“เยี่ยหลี!”
ภายในสวนดอกไม้ตำหนักหลีอ๋อง ระหว่างที่ฮว่าเทียนเซียงเดินจูงมือเยี่ยหลีไปคุยไปอยู่นั้น อยู่ดีๆ ก็มีคนรูปร่างใหญ่โตคนหนึ่งพุ่งออกมาขวางทางไว้
“ท่านอ๋อง ไม่รู้ว่าท่านมีเรื่องอันใดหรือ?” ฮว่าเทียนเซียงเอาตัวขวางหน้าเยี่ยหลี เงยหน้าเรียวเล็กและงดงามของนางขึ้นถามม่อจิ่งหลี ตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องที่ภัตตาคารฉู่เซียงเก๋อ ความรู้สึกดีๆ ที่ฮว่าเทียนเซียงมีต่อหลีอ๋องก็ลดลงฮวบฮาบลงจนใกล้จะติดลบเข้าไปทุกที เมื่อเห็นม่อจิ่งหลีปรากฏตัวข้างหน้าพวกตนด้วยใบหน้าที่ไม่เป็นมิตรแล้ว สัญชาตญาณนางบอกได้ทันทีเลยว่าเขาต้องการหาเรื่องเยี่ยหลี
ม่อจิ่งหลีขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ “ข้าไม่ได้อยากคุยกับเจ้า” ฮว่าเทียนเซียงตอบกลับอย่างไม่เกรงใจว่า “ยามนี้ท่านอ๋องสมควรต้อนรับแขกอยู่มิใช่หรือ ในสวนดอกไม้ยามนี้มีสุภาพสตรีจากจวนต่างๆ อยู่มากมาย หากท่านอ๋องมาอยู่เสียเช่นนี้จะเป็นการไม่สมควร ต่อให้ท่านอ๋องไม่สนใจชื่อเสียงของตน ก็ขอให้ท่านรักษาชื่อเสียงของผู้อื่นบ้างเถิด”
“ข้ามีเรื่องจะคุยกับเยี่ยหลี เจ้าหลบไป” ม่อจิ่งหลีตอบกลับอย่างรำคาญใจ
“ท่านมีอันใดก็รีบพูดมาเถิด หลีเอ๋อร์นางได้ยินที่ท่านพูด” ฮว่าเทียนเซียงตอบ
ม่อจิ่งหลีหรี่ตาลงอย่างคุกคาม “ข้าบอกให้หลบไป!”
ฮว่าเทียนเซียงกำลังจะพูดต่อ แต่ถูกเยี่ยหลีจับเอาไว้ก่อน “เทียนเซียง เจ้าไปดูว่าพวกมู่หรงมากันหรือยังก่อนแล้วกัน อีกประเดี๋ยวข้าตามไป”
“แต่ว่า…” ฮว่าเทียนเซียงส่งสายตาไปทางม่อจิ่งหลีอย่างเป็นกังวล
เยี่ยหลียิ้ม “วางใจเถิด พอซิวเหยาคุยกับฮว่าฮูหยินผู้เฒ่าเสร็จแล้วเขาจะมาหาข้าเอง”
ครั้นฮว่าเทียนเซียงได้ยินเช่นนี้ ก็กะพริบตาใส่เยี่ยหลีอย่างล้อเลียน พร้อมหยอกนางว่า “ซิว…เหยาหรือ…ดี ดี เช่นนั้นข้าไปหามู่หรงก่อนนะ เจ้า…ระวังตัวด้วย” พูดจบยังได้หันไปถลึงตาขู่ม่อจิ่งหลีด้วยเสียอีกทีหนึ่ง ก่อนหันมาโบกมือให้เยี่ยหลีแล้วหมุนตัวเดินจากไป
เมื่อเห็นท่าทีคล้ายเด็กของฮว่าเทียนเซียงแล้ว ในใจเยี่ยหลีรู้สึกทั้งขบขันทั้งขอบคุณนาง ฮว่าเทียนเซียงเป็นคุณหนูที่รู้ว่าอะไรควรไม่ควร หากมิใช่เพื่อปกป้องตนแล้ว นางไม่มีทางแสดงท่าทีก้าวร้าวต่อม่อจิ่งหลีเช่นนั้นแน่นอน
สีหน้าบึ้งตึงของม่อจิ่งหลีขณะที่มองฮว่าเทียนเซียงเดินจากไปนั้นบูดบึ้งเสียจนแทบจะรีดน้ำหมึกออกมาได้อยู่แล้ว
รอจนร่างของฮว่าเทียนเซียงลับหายไปที่มุมหนึ่งของสวนดอกไม้ เยี่ยหลีจึงหุบรอยยิ้มบนใบหน้าของตนลงแล้วหมุนตัวไปเผชิญหน้ากับม่อจิ่งหลี “ท่านอ๋องมีเรื่องอันใดจะพูดหรือ”
“เยี่ยหลี เจ้านี่ใช้ได้เลยนะ!” ม่อจิ่งหลีกัดฟันพูด
เยี่ยหลีมองสำรวจม่อจิ่งหลีหัวจรดเท้ารอบหนึ่ง น้ำเสียงยังคงนุ่มนวลเช่นเดิม “ข้าไม่เข้าใจว่าท่านอ๋องพูดเรื่องอันใด”
“เหอะ! เรื่องเมื่อคืนเจ้าคิดว่าข้าจะปล่อยผ่านไปเช่นนี้หรือ” ม่อจิ่งหลีมองจ้องเยี่ยหลีพร้อมยิ้มอย่างมาดร้าย
“ข้าคิดว่า…ท่านอ๋องไม่มีสิทธิ์พูดเช่นนั้นเสียมากกว่า” เป็นเขาที่จ้างคนให้มาลักพาตัวนางไปทำมิดีมิร้าย แต่ยามนี้กลับทำเหมือนเป็นนางที่ทำผิดต่อเขาเสียอย่างนั้น โลกนี้นี่มันอันใดกัน เยี่ยหลีอดนึกสงสัยไม่ได้
“หรือเจ้าคิดอยากแก้แค้นข้า” ม่อจิ่งหลีเอ่ยวาจาเย้ยหยัน
เรื่องนั้นไม่จำเป็นหรอก มิใช่เรื่องใหญ่อันใดเพราะข้าแก้แค้นไปตั้งแต่ตอนที่เกิดเรื่องแล้ว “หากท่านอ๋องไม่มีเรื่องอื่น เยี่ยหลีขอตัวก่อน”
“หยุดนะ!” ม่อจิ่งหลีพูดด้วยความโกรธขึ้ง เขาจับมือเยี่ยหลีพลางผลักนางไปหลังภูเขาจำลอง
เยี่ยหลีหลุบตาลงมองมือที่จับข้อมือของตนอยู่ด้วยสีหน้าไม่พอใจ “ท่านอ๋อง ท่านช่วยระวังกิริยาด้วย!”
“ระวังกิริยาหรือ” ม่อจิ่งหลียิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร ก็แค่สตรีที่ข้าไม่ต้องการ เจ้าคิดว่าแค่เจ้าแต่งกับม่อซิวเหยาก็ดีแล้วเช่นนั้นหรือ เจ้าว่า…หากยามนี้มีใครผ่านมาเห็นเข้า เจ้าจะยังมีหน้าแต่งกับม่อซิวเหยาหรือไม่ หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ แม้แต่คนไร้สมรรถภาพอย่างม่อซิวเหยาก็คงนึกรังเกียจเจ้าเช่นกันกระมัง”
นัยน์ตาใสกระจ่างที่เปิดอยู่ครึ่งหนึ่งมีแววมุ่งร้าย “ท่านอ๋อง ท่านโปรดปล่อยข้าด้วย”
“ข้าไม่ปล่อยแล้วเจ้าจะทำไม” ม่อจิ่งหลียิ้มอย่างมุ่งร้าย สายตาที่มองสตรีแบบบางตรงหน้าราวสายตาที่กำลังมองนกตัวน้อยที่ถูกขังอยู่ในกรง ทว่าน่าเสียดายที่เขาไม่รู้ว่า สตรีตรงหน้าที่ดูอ่อนแอและแบบบางผู้นี้ ภายในคือนกเหยี่ยวที่สามารถจิกกัดคนได้
มุมปากของเยี่ยหลียกขึ้นเล็กน้อย “จะทำไมหรือ จะทำเช่นนี้อย่างไร!” มืออีกข้างที่เป็นอิสระอยู่คว้าเข้าที่แขนของม่อจิ่งหลีอย่างรวดเร็ว ออกแรงเพียงเล็กน้อยก็สร้างความเจ็บปวดให้เจ้าของแขนได้อย่างล้นเหลือ ม่อจิ่งหลียังไม่ทันตั้งตัวก็ถูกคนจับทุ่มลงไปกองกับพื้นเสียแล้ว โชคร้ายไปกว่านั้นคือที่ที่ทั้งสองคนยืนอยู่นั้นเป็นตีนภูเขาจำลอง ท้ายทอยของม่อจิ่งหลีจึงกระแทกเข้ากับตีนภูเขาจำลองจนหมดสติไป
เยี่ยหลีมิได้คาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น จึงหยุดมือที่หมายจะโจมตีต่อลงทันที นางโน้มตัวลงไปสำรวจสภาพของม่อจิ่งหลี เมื่อเห็นว่ามิได้มีอันตรายร้ายแรงใดจึงยืดตัวขึ้น ก่อนยกเท้าขึ้นเตะม่อจิ่งหลีสองสามทีเพื่อระบายความโกรธของตน อาชีพเก่าของนางทำให้นางคุ้นเคยกับกายภาพของร่างกายมนุษย์เป็นอย่างดี นางรู้ดีว่าจะทำให้คนคนหนึ่งเจ็บปวดอย่างมากโดยที่ไม่ทิ้งร่องรอยไว้ได้อย่างไร
ครั้นนางพอระงับความโกรธของตนได้แล้ว เยี่ยหลีก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ การที่นางทำหลีอ๋องสลบในตำหนักหลีอ๋องเช่นนี้ช่างไม่ใช่เรื่องดีเอาเสียเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันนี้เป็นวันเสกสมรสของหลีอ๋อง ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องยากที่จะอธิบาย เยี่ยหลีเหลือบมองใครบางคนที่สลบเหมือดอยู่กับพื้น ก่อนก้าวข้ามสิ่งกีดขวางนั้นออกไปราวไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เมื่อออกมาจากภูเขาจำลอง เดินเลี้ยวโค้งมาอีกสองโค้งก็เห็นฮว่าเทียนเซียงและมู่หรงถิงเดินเข้ามาพร้อมกันด้วยสีหน้าเป็นกังวล เมื่อเห็นเยี่ยหลีเดินมาก็รีบเดินเข้าไปหาทันที “อาหลี เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่ หลีอ๋องทำอะไรเจ้าหรือไม่” มู่หรงถิงรีบร้อนเข้ามาจับมือเยี่ยหลี
เยี่ยหลียิ้ม “เจ้าก็เห็นว่าข้าปลอดภัยดีมิใช่หรือ กลางวันแสกๆ เช่นนี้เขาจะกล้าทำอันใดข้า”
มู่หรงถิงหัวเราะเขินๆ “ข้าคิดไปไกลเอง แต่อย่างไรเจ้าห่างๆ หลีอ๋องไว้หน่อยก็ดีนะ”
ฮว่าเทียนเซียงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ก่อนเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย “เหตุใดพวกเจ้าคุยกันเสร็จเร็วนักเล่า”
เยี่ยหลีคลายมือออกจากกัน “อันที่จริงก็มิได้มีเรื่องอันใดต้องคุยกันอยู่แล้ว”
“อย่าพูดถึงคนที่ทำให้เสียอารมณ์พรรค์นั้นเลย พวกเราไปนั่งจิบชากันดีกว่า น่าอิจฉาเจิงเอ๋อร์จริงๆ ใต้เท้าฉินไม่เคยบังคับนางให้ไปงานที่นางไม่อยากไปเลย”
จากนั้นพิธีเสกสมรสก็เริ่มพิธีตามกำหนดเวลา งานวิวาห์ที่เต็มไปด้วยความประดักประเดิดจากการที่เจ้าบ่าวไปรับตัวเจ้าสาวไม่ทันฤกษ์มงคล ดูคล้ายจะคาดหวังตอนจบที่งดงามได้ ทว่านั่นต้องมองข้ามสีหน้าหลีอ๋องที่ดูเหมือนไปร่วมงานศพมากกว่างานแต่งให้ได้เสียก่อนนะ
เยี่ยหลีที่นั่งข้างฮว่าเทียนเซียงสบตากับม่อซิวเหยาที่มีแววขบขัน จากนั้นเขาเลื่อนสายตาไปยังม่อจิ่งหลีที่กำลังเดินถือผ้าแดงผูกปมคู่กับเยี่ยอิ๋งเข้ามา ดวงตายิ่งมีแววขบขันมากขึ้นอีก ดูเหมือนทันใดนั้นเองเยี่ยหลีรู้ทันทีว่าม่อซิวเหยารู้ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับม่อจิ่งหลีเมื่อช่วงบ่ายแล้ว ทว่าเมื่อเยี่ยหลีเห็นสายตาของม่อซิวเหยา นางกลับรู้สึกว่าเรื่องราวทั้งหลายคงยังไม่จบลงเพียงเท่านี้
ดังนั้นเมื่อพิธีดำเนินไปได้ครึ่งทาง เจ้าพิธีกำลังขานให้สามีภรรยาทั้งสองทำความเคารพซึ่งกันและกัน ยามนั้นเองก็ได้ยินเสียงดังโครมพร้อมกับร่างของเจ้าบ่าวฟุบลงกับพื้น เยี่ยหลีไม่ตกใจเลยแม้แต่น้อย แต่กลับรู้สึกว่าที่แท้ก็เรื่องนี้เอง ในยามนั้นเยี่ยหลีนึกมั่นใจทันทีว่าม่อจิ่งหลีคงไม่อยากจัดพิธีวิวาห์อีกเลยตลอดชีวิตนี้ ผู้ใดก็ตามที่ก่อนและหลังงานวิวาห์ไม่ถึงสิบสองชั่วยามดีกลับเป็นลมล้มพับไปถึงสามครั้งเช่นนั้น คงจะรู้สึกระแวงในการจัดงานวิวาห์อย่างแน่นอน
“เหตุใด…เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้” มู่หรงถิงตกใจจนถึงกับเหวอไป
ฮว่าเทียนเซียงเองก็ตาโตอ้าปากค้างอยู่เช่นกัน “นี่มัน…” นางเองก็ไม่รู้จะพูดเช่นใดดี ว่าตามจริงนางเริ่มสงสารเยี่ยอิ๋งเข้าเสียแล้ว มารับตัวเจ้าสาวยามเลยฤกษ์มงคลไปแล้วก็ช่างเถิด นี่เจ้าบ่าวมาเป็นลมระหว่างพิธีเสกสมรสอีก…
“เฮ้อ…อาหลี สุขภาพของหลีอ๋องช่างอ่อนแอเหลือเกิน โชคยังดี…”
ทุกคนในงานต่างพากันตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เสียนเจาไท่เฟยตั้งสติได้ก่อนจึงรีบสั่งให้คนนำตัวเจ้าบ่าวไปส่งยังห้องหอ อีกด้านก็ให้คนไปเชิญหมอหลวงมาดูอาการ ถึงเจ้าบ่าวจะเป็นลมไปแล้ว แต่งานเลี้ยงยังคงดำเนินต่อไป เพียงแต่แขกเหรื่อทั้งหลายต่างกินอาหารกันอย่างไม่รู้รสแล้ว บรรดาฮูหยินต่างพากันคาดเดาถึงสาเหตุของการเป็นลมของหลีอ๋อง ในใจคิดว่าวันพรุ่งในเมืองหลวงคงจะมีข่าวใหม่ล่าสุดให้ได้พูดถึงกันอย่างครึกโครมเป็นแน่
เยี่ยหลีนึกประมวลผลต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการที่ตนทำให้ม่อจิ่งหลีเป็นลมไปเมื่อยามบ่ายวันนี้ ครั้นเห็นว่าผลของมันมิได้ร้ายแรงอันใดจึงวางใจเพลิดเพลินไปกับอาหารรสเลิศกับฮว่าเทียนเซียงและมู่หรงถิง ก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นใครบางคนที่นั่งยิ้มระรื่นอยู่ที่มุมหนึ่งซึ่งไม่สะดุดตาคน และคนผู้นั้นยกจอกสุราส่งมาทางตน นางจึงพยักหน้าน้อยๆ เป็นการตอบรับ พิธีเสกสมรสครานี้…สนุกจริงๆ ด้วย