“ก่อนหน้านั้นที่ฉันไปอยู่ต่างประเทศหลายปี บอกว่าจะออกไปยืนหยัดด้วยตัวของตัวเอง แต่ความจริงแล้วฉันไม่เคยยืนด้วยลำแข้งของตัวเองเลย ก็เหมือนกับที่คุณคิด พี่ซือโม่อยู่ข้างกายฉันมาตลอด ทำหน้าที่เสมือนผู้ปกครองคนหนึ่งเสมอ ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันรู้ว่าจะต้องมีเขาคอยช่วยจัดการแก้ไข ดังนั้นแต่ก่อนฉันก็เคยพึ่งพาคนอื่น”
แต่ว่านับจากที่กลับประเทศ บริษัทลั่วซื่อเพียงชั่วข้ามคืนก็เกิดช่องโหว่ทางการเงิน หุ้นส่วนผิดสัญญา บริษัทกำลังจะล้มละลาย เธอถึงได้รู้ว่าตัวเองนั้นไม่มีอำนาจในการต่อรองเจรจากับคนอื่น แม้แต่เพื่อนที่ดีที่สุดของเธอในตอนนั้น ก็ไม่สามารถขอความช่วยเหลือได้ ตอนนั้นเองเธอถึงรู้ว่าในโลกนี้ไม่มีใครที่คุณสามารถพึ่งพาได้โดยไม่มีเหตุผล
และตั้งแต่นั้นมา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอก็ได้ตัดสินใจว่าจะจัดการทุกอย่างด้วยตัวเอง และจะไม่รอความสงสารจากคนอื่นอย่างทรมาน
เฟิงเฉิงสีหน้าชะงักขึ้น ที่จู่ๆได้ยินการกล่าวถึงความรู้สึกเมื่อหลายปีก่อน ทำให้รู้สึกงุงงนเล็กน้อย แต่เมื่อได้ยินทุกอย่างและเข้าใจความรู้สึกของเธอแล้ว สิ่งที่เหลือไว้ก็คือจิตใจที่เต็มไปด้วยความเสียใจและความรู้สึกผิด
“ขอโทษ มั่นมั่น ผมไม่รู้ว่าคุณรู้สึกแบบนี้ ผมคิดว่าคุณ…..”
คิดว่าคุณถูกตระกูลเฟิงทำร้ายจนเจ็บปวด ไม่กล้าไปมาหาสู่กับผม และต้องการที่จะตัดขาดความสัมพันธ์กับผม และเวลานี้ดันมีซือโม่มาปรากฏอยู่ข้างกายคุณ นี่เป็นเสมือนหนามที่คอยตำใจเขามาโดยตลอด คู่ต่อสู้ที่ไม่อาจจะมองข้ามได้เด็ดขาด
“คุณคิดว่าฉันจะอะไร”
“ช่างเถอะ” เฟิงเฉินค่อยๆถอนหายใจ สีหน้าอ่อนเพลีย “ไม่พูดแล้ว เรื่องวันนี้ผมเป็นคนผิด ต่อไปจะไม่เป็นแบบนี้อีก คุณจะทำอะไรทำเต็มที่ได้เลย หากต้องการ…..”
เขานิ่งไปชั่วครู่ มองไปทางลั่วมั่นอย่างลังเล “ถ้าหากคุณต้องการความช่วยเหลือ บอกผมได้ตลอดเวลา”
การเปลี่ยนแปลงของเฟิงเฉินทำให้ลั่วมั่นรู้สึกซาบซึ้งใจ เธอพยักหน้า จากนั้นก็อิงศีรษะซบไปที่ทรวงอกของเขาอยู่นานแสนนาน และน้ำเสียงก็ผ่อนคลางลงไม่น้อย
“อืม ฉันได้เบาะแสแล้ว เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ช่วงนี้ฉันต้องการความร่วมมือจากคุณเพื่อทำอะไรบางอย่าง”
“คุณพูดมาเลย”
“ฉันได้ยินมาว่าบริษัทH.Y. มีโครงการใหญ่ที่กำลังจะร่วมมือกับรัฐบาลเร็วๆนี้เหรอ”
“ใช่ เล่อสวี้เป็นคนรับผิดชอบเรื่องนี้”
“ฉันรู้” ลั่วมั่นพยักหน้า ถ้าไม่ใช่เพราะเล่อสวี้เป็นคนรับผิดชอบ เธอที่ออกจากบริษัทมาสักพักก็คงไม่สามารถรู้เรื่องนี้ได้ “ฉันต้องการให้คุณยอมให้เล่อสวี้คอยควบคุมและลดคุณภาพวัสดุของโครงการนี้”
เฟิงเฉินขมวดคิ้ว ตอนแรกไม่เข้าใจความหมายของลั่วมั่น หลังจากครุ่นคิดสักพักจึงได้พูดขึ้น “คุณคิดว่าผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังนั้นพัวพันกับรัฐบาลเหรอ”
ลั่วมั่นพยักหน้า