“บ่าวขอบคุณคุณหนูสามที่ช่วยชีวิตเจ้าค่ะ”
จ้าวอี๋เหนียงที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าเยี่ยหลีสวมเสื้อผ้าเรียบง่ายช่างแตกต่างกับความเย้ายวนในวันวานนัก
เยี่ยหลียกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้ชิงหลวนประคองนางให้ยืนขึ้น ก่อนเอ่ยเสียงเรียบว่า “เมื่อไปถึงอวิ๋นโจวแล้วเจ้าไม่ต้องเป็นกังวลไป จะมีคนคอยจัดการทุกอย่างให้เจ้าเอง”
จ้าวอี๋เหนียงพยักหน้า “บ่าวเชื่อในสัจจะของคุณหนูสามเจ้าค่ะ บ่าวจะยึดมั่นปฏิบัติตามสัญญาที่ได้ให้ไว้อย่างดี จะเลี้ยงดูบุตรคนนี้อย่างดีเจ้าค่ะ” จ้าวอี๋เหนียงก้มหน้าลงพลางเอามือลูบหน้าท้องที่ยังคงแบนราบ สีหน้าเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและรักใคร่ อีกหน่อยเด็กคนนี้จะเป็นทุกอย่างในชีวิตของนาง
เยี่ยหลีพยักหน้า ก่อนหันไปสั่งชิงซวงที่ยืนอยู่ข้างๆ “ไปหยิบตั๋วเงินห้าร้อยตำลึงมาให้จ้าวอี๋เหนียง เอาไว้เป็นค่าใช้จ่ายระหว่างทาง”
ชิงซวงรับคำพร้อมไปทำตามคำสั่ง จ้าวอี๋เหนียงมองเยี่ยหลีด้วยความซาบซึ้งใจ จวนเยี่ยทั้งหมดอยู่ภายใต้การควบคุมของหวังซื่อ แน่นอนว่ารวมถึงเรื่องต่างๆ ในบ้านด้วย หวังซื่อตัดค่าใช้จ่ายของนางจนกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว ถึงแม้ตัวนางจะลอบเก็บเงินไว้บ้างแต่ก็ไม่มากนัก ทั้งจวนนี้นอกจากฮูหยินผู้เฒ่ากับนายท่านแล้ว ก็มีเพียงคุณหนูสามผู้นี้ที่สามารถนำเงินจำนวนมากขนาดนี้ออกมาใช้ได้ จ้าวอี๋เหนียงรู้ดีว่าถึงแม้คุณหนูสามจะมิใช่คนที่เป็นกันเอง แต่หากเชื่อฟังนางแล้ว ก็นับได้ว่านางเป็นคนที่สามารถพึ่งพาอาศัยและไว้ใจได้คนหนึ่ง “ขอบคุณคุณหนูสามที่เมตตาเจ้าค่ะ”
“เมื่อไปถึงที่นั่นแล้วจะมีคนช่วยดูแลเรื่องความปลอดภัยของเจ้าและลูกเอง หากท่านพ่อยังอยู่ นางคงไม่กระทำการใดอย่างเปิดเผยนัก แต่หากเจ้าอยากอยู่ที่นั่นอย่างสบายก็คงขึ้นอยู่กับฝีมือของตัวเจ้าเองแล้ว” เยี่ยหลีเอ่ยเตือนเสียงเรียบ เพราะถึงอย่างไรเรือนหลังนั้นก็มิใช่เรือนของนาง หากจ้าวอี๋เหนียงมีฝีมือสักหน่อย สามารถกุมอำนาจไว้ได้ก็จะดีกับลูกของนางไม่น้อย
จ้าวอี๋เหนียงนิ่งอึ้งไป ในใจนึกประหวั่นที่เยี่ยหลีอ่านความคิดของตนออก ทว่าในเมื่อนางพูดออกมาเช่นนี้แล้วย่อมหมายความว่าตระกูลสวีคงจะช่วยหนุนหลังนางอยู่บ้าง ขอเพียงนางมีฝีมือมากพอที่จะกุมอำนาจภายในเรือนที่อวิ๋นโจวให้อยู่ในมือได้ ที่นั่นก็จะกลายเป็นที่ที่นางและลูกสามารถใช้ชีวิตกันได้อย่างสงบสุข เมื่อคิดเช่นนี้ จ้าวอี๋เหนียงจึงรีบของคุณเยี่ยหลีอีกครั้ง ในใจนึกเคารพนับถือเยี่ยหลีเพิ่มขึ้นไปอีก
“คุณหนู ตำหนักติ้งอ๋องนำของหมั้นมาแล้วเจ้าค่ะ” ชิงอวี้เดินเข้ามารายงานด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ฮูหยินผู้เฒ่ากับนายท่านให้มาเชิญคุณหนูให้รีบออกไปเจ้าค่ะ”
เยี่ยหลีพยักหน้า แต่เมื่อเห็นสีหน้าประหลาดของชิงอวี้ จึงเลิกคิ้วถาม “ยังมีเรื่องอันใดอีกหรือ?”
ใบหน้ายิ้มแย้มของชิงอวี้ดูลังเลเล็กน้อย เหลือบมองเยี่ยหลีก่อนพูดว่า “ท่านหลีอ๋องกับคุณหนูสี่ก็กลับมาเช่นกันเจ้าค่ะ” วันนี้เป็นวันที่เยี่ยอิ๋งกลับบ้านเดิมเป็นครั้งแรกหลังจากแต่งงานพอดี ไม่รู้ว่าตั้งใจหรือว่าบังเอิญจริงๆ วันที่คุณหนูสี่กลับบ้านกับวันที่คุณหนูสามมีของมาหมั้นหมายกลับเป็นวันเดียวกันเสียได้
เยี่ยหลีเองก็อึ้งไปเล็กน้อย นางเกือบลืมไปแล้วว่าเยี่ยอิ๋งจะกลับมาวันนี้ “เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือไม่”
ชิงอวี้แบะปาก “ท่านหลีอ๋องกับท่านติ้งอ๋องมาถึงเกือบพร้อมกันเลยเจ้าค่ะ หนำซ้ำเขายังทำหน้าบึ้งตึงเหมือนใครไปติดเงินเขาอยู่สักหมื่นตำลึงอย่างนั้น ซวยจริงๆ!”
“บังอาจ” เยี่ยหลีต่อว่าเรียบๆ ชิงอวี้กะพริบตาปริบๆ นางฟังดูก็รู้ว่าคุณหนูมิได้นึกโกรธที่นางพูดเช่นนั้นจริงๆ จึงแลบลิ้นน้อยๆ อย่างขี้เล่น ก่อนยกมือขึ้นปิดปากแล้วเดินหลบออกไป
ชิงซวงนำถุงเงินสีเรียบมาส่งให้เยี่ยหลี เยี่ยหลีหันไปยื่นถุงเงินพร้อมกับแผ่นจี้ทองส่งให้กับมือจ้าวอี๋เหนียง “นี่ถือเสียว่าเป็นของที่ข้าให้น้องชายก็แล้วกัน ถึงตอนนั้นข้าคงไม่ได้ไปส่งอี๋เหนียงด้วย”
จ้าวอี๋เหนียงขอบตาแดงทันที แต่เมื่อนึกได้ว่าวันนี้เป็นวันที่ตำหนักติ้งอ๋องนำของมาหมั้นหมายจึงจำต้องกลั้นน้ำตาไว้แล้วเอ่ยลาเยี่ยหลี พร้อมนำของทั้งหมดเดินออกไป
เยี่ยหลีหันกลับมา “ไปเถิด ไปพบท่านย่ากัน”
ด้วยในตำหนักติ้งอ๋องไม่มีผู้ใดที่ถือว่าอาวุโสกว่าม่อซิวเหยาโดยแท้จริง ม่อซิวเหยาจึงตั้งใจไปเชิญสองผู้อาวุโสที่เป็นที่นับหน้าถือตาอย่างมากของเมืองหลวงมาช่วยเป็นผู้ใหญ่ให้ คนหนึ่งเป็นคนที่เยี่ยหลีเคยพบมาก่อนหน้านี้ครั้งหนึ่ง นั่นคือท่านผู้อาวุโสซูเจ๋อ ส่วนอีกท่านหนึ่งคือบิดาของฮองเฮาองค์ปัจจุบัน ฮว่ากั๋วกงผู้เฒ่า ทั้งสองท่านนี้ถือได้ว่าเป็นผู้อาวุโสที่มีบทบาทสำคัญของเมืองหลวง จึงทำให้เจ้ากรมเยี่ยหน้าชื่นตาบานเป็นที่สุด
รายการของหมั้นยาวเหยียดที่ตำหนักติ้งอ๋องส่งมานี้ ง่ายต่อการทำให้ผู้คนนึกย้อนไปถึงของหมั้นจากตำหนักหลีอ๋องเมื่อคราวที่แล้ว อันที่จริง ณ ตอนนั้นก็ดูว่ามากพอสมควรทีเดียว ทว่าเมื่อเทียบกันแล้วกลับทำให้รู้สึกว่าตำหนักหลีอ๋องขาดความจริงใจไม่น้อย ดังนั้นเจ้ากรมเยี่ยจึงเชื้อเชิญท่านผู้อาวุโสซูเจ๋อเข้ามาด้านในด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเป็นที่สุด ส่วนฮว่ากั๋วกงผู้เฒ่าและติ้งอ๋องนั่งสนทนากันอยู่ที่ห้องหนังสือ เยี่ยอิ๋งกับม่อจิ่งหลีที่มาถึงในเวลาไล่เลี่ยกันจึงเหมือนถูกเพิกเฉยไปโดยปริยาย
“หลีเอ๋อร์คารวะท่านย่า คารวะฮว่าฮูหยินผู้เฒ่า คารวะฮูหยินทุกท่านเจ้าค่ะ” เมื่อเยี่ยหลีก้าวเข้ามาในหรงเล่อถัง เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่ากับฮว่าฮูหยินผู้เฒ่ากำลังสนทนากันอย่างออกรส ด้านข้างยังมีฮูหยินที่นางคุ้นหน้าตามาร่วมพูดคุยด้วย ส่วนม่อจิ่งหลี เยี่ยอิ๋งและหวังซื่อนั้น นั่งอยู่อีกด้านหนึ่งด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก หวังซื่อและเยี่ยอิ๋งนั้นดูไม่รู้ว่าจะเข้าร่วมบทสนทนาอย่างไร ส่วนสีหน้าของม่อจิ่งหลีดูจะทำให้คนอื่นไม่กล้าชวนเขาคุย
“หลีเอ๋อร์รีบเข้ามาเร็ว ทุกท่านดูหลานสาวของข้าคนนี้สิ พอใช้ได้หรือไม่” เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าโบกมือเรียกเยี่ยหลีอย่างสนิทสนม ดวงตาที่เริ่มขุ่นมัวเต็มไปด้วยความยินดีและเอื้อเอ็นดู เสมือนหนึ่งเยี่ยหลีเป็นหลานสาวหัวแก้วหัวแหวนที่นางรักใคร่เป็นที่สุดกระนั้น
เยี่ยหลีเดินขึ้นไปข้างหน้าอย่างว่าง่าย “ท่านย่า” ฮว่าฮูหยินผู้เฒ่าดึงเยี่ยหลีให้นั่งลงข้างนางอย่างยินดี “ฮูหยินผู้เฒ่าอย่าได้ถือสาว่าผู้เฒ่าอย่างข้าแย่งหลานสาวท่านเลยนะ ข้าเห็นคุณหนูสามคนนี้แล้วรู้สึกเอ็นดูนางนัก ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าเด็กเทียนเซียงบ้านข้าบ่นอยากจะมาหาคุณหนูสามอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน”
เยี่ยหลียิ้ม “ฮูหยินผู้เฒ่าชมเกินไปแล้ว หลีเอ๋อร์เองก็คิดถึงเทียนเซียงเช่นกันเจ้าค่ะ” ฮว่าฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้าติดต่อกันหลายที “เด็กดี ท่าทางเหมือนท่านแม่ของเจ้าจริงเสียด้วย มิน่าเจ้าเด็กซิวเหยาที่ไม่ยอมออกไปที่ใดอยู่หลายปี ถึงได้ตั้งใจไปเชิญนายท่านผู้เฒ่าบ้านข้าให้ช่วยมาเป็นผู้ใหญ่นำของหมั้นมาให้”
เยี่ยหลีก้มหน้าลง ใบหน้างามเริ่มซับสีเลือด ก่อนตอบเสียงเบาว่า “ฮว่ากั๋วกงผู้เฒ่าไม่ยุ่งเรื่องเหล่านี้มาหลายปี ไปรบกวนท่านเช่นนี้ หลีเอ๋อร์…”
ฮว่าฮูหยินผู้เฒ่าลอบพยักหน้าน้อยๆ ถึงแม้จะเขินอายแต่ยังคงรักษากิริยามารยาทให้สง่างามและตอบโต้ได้อย่างเป็นธรรมชาติเช่นนี้ มิใช่สิ่งที่คุณหนูทั่วไปจะทำได้ สตรีเช่นนี้จะสามารถควบคุมเรื่องในตำหนักที่มากมายมหาศาลของตำหนักติ้งอ๋องได้ นางตบบ่าเยี่ยหลีด้วยความรักใคร่
“เรื่องแค่นี้จะอะไรกันเชียว นายท่านผู้เฒ่ายามนี้ก็ว่างอยู่มิได้ทำอันใดเป็นกิจจะลักษณะ ย่อมอยากเป็นธุระช่วยจัดการเรื่องการแต่งงานของเด็กๆ เป็นธรรมดา แล้วซิวเหยาก็เป็นคนที่พวกเราเห็นมาตั้งแต่เล็กจนโต…”
ดูคล้ายฮว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะนึกถึงสภาพของม่อซิวเหยาในปัจจุบันได้จึงถอนใจยาวออกมาเฮือกหนึ่ง ก่อนกำชับเยี่ยหลีว่า “อีกหน่อยพวกเจ้าก็จะเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ต้องใช้ชีวิตด้วยกันให้ดีนะ…”
เยี่ยหลีแสร้งเขินอาย ก้มหน้ารับคำเบาๆ ในใจได้แต่ยิ้มรับทั้งน้ำตา
เหมือนฮว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะนึกได้ว่าตนหลงลืมคู่ข้าวใหม่ปลามันคู่หนึ่งไป จึงหันไปยิ้มให้ม่อจิ่งหลี “ข้ายังไม่ทันได้แสดงความยินดีกับหลีอ๋องและชายาหลีอ๋องเลย ไทเฮาและเสียนเจาไท่เฟยต่างตั้งพระเนตรรออุ้มพระนัดดามานานแล้ว คิดว่าอีกไม่นานท่านทั้งสองคงสมใจปรารถนา”
เมื่อฮว่าฮูหยินผู้เฒ่าพูดขึ้นมา ทุกคนต่างรีบหันไปแสดงความยินดีกับม่อจิ่งหลีและเยี่ยอิ๋ง สีหน้าของม่อจิ่งหลีนั่นช่างเย็นชาเสียจนทำให้ทุกคนนึกกลัว ต่อให้ก่อนหน้านี้คิดอยากแสดงความยินดีก็ไม่กล้าเปิดปาก พอฮว่าฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยปากก่อนเช่นนี้ จึงทำให้ทุกคนรีบกล่าวแสดงความยินดีตามไปด้วย
ม่อจิ่งหลีมองทุกคนด้วยสีหน้าเฉยชา ทว่ามิอาจไม่เห็นแก่หน้าฮว่าฮูหยินผู้เฒ่าได้ จึงจำใจพยักหน้ารับอย่างแกนๆ
เยี่ยหลีนั่งอยู่ข้างฮว่าฮูหยินผู้เฒ่าในมุมที่เห็นสีหน้าของเยี่ยอิ๋งได้อย่างชัดเจนพอดี นางประหลาดใจไม่น้อย เพราะถึงแม้ในวันแต่งงานจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นบ้าง แต่เรื่องทั้งหมดล้วนไม่เกี่ยวข้องกับเยี่ยอิ๋งเลยแม้แต่น้อย ดูจากความรักใคร่ชอบพอที่ม่อจิ่งหลีมีต่อเยี่ยอิ๋งแล้ว น่าจะมีแต่ดีกับนางมากยิ่งขึ้นด้วยเพราะรู้สึกผิดต่อนาง ทว่าสีหน้าของทั้งสองคนในยามนี้ช่างไม่เหมือนกับคู่แต่งงานใหม่ที่รักใคร่ชอบพอกันเสียเลย
หวังซื่อเองก็สีหน้าไม่สู้ดีเท่าไรเช่นกัน คงด้วยเพราะสีหน้าเยี่ยอิ๋งในยามนี้ดูจะปกปิดความเศร้าสร้อยไว้ไม่มิดเอาเสียเลย ยังดีที่นางรู้กาลเทศะ จึงมีเพียงสีหน้าบึ้งตึงแต่มิได้แสดงอาการใดๆ ออกมา
“ท่านติ้งอ๋องมาแล้วเจ้าค่ะ”
ด้านหน้าประตูมีเสียงสาวใช้เอ่ยรายงานดังเข้ามา เจ้ากรมเยี่ยเดินเข้ามาพร้อมกับฮว่ากั๋วกงผู้เฒ่า ท่านผู้อาวุโสซูเจ๋อ และม่อซิวเหยา ยังไม่ทันเดินเข้าประตูมาดี เสียงหัวเราะก้องกังวานของฮว่ากั๋วกงผู้เฒ่าก็ลอยเข้ามาก่อนตัวเสียแล้ว “ฮ่าๆ ข้ารอมาเสียหลายปี ในที่สุดก็จะได้ดื่มเหล้ามงคลของติ้งอ๋องเสียที ลำบากเล็กน้อยจะเป็นไรไป ถือโอกาสมาดูด้วยว่าชายาติ้งอ๋องในอนาคตเป็นอย่างไร เหตุใดจึงทำให้เด็กสาวบ้านข้าเอ่ยยกย่องชื่นชมได้”
“อาหลีอายุยังน้อย ท่านกั๋วกงผู้เฒ่าอย่าได้ทำให้นางตกใจไป” น้ำเสียงเรียบๆ แต่อบอุ่นของม่อซิวเหยาเจือแววขบขัน
“เด็กดี ยังไม่ทันถึงวันมงคลใหญ่ก็รู้จักปกป้องภรรยาเสียแล้ว”
ภายในห้องโถงที่เงียบสงบ ฮว่าฮูหยินผู้เฒ่าอมยิ้มกระทุ้งเยี่ยหลีน้อยๆ “นายท่านผู้เฒ่าตระกูลข้าเป็นคนขวานผ่าซาก หลีเอ๋อร์อย่าถือสาเลย”
เยี่ยหลีอมยิ้มพร้อมส่ายหน้า ก่อนหันมองไปทางหน้าประตูก็เห็นคนที่เดินนำเข้ามา ถึงแม้อายุจะล่วงเลยเข้าวัยเจ็ดสิบกว่าปีจนผมและหนวดเคราเป็นสีขาวไปหมดแล้ว แต่กลับเดินเหินได้อย่างกระฉับกระเฉง เดิมทีเยี่ยหลีก็เป็นลูกหลานครอบครัวทหารคนหนึ่ง เมื่อได้เห็นท่านผู้เฒ่าผู้นี้ก็รู้ได้ทันทีว่าท่านจะต้องใช้ชีวิตกว่าครึ่งอยู่ในสมรภูมิรบอย่างแน่นอน จึงรู้สึกดีต่อท่านผู้นี้ขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ