ริมหน้าผาอันเงียบสสงบ ดวงจันทร์เสี้ยวลอยอยู่บนฟ้าไม่ใกล้ไม่ไกลนัก สายลมเอื่อยเฉื่อยพัดผ่านยอดเขาที่มีโลหิตนองเป็นสาย ร่างของชายหนุ่มที่มีตาข้างเดียวนอนแผ่อยู่บนหน้าผาอย่างหมดแรง สีหน้าและแววตาเต็มไปด้วยความสำนึกผิด “คุณหนูเยี่ย เจ้าทำเช่นนี้ไม่โหดร้ายไปหน่อยหรือ”
เยี่ยหลีนั่งสบายๆ อยู่ข้างกายเขา มือดึงผ้าเปื้อนผงสีแดงบนหัวไหล่ออกแล้วโยนลงหน้าผา ก่อนยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ “เจ้าเองก็มิใช่บุรุษที่ขาวสะอาด ข้าไม่รู้สึกผิดหรอก” จะทำเช่นไรนั้นไม่สำคัญ สำคัญที่ผลลัพธ์ต่างหาก
“อย่าขยับ” ปลายมีดบางคบกริบกดลงบนเส้นชีพจรที่ลำคออย่างไม่แรงไม่ค่อยจนเกินไปนัก “ข้าไม่แนะนำให้เจ้าทำอะไรโดยไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดีเสียก่อน หากเจ้ายังคิดการณ์ไม่รอบคอบ เพียงข้ากรีดลงไปอีกครึ่งชุ่น* ต่อให้เป็นปรมาจารย์เซียนก็ช่วยเจ้าไม่ได้”
“ช่างเป็นยาพิษที่แปลกประหลาดนัก ข้าถามเจ้าได้หรือไม่ว่าเจ้าใช้ยาพิษใดกับผู้มีพระคุณของเจ้า” ชายหนุ่มผู้นั้นล้มเลิกความตั้งใจที่จะเดินลมปราณเพื่อระงับพิษไว้ชั่วคราว อันที่จริงสภาพของเขาในยามนี้มิอาจเดินกำลังภายในได้เลยแม้แต่น้อย
เยี่ยหลีส่ายหน้า “ความลับ แต่เรื่องที่เจ้าเรียกตนเองว่าผู้มีพระคุณนั้น คงต้องคุยกันอีกไม่น้อย จะว่าไปยามนี้ข้าอารมณ์ไม่ดีเอามากๆ เสียด้วย”
“ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ฟังสตรีมากความสามารถอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงระบายความในใจเช่นนี้” ชายหนุ่มพูดยิ้มๆ เพียงแต่เมื่อมองควบคู่กับท่าทางที่น่าสะพรึงกลัวนั่นแล้ว ช่างให้ความรู้สึกน่าขันนัก
เยี่ยหลีขมวดคิ้ว “ตั้งแต่ข้าได้รับการจับคู่กับติ้งอ๋อง ดูคล้ายภัยสารพัดรูปแบบจะเข้ามาหาข้าไม่หยุดหย่อน ไม่ว่าจะเป็นถูกทดสอบ จับตามอง หาเรื่อง และแน่นอนแม้กระทั่งการลักพาตัว”
“ในเมื่อวุ่นวายเช่นนี้ สู้หนีไปกับข้าไม่ดีกว่าหรือ เจ้าว่าอย่างไร”
แพขนตายาวของเยี่ยหลีขยับขึ้นลงเล็กน้อย “ข้าไม่สนใจรับบทเป็นคุณหนูลูกผู้ดีในละครบัณฑิตมากความสามารถกับคุณหนูผู้เลอโฉมหรอกนะ อีกอย่าง ข้าเดาว่าในละครพวกนั้นคงลืมกล่าวถึงท่านพ่อท่านแม่และญาติพี่น้องของคุณหนูนั่นว่าจะทำอย่างไรต่อไป จะทำอย่างไรกับเรื่องชื่อเสียง พวกเขาจะใช้ชีวิตกันต่ออย่างไร หากบัณฑิตผู้นั้นหนีไปกับคุณหนูคนอื่นอีกแล้วจะทำอย่างไร”
ชายหนุ่มมองนางด้วยความผิดหวัง ผ่านไปครู่ใหญ่จึงได้กล่าวว่า “เจ้านี่ช่างคิดมากเสียจริง ในละครต่างก็บอกว่าบัณฑิตผู้นั้นสุดท้ายจะสอบได้เป็นจ้วงหยวนและกลายเป็นผู้ดีมีอันจะกินทั้งสิ้น ส่วนท่านพ่อท่านแม่ของคุณหนูก็จะให้อภัยในที่สุด ญาติทั้งหลายจะต้องอิจฉา พี่น้องจะต้องริษยา ที่สำคัญที่สุดคือ สุดท้ายบัณฑิตหนุ่มกับคุณหนูผู้เลอโฉมจะอยู่ด้วยกันอย่างรักใคร่ไปจนแก่จนเฒ่ามิใช่หรือ”
เยี่ยหลีส่ายหน้า “บทสุดท้ายของละครเพียงบอกว่า จบบริบูรณ์ อยู่ด้วยกันอย่างรักใคร่ไปจนแก่เฒ่าซึ่งเป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่คิดต่อกันไปเองต่างหากเล่า”
ชายหนุ่มลองใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วน ดูเหมือนไม่มีละครหรือนิยายเล่มใดเขียนถึงตอนที่บัณฑิตและคุณหนูอยู่ด้วยกันอย่างรักใคร่ไปจนแก่เฒ่าและมีลูกหลานเต็มบ้านเลยจริงๆ เสียด้วย
“เอาเถิด ยายเฒ่า ต้องทำอย่างไรเจ้าถึงจะยอมปล่อยข้าไปหรือ” ดูคล้ายเขาจะรู้แล้วว่าการพูดจาอ้อมค้อมกับเยี่ยหลีนั้นไม่มีประโยชน์ จึงเลือกเอ่ยถามนางตรงๆ
“บอกข้ามาว่าผู้ใดที่คิดอยากทำร้ายข้า” เยี่ยหลีเองก็ไม่อ้อมค้อมเช่นกัน ถามสิ่งที่นางอยากรู้ออกไปทันที
“หากข้าไม่พูดแล้วจะเป็นอย่างไร”
ปลายมีดที่เย็นเฉียบครูดไปตามลำคอเขาเบาๆ ขนบริเวณลำคอตั้งชันขึ้นมาทันที “เจ้าวางใจเถิด ข้าไม่ใช้มีดแทงเจ้าหรอก ข้าจะ…ผลักเจ้าลงไปเลย” เยี่ยหลีเหลือบมองหุบเหวที่ลึกลงไปจนมองไม่เห็นก้นบึ้งแล้วยิ้มน้อยๆ
สู้เจ้าเอามีดแทงข้าเสียเลยไม่ดีเสียกว่าหรือ ชายหนุ่มได้แต่ยิ้มเหมือนอยากร้องไห้ “ไม่ได้ เรื่องนี้ข้าพูดไม่ได้จริงๆ”
“พูดได้สิ”
“ข้ารับปากไว้แล้ว เป็นบุรุษเสียชีพอย่างเสียสัจ ต่อให้เจ้าแทงข้าจนตายข้าก็ไม่พูด” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยความแน่วแน่
เยี่ยหลีมองประเมินเขาอยู่ครู่ใหญ่ เลิกคิ้วกล่าวว่า “เอาเถิด ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นข้าขอดูใบหน้าที่ซ่อนอยู่ใต้หน้ากากนี้หน่อยก็แล้วกัน”
“คุณหนูเยี่ย เจ้าปล่อยข้าไปยามนี้ แล้วข้าจะถือว่าข้าติดหนี้บุญคุณเจ้าได้หรือไม่” ชายหนุ่มต่อรอง
“ถ้อยคำนี้ฟังคุ้นหูอย่างไรชอบกล เพียงแต่เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อถ้อยคำคนที่ข้าไม่รู้แม้แต่ชื่อและฐานะอย่างนั้นหรือ ต่อให้เจ้าติดหนี้บุญคุณข้าร้อยครั้ง แต่ข้าหาตัวเจ้าไม่เจอจะไม่เสียเปล่าหรือ” เยี่ยหลีกระชับมีดสั้นในมือ พร้อมเล็งไปยังเส้นชีพจรของบุรุษผู้นั้นนิ่ง ส่วนมืออีกข้างจับหน้ากากหน้าตาอัปลักษณ์นั่น “คุณหนูเยี่ย ในตัวข้ามีตั๋วเงินสองหมื่นตำลึง เจ้านำมันไปได้เลยถือเป็นค่าปลอบขวัญให้เจ้า แล้วเรื่องในวันนี้ถือว่าหายกันได้หรือไม่”
เยี่ยหลียังคงไม่หยุดมือ เพียงเอ่ยเรียบๆ ว่า “เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนเช่นเจ้าที่ยอมแลกชีวิตเพื่อเงินหรือ หากครั้งนี้หายกันไป ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าจะไม่มีครั้งหน้าอีก”
ชายหนุ่มเงียบไปครู่ ก่อนเอ่ยว่า “ข้าไม่รู้ว่านางจะยังมีครั้งต่อไปอีกหรือไม่ แต่ข้ารับประกันได้เลยว่าข้าจะไม่สร้างความลำบากให้คุณหนูเยี่ยอีกเป็นอันขาด ได้หรือไม่” เขารับรู้ได้ว่ามือของเยี่ยหลีชะงักไปเล็กน้อย ชายหนุ่มจึงรีบเอ่ยเสริมว่า “ข้าสัญญาว่าจะไม่สร้างความลำบากให้คุณหนูเยี่ยอีก เรื่องนี้เจ้าบอกม่อซิวเหยาได้เลย เขารู้ว่าข้าเป็นใคร และรู้ว่าคำพูดข้าเชื่อถือได้หรือไม่”
ปลายมีดเย็นเฉียบที่จ่ออยู่ที่คอค่อยๆ ถูกเอาออกไป ก่อนเยี่ยหลีจะลุกยืนขึ้น “ข้าเชื่อเจ้าก็ได้”
“ยาถอนพิษเล่า”
“ไม่มี ยานี้เป็นยาที่ชิงอวี้ให้ข้ามา ถึงแม้จะทำให้เจ้าใช้กำลังภายในไม่ได้ แต่จากตรงนี้ลงไป ใช้วิชาตัวเบาไม่ได้ก็คงไม่มีปัญหากระมัง” เยี่ยหลีพูดพร้อมยิ้มน้อยๆ
ชายหนุ่มกัดฟันกรอด แต่เสียงฝีเท้าที่ดังใกล้เข้ามาทำให้เขาไม่มีเวลาต่อปากต่อคำกับเยี่ยหลีอีก ทำได้เพียงรีบลุกขึ้นยืนเตรียมลงจากหน้าผาโดยวิธีที่ไม่เคยใช้มาก่อน ทว่าน่าเสียดาย เขาช้าไปเพียงก้าวเดียว ก่อนน้ำเสียงเย็นเยียบดังลอยมาจากทางเดินอีกเส้นหนึ่ง “หานหมิงเย่ว์…”
บุรุษในชุดสีอ่อนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็นค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้นที่ปากทางเดินเล็กๆ คนเข็นรถเข็นด้านหลังเขายังคงเป็นชายหนุ่มมาดนิ่งในชุดสีน้ำตาล ถึงแม้ทางเส้นนี้จะเป็นทางเดินบนภูเขาที่ไม่ราบเรียบนัก แต่สีหน้าเขาดูประหนึ่งไม่ได้ออกแรงเลยแม้แต่น้อย
สีหน้าม่อซิวเหยาที่นั่งอยู่บนรถเข็นราบเรียบดุจสายน้ำ สายตาที่จ้องไปยังบุรุษตาเดียวผู้นั้นเต็มไปด้วยความเย็นชาและนิ่งสงบ เพียงแค่ถูกเขามอง บุรุษตาเดียวผู้นั้นก็รู้สึกเกร็งไปทั้งร่าง คล้ายถูกความเย็นทำให้ตัวแข็งไปกระนั้น ทำได้เพียงหัวเราะอย่างขมขื่นและมองลงไปยังหน้าผาที่ห่างจากตนเพียงสองก้าว
“อาหลี เจ้าเป็นอันใดหรือไม่” ม่อซิวเหยาเหลือบมองเยี่ยหลี สายตาดูอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย เมื่อเห็นเขามองมา เยี่ยหลีจึงเก็บมีดสั้นลงด้วยท่าทีสบายๆ ก่อนเดินเข้าไปหาพร้อมรอยยิ้มขอโทษ “ขออภัยด้วย ข้าทำให้ท่านต้องเป็นห่วงแล้ว”
นัยน์ตาม่อซิวเหยาเป็นประกายก่อนขมวดคิ้วเล็กน้อย สุดท้ายทำเพียงถอนหายใจแผ่วเบา “เจ้าเหนื่อยแล้ว พวกเรากลับไปแล้วค่อยคุยกันก็แล้วกัน”
เยี่ยหลีเองก็รู้สึกว่าสถานการณ์ยามนี้ไม่เหมาะกับการพูดคุยนัก จึงพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของม่อซิวเหยา กลุ่มคนที่ตามหลังม่อซิวเหยากับอาจิ่นมานั้น มีหญิงสาวคนหนึ่งส่งเสื้อคลุมให้เยี่ยหลี เยี่ยหลียิ้มบางให้ ถึงแม้นางจะไม่หนาว แต่ก็รับเสื้อคลุมตัวนั้นมาคลุมไว้แต่โดยดี
“หานหมิงเย่ว์ เจ้าจะบอกข้าได้หรือไม่ว่าเหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่” นัยน์ตาดุคมของม่อซิวเหยาจ้องชายหนุ่มที่ยืนอยู่ริมหน้าผาพลางเอ่ยถาม
“ข้าปลอมตัวเช่นนี้แล้วเจ้ายังดูออกอีกหรือ” ชายหนุ่มได้แต่ถอนหายใจ ยกมือขึ้นลูบข้างใบหน้าของตน ก่อนดึงหน้ากากหนังบนใบหน้าออก เผยใบหน้าหล่อเหลาที่เต็มไปด้วยความผิดหวังอย่างมิอาจปกปิด
เมื่อได้ยินม่อซิวเหยาเอ่ยชื่อหานหมิงเย่ว์ เยี่ยหลีเพียงเลิกคิ้วเล็กน้อยเท่านั้น จนเมื่อบุรุษผู้นั้นดึงหน้ากากของตนออกเผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลา นางจึงไม่ตกตะลึงสักเท่าไร ใบหน้านี้มีความคล้ายคลึงกับคุณชายเฟิงเย่ว์ที่พบเมื่อหลายวันก่อนถึงแปดส่วน เพียงแต่ใบหน้านั้นดูแพรวพราว ดึงดูดใจคนแบบบุรุษเจ้าชู้ แต่ใบหน้านี้ดูซื่อตรงกว่ามาก สีหน้าเลิกคิ้วขึ้นพลางยิ้มน้อยๆ เช่นนี้ดูเป็นธรรมชาติและมีเสน่ห์ยิ่งนัก
“ฮ่าๆ ซิวเหยา พวกเราไม่ได้เจอกันเสียหลายปี ไม่คิดเลยว่าจะมาเจอกันอีกครั้งในสถานการณ์เช่นนี้ ช่าง…น่าเสียดายจริงๆ” ชายหนุ่มผู้หล่อเหลาถึงแม้จะอยู่ในชุดโจรป่าโกโรโกโส แต่ก็ยังคงดูสง่างามประหนึ่งบุตรชายของผู้ดีมีอันจะกิน แต่สีหน้ากะลิ้มกะเหลี่ยนั้นกลับให้ความรู้สึกแปลกๆ “พอข้าได้ยินว่าเจ้าจะแต่งงาน ข้าก็รีบเดินทางไกลมาอวยพรเจ้าทันที แต่ดูเหมือนเจ้ายังคงไม่ยินดีต้อนรับสหายเก่าเหมือนเดิมนะ”
“การอวยพรของเจ้าคือการลักพาตัวคู่หมั้นข้าหรือ” เสียงทุ้มต่ำของม่อซิวเหยาฟังดูรื่นหู ทว่าเยี่ยหลีที่ยืนอยู่ด้านหลังเขากลับกระชับเสื้อคลุมของตนเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว
“เข้าใจผิดแล้ว” หานหมิงเย่ว์พูดด้วยสีหน้าขมขื่น “ก่อนหน้านี้ข้าไม่รู้ว่าคนที่ข้าต้องลักพาตัวเป็นคู่หมั้นของเจ้านี่นา แต่ในเมื่อรับงานมาแล้วหากทำไม่สำเร็จ ชื่อเสียงและหน้าตาของหานหมิงเย่ว์จะเอาไปไว้ที่ใด ข้าพยายามทำให้เสียหายน้อยที่สุดแล้ว ยามนี้ข้าทำงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว คู่หมั้นของเจ้าปลอดภัยเป็นปกติดี” หนำซ้ำข้ายังถูกนางรังแกอีก คนที่เสียประโยชน์คือข้าต่างหากเล่า
“คนที่ให้เงินเจ้าเป็นใคร” ม่อซิวเหยาเอ่ยถามขณะจ้องหน้าเขา
“ข้าบอกไม่ได้” หานหมิงเย่ว์ยิ้มอย่างจนปัญญา
ม่อซิวเหยาหัวเราะเสียงเย็น “หานหมิงเย่ว์ หากเพื่อเงินแล้ว นอกจากน้องชายของเจ้า เจ้ายังมีอันใดที่ไม่กล้าขายอีกหรือ”
หานหมิงเย่ว์ถอนหายใจยาว สีหน้าลำบากใจขึ้นไปอีก มองหน้าม่อซิวเหยาก่อนตอบว่า “ถึงอย่างไรก็ยังมีบางอย่างที่อย่างไรก็ขายไม่ได้อยู่บ้าง อีกอย่าง คราวนี้หมิงซีก็ถูกพวกเจ้าจัดการไปหนักไม่น้อย ซิวเหยา เรื่องคราวนี้ถือเสียว่าเห็นแก่ข้า ไม่สืบสาวเอาความแล้วได้หรือไม่ ข้ารับรองได้ว่าจะไม่มีครั้งหน้าอีก”
สีหน้าม่อซิวเหยาเฉยชายิ่งกว่าเดิม หานหมิงเย่ว์กระทืบเท้าพลางพูดว่า “รายได้ปีนี้หนึ่งในสิบส่วนของเทียนอี้เก๋อ ข้าจะยกให้พี่สะใภ้เป็นค่าทำขวัญก็ได้!”
“หานหมิงเย่ว์ เจ้าตื่นตูมเกินไปแล้ว” ม่อซิวเหยายกมือขึ้นจับหน้ากากบนหน้าตนก่อนพูดเรียบๆ
หานหมิงเย่ว์นิ่งอึ้งไป สีหน้าเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง เขาลืมไปได้อย่างไรว่าม่อซิวเหยารู้จักเขาดีเกินไป หากเขาไม่แสดงท่าทีตื่นตูมเช่นนี้ออกไป ม่อซิวเหยาคงไม่รู้เป้าหมายได้ง่ายเช่นนั้น “ซิวเหยา เห็นแก่ที่ข้าช่วยเจ้า…”
“ไปเสีย” เมื่อมองสีหน้าร้องขอความเห็นใจของหานหมิงเย่ว์นิ่งอยู่พักหนึ่ง ม่อซิวเหยาจึงได้พ่นสองคำนั้นออกมา
หานหมิงเย่ว์ยิ้มแย้มยินดีต่อถ้อยคำที่ไร้มารยาทนั้น “ภายในสามวันข้าจะนำของขวัญไปส่งให้ที่จวนของพี่สะใภ้แน่!”
คำตอบของม่อซิวเหยา คือการยกมือไปทางด้านหลังเล็กน้อย “เฮยอวิ๋นฉี ยิงได้!”
กลุ่มคนในชุดดำที่ยืนล้อมเป็นครึ่งวงกลมพร้อมโพกศีรษะด้วยผ้าดำนั้น ไม่รู้จับคันธนูขึ้นตั้งแต่เมื่อไร ก่อนจะง้างและยิง…
หานหมิงเย่ว์ทำอันใดไม่ได้นอกจากพุ่งตัวกระโดดลงหน้าผาไป “ม่อซิวเหยา เจ้าโหดเ**้ยมนัก!”
เสียงร้องโหยหวนของหานหมิงเย่ว์ขาดหายไปในหน้าผา เยี่ยหลีกะพริบตาปริบๆ ก่อนก้มลงมองม่อซิวเหยา เริ่มไม่แน่ใจว่าเมื่อสักครู่หานหมิงเย่ว์ยังซ่อนวิชาใดไว้อีกหรือไม่ เพราะต่อให้นางในช่วงที่มีสภาพร่างกายดีที่สุด หากตกลงไปจากตรงนี้ก็คงมิอาจรอดปลอดภัยได้
ราวกับม่อซิวเหยาจะรู้ถึงความสงสัยของนาง จึงอธิบายว่า “หานหมิงเย่ว์ทำการใดมักคิดเผื่อไว้เสมอ เขาคงมีผ้าแขวนไว้ด้านล่าง ตกลงไปไม่ตายหรอก”
เยี่ยหลีขมวดคิ้ว ที่แท้ที่เมื่อสักครู่ที่นางขู่ว่าจะจับเขาโยนลงไปนั้นไม่มีผลเลยแม้แต่น้อย การที่เราไม่เข้าใจศัตรูอย่างถ่องแท้ ทำให้ง่ายต่อการเกิดข้อผิดพลาดจริงๆ เสียด้วย รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง เชื่อกลยุทธ์พิชัยสงครามไว้ไม่เสียหลาย
“กลับกันเถิด” ม่อซิวเหยายื่นมือออกไปพลางเอ่ยเบาๆ
“ดีเพคะ”
* ชุ่น มาตรวัดของจีนสมัยโบราณ 1 ชุ่น เท่ากับ 3.3 เซ็นติเมตร