บทที่ 279 จะไปแล้วหรือ
ก่อนหน้านี้ตอนที่เฟิงเฉินทำอาหารให้เธอกินที่บ้านก็เคยพูดเอาไว้ว่า ทำผัดมะเขือต้องใส่น้ำมันเยอะหน่อย ไม่อย่างนั้นจะไม่อร่อย เธอกินจนชินแล้ว ดังนั้นจานที่ได้กินในวันนี้รสชาติต่างจากจานที่เคยกินมาก่อน เธอจึงรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าไม่ใช่เฟิงเฉินที่ทำ
แต่ภายในระยะเวลาอันสั้น วิธีการทำมะเขือยาวนี้ก็เปลี่ยนไปแล้ว เพียงเพราะว่าช่วงนี้ตัวเองได้รับบาดเจ็บ จึงต้องทานอาหารรสอ่อน
ในช่วงวินาทีนี้ ลั่วมั่นรู้สึกขึ้นมาได้ว่า ครึ่งปีมานี้ ที่เฟิงเฉินเปลี่ยนแปลงไปล้วนเป็นเพราะตัวเอง อีกทั้งเขายังเปลี่ยนแปลงเพื่อตัวเองเยอะมาก
หลังจากที่คลี่คลายความเข้าใจผิดกันเรียบร้อยแล้วในปีนั้น เขาก็ไม่ได้วนเวียนไปสถานที่เที่ยวกลางคืนอีกเลย ยิ่งไม่มีข่าวอื้อฉาวตามพัวพัน กระทั่งเรื่องที่โต้เถียงกับมารดา ก็ยังยอมยืนกรานให้ตัวเองได้สร้างพื้นที่ของตัวเองในโลกการทำงาน แนะนำตัวเองให้ก้าวตามสังคมให้ทันเสมอ ไม่เคยคิดจะขังตัวเองเอาไว้ในบ้านให้เป็นแม่บ้านที่ประพฤติตนอย่างสงบเสงี่ยมคนหนึ่ง
ไม่ว่าตัวเองจะทำอะไร เขาก็ให้การสนับสนุนและเชื่อตัวเองมาโดยตลอด แม้ว่าตอนนี้เขาจะอยู่ในสถานการณ์อันน่าลำบากใจ แต่ก็ยังคงพยายามคิดหาวิธีปกป้องเธออย่างรอบคอบ
ผู้ชายคนหนึ่งต้องมีความรู้สึกลึกซึ้งมาแค่ไหน ต้องมีหัวใจที่แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่มากเพียงใด ถึงจะสามารถไม่สนใจต่อการคัดค้านของคนทั้งตระกูล ปกป้องผู้หญิงที่ถูกกล่าวโทษว่าเป็นคนฆ่ามารดาของตัวเอง
ดังนั้นแต่ไหนแต่ไรมา เป็นตัวเองที่ดื้อรั้นเกินไป ไม่เคยเข้าใจเขาจริงๆเลยแม้แต่น้อย
หลังจากอาหารมื้อเย็นแล้ว กวนเส้าหยู้และคนอื่นๆรู้ตัวว่าควรจะไปจากคอนโดได้แล้ว เล่อสวี้ยังบังคับลากลี่ลี่ให้ไปด้วยกันอีกด้วย เหตุผลก็คือ เพื่อความปลอดภัย เตรียมจัดการตรวจสอบประวัติความเป็นมาของเธอให้ชัดเจนตลอดทั้งคืน
เฟิงเฉินลุกขึ้นยืนเป็นคนสุดท้าย
“ถ้าอย่างนั้นผมกลับก่อนแล้วกัน คุณก็พักผ่อนเร็วหน่อย”
ลั่วมั่นก็ไม่ได้ยื้อเอาไว้
คนที่พูดว่าจะไปก็คือตัวเอง คงไม่สามารถให้ตัวเองยื้อเขาให้อยู่ต่อไปอีก จะลำบากงี่เง่าไปทำไมกัน
หลังจากเฟิงเฉินไปแล้ว ลั่วมั่นก็เริ่มเก็บกวาดเศษอาหารที่เหลืออยู่บนโต๊ะ ความจริงแล้วสามารถรอให้ลี่ลี่กลับมาเก็บกวาดในวันพรุ่งนี้ได้ แต่เธออยากจะหาเรื่องอะไรทำสักหน่อย หาเรื่องอะไรมาเติมเต็มความว่างเปล่าในมุมหนึ่งของหัวใจเธอ
กลอนประตูมีเสียงบิดดังกะทันหัน
ตอนที่เธอเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นเฟิงเฉินยืนมองเธออยู่ที่หน้าประตู
“คุณไม่ต้องทำแล้ว ผมเก็บกวาดเสร็จแล้วค่อยไป”
เพียงแค่ตอนที่เดินไปถึงประตูแล้วปิดประตูลงก็นึกขึ้นมาได้กะทันหันว่า อาหารบนโต๊ะยังไม่ได้เก็บกวาด ลี่ลี่ก็ถูกเล่อสวี้ลากตัวไปแล้ว คงไม่สามารถให้เธอที่เป็นผู้หญิงกำลังตั้งครรภ์คนหนึ่งเก็บกวาดโต๊ะอาหารขนาดใหญ่ที่ไม่เป็นระเบียบหรอกนะ
เมื่อหมุนตัวเปิดประตู ก็เห็นเธอกำลังเก็บกวาดอยู่จริงๆ ร่างบอบบางท่ามกลางแสงไฟนั้นดูแล้วโดดเดี่ยวเป็นอย่างมาก
เฟิงเฉินรู้สึกสงสารจนพูดไม่ออก
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่วิลล่าจิ่นซิ่ว แม้ว่าจะเป็นตอนสามปีก่อนที่เขาไม่ชอบเธอ ข้างกายเธอก็มักจะมีคนรับใช้อยู่รอบๆสองสามคนตลอด จะสวมเสื้อผ้าก็แค่ยกมือขึ้น ข้าวมาก็แค่อ้าปากออก ไม่เคยให้เธอได้แตะต้องงานบ้านเลยแม้แต่น้อย
ทำไมตอนนี้กระทั่งเรื่องกินข้าวมื้อหนึ่ง ยังต้องให้เธอสิ้นเปลืองจิตใจอีกกัน
ลั่วมั่นเห็นเฟิงเฉินเก็บโต๊ะเงียบๆโดยไม่พูดอะไร แม้ว่าระหว่างนั้นจะทำชามแตกไปสองใบ แต่ก็ไม่ให้เธอลงมือแตะ เพียงแค่บอกเธอว่าไม่ต้องสนใจ ไม่รู้ว่าจะแข่งกับใคร เป็นถึงคุณชายใหญ่ตระกูลเฟิง แต่กลับต้องล้างชามตะเกียบในห้องครัวให้สะอาดก่อนถึงจะยอมออกมา
“จะไปแล้วหรือ” ลั่วมั่นยืนอยู่ในห้องรับแขก
“อืม” เฟิงเฉินรับคำเสียงเบา
“เดินทางระมัดระวังด้วยนะคะ”
“รู้แล้ว คุณก็พักผ่อนเร็วหน่อยเถอะ” เฟิงเฉินชะงักไปเล็กน้อย “ถ้าหากว่ามีเรื่องอะไร ก็โทรศัพท์หาผม”
“อย่าโทรจะดีกว่า”
ลั่วมั่นมองเงาด้านข้างของเขา น้ำเสียงเข้มขึ้นเล็กน้อย “คุณพ่อและเฟิงจิ่งน่าจะไม่หวังให้คุณติดต่อกับฉันมากเกินไป ดังนั้นก่อนที่ความจริงจะปรากฏออกมา ก็อย่าทำให้มีปัญหาเรื่องใหม่ๆเข้ามาแทรกเลยค่ะ”
ภายใต้แสงไฟมืดสลัว เฟิงเฉินกำหมัดแน่น ท่าทางที่ไม่ว่าเมื่อไรก็มีเหตุผลอยู่เสมอของลั่วมั่นนั้นเคยเป็นสิ่งที่เขาเกลียด แต่คิดไม่ถึงเลยว่ากระทั่งตอนนี้ ก็ยังสามารถทิ่มแทงหัวใจเขาให้เจ็บปวดได้อยู่
“อืม” เขารับคำด้วยน้ำเสียงแหบพร่าเป็นพิเศษ
‘แกร๊ก’ เสียงประตูปิดลงกลบเสียงเอ่ยสุดท้ายเอาไว้ในห้อง
ลั่วมั่นพยุงร่างกับที่เท้าแขนแล้วค่อยๆนั่งลง ลูบที่หน้าท้อง สีหน้าอ่อนโยนต่างกับสายตาเย็นชาเมื่อครู่นี้ราวกับคนละคน “ลูกรักไม่ต้องกลัวนะ คุณพ่อจะต้องเข้าใจ ในเมื่อคนที่อยู่เบื้องหลังคนนั้นต้องการให้แม่กับคนตระกูลเฟิงแตกหักกัน แม่ก็จะให้เขาสมปรารถนา เมื่อเวลาผ่านไปนานแล้ว จะต้องมีตอนที่เขาโผล่หางจิ้งจอกของตัวเองออกมาแน่นอน”