เยี่ยหลีนั่งนิ่งอยู่บนเตียง หูทั้งสองข้างคอยฟังความเคลื่อนทางด้านนอก รังโจรบนภูเขาในยามค่ำคืนเช่นนี้ช่างเงียบสงัด ดูคล้ายชิงหลวนคงไม่ถูกใครพบเข้า ในใจเยี่ยหลีค่อยๆ สบายใจขึ้น วิชาตัวเบาที่สามารถสะกดรอยตามคุณชายเฟิงเย่ว์ได้สำเร็จคงพอเชื่อถือได้อยู่ ขอเพียงไม่ถูกพบภายในครึ่งชั่วยาม เพียงครึ่งชั่วยามก็เพียงพอที่จะให้ชิงหลวนหลบหนีไปจากภูเขากุ่ยอวิ๋นหรือกุยอวิ๋นนี่ได้แล้ว
“ปัง!” ประดูของห้องซอมซ่อถูกถีบเปิดจากด้านนอกอีกครั้ง บานประตูที่ไม่ได้แข็งแรงนักเริ่มแกว่งไปมาอย่างทุลักทุเล
บุรุษตาเดียวเข้ามาก่อน เมื่อเห็นร่างที่อยู่กับพื้นและเยี่ยหลีที่ยังคงนั่งสงบนิ่งอยู่บนเตียงแล้วก็อึ้งไปพักหนึ่ง ที่น่าแปลกใจคือเขาไม่ได้แสดงความโกรธเกรี้ยว เพียงโบกมือเรียกคนให้เข้ามาลากร่างที่อยู่บนพื้นออกไปเท่านั้น
“ดูเหมือนข้าจะประมาทเจ้าเกินไปหน่อย สาวใช้คนนั้นเล่า” บุรุษตาเดียวจ้องหน้าเยี่ยหลีพร้อมเอ่ยถาม
เยี่ยหลีนึกถอนใจในใจอย่างช่วยไม่ได้ นางถูกพบเข้าเสียแล้ว หวังว่าชิงหลวนจะลงจากเขาไปได้อย่างปลอดภัย “เจ้าก็เห็นแล้วมิใช่หรือว่านางหนีไปแล้ว”
ดวงตาเ**้ยมเกรียมของบุรุษตาเดียวหรี่ลงด้วยความสงสัย “เหตุใดเจ้าจึงไม่ไปกับนางด้วย หรือว่าสาวใช้ทรยศเจ้านายหนีไปแล้ว เป็นเพียงสาวใช้แต่กลับหนีออกจากรังไปได้อย่างไร้ร่องรอย ช่างน่าประหลาดใจนัก”
เยี่ยหลีมองตอบเขา “แค่โจรกลุ่มหนึ่ง แต่กลับลักพาตัวสตรีสองคนจากใต้ฝ่าพระบาทของโอรสสวรรค์ประหนึ่งไร้การคุ้มกัน ก็ทำให้ข้าประหลาดใจมากเช่นกัน”
บุรุษตาเดียวส่งเสียงเหอะเบาๆ “คนที่ข้าส่งให้ตามสาวใช้ของเจ้าไปนำเงินมาจนถึงยามนี้ก็ยังไม่กลับมา เจ้าว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับพวกเขาหรือไม่”
เยี่ยหลีส่ายหน้าอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว
“ดูท่าสาวใช้ของเจ้าคนนั้นคงจะฝีมือดีไม่น้อย บางทีนางอาจลงเขาไปขอให้คนมาช่วยแล้วก็เป็นได้ เจ้าว่าก่อนที่จะมีคนมาช่วยเจ้าต้องทำเช่นไรจึงจะรักษาชีวิตของเจ้าไว้ได้” บุรุษตาเดียวจ้องมองหญิงสาวที่นั่งนิ่งตรงหน้าด้วยสายตามาดร้าย
เยี่ยหลียกมือขึ้นประคองหัวไหล่ข้างที่พันแผลเอาไว้อย่างดีด้วยท่าทีไม่ใคร่ใส่ใจ ก่อนพูดว่า “บางทีเจ้าน่าจะลองคิดที่จะรับเงินจากข้าก้อนหนึ่งแล้วไปจากที่นี่ให้ไกลเสีย ข้าคิดว่าลูกน้องของเจ้าที่ยังไม่กลับมาสองคนนั้นน่าจะเป็นเพราะพวกมันคิดทำมิดีมิร้ายกับสาวใช้ของข้า ในเมื่อเจ้ารู้แล้วว่าสาวใช้ของข้าเป็นคนมีฝีมือ ก็น่าจะพอเดาได้ว่าอีกคนหนึ่งก็น่าจะมีฝีมือพอกัน ดังนั้น การค้าของเราอาจจะยังพอเจรจากันได้”
“ดูเหมือนคุณหนูเยี่ยจะถนัดในการใช้เงินแก้ปัญหาสินะ” บุรุษตาเดียวเอ่ยแดกดัน
เยี่ยหลีส่ายหน้า “เจ้าไม่ได้รับเงินผู้อื่นมาเพื่อสร้างความลำบากให้ข้าหรอกหรือ ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้หมายจะซื้อชีวิตข้า เช่นนั้นข้าคิดว่าเจ้าสำเร็จลุล่วงตามเป้าหมายแล้ว เชื่อว่าไม่ต้องรอให้ถึงวันพรุ่ง ทั่วเมืองหลวงคงได้เล่าลือกันไปทั่วแล้วว่าคุณหนูสามตระกูลเยี่ยถูกโจรลักพาตัวไป ส่วนข้าก็เพียงเสียเงินนิดหน่อยเพื่อไม่ให้ข้าได้รับความเสียหายเข้าจริงๆ เจ้าเองก็ไม่ถือว่าทำผิดจากที่ตกลงกับอีกฝ่ายไว้ ยิงเกาทัณฑ์ดอกเดียวได้นกถึงสองตัว เหตุใดจึงจะไม่ได้เล่า”
“ฟังดูมีเหตุผล”
“มีคนเคยบอกข้าว่า ปัญหาที่ใช้เงินแก้ได้นั้นล้วนมิใช่ปัญหา ครั้งนี้ข้าไม่เบี้ยวเจ้าแน่ ขอเพียงพ้นภัยครานี้ไปได้ข้าจะมอบเงินให้เจ้าทันที ข้าจะวางเงินมัดจำให้เจ้าก่อนก็ยังได้” เยี่ยหลีเอ่ยยิ้มๆ
“หากข้าไม่ตอบตกลงเล่า” บุรุษตาเดี่ยวหรี่ตา
เยี่ยหลียังคงเอ่ยเสียงเรียบว่า “หากข้าตายไป ตระกูลเยี่ย ตระกูลสวี และตำหนักติ้งอ๋องจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อล้อมจับเจ้า แต่หากข้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าอาจคิดใช้สมบัติของข้าทั้งหมด หรือบางทีอาจรวมถึงสินเดิมจากตระกูลสวีและของหมั้นจากตำหนักติ้งอ๋องมาเป็นเงินรางวัลก็เป็นได้ คนใต้หล้าจะตามฆ่าเจ้าเพื่อเงินค่าหัว ข้าไม่เอาชีวิตเจ้าหรอก ขอเพียงได้เห็นดาบของเจ้า ข้าจะให้ทันทีหนึ่งพันตำลึง เจ้าคิดว่าจะมีสักกี่คนที่รับงานนี้”
มุมปากของบุรุษตาเดียวกระตุกเล็กน้อย “ช่างร้ายกาจนัก แต่ก่อนอื่นเจ้าจะต้องหาข้าให้พบเสียก่อน”
รอยยิ้มของเยี่ยหลีคลี่กว้างขึ้น “คนของเทียนอี้เก๋อติดหนี้ชีวิตข้าครั้งหนึ่ง”
รอยยิ้มล้อเลียนบนใบหน้าของบุรุษตาเดียวหุบฉับลงทันที สีหน้าเ**้ยมเกรียมของเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเข้มขึ้น ถึงแม้ใบหน้าจะยังคงเป็นใบหน้าที่น่ากลัวเช่นเดิม ทว่าพริบตานั้นกลับดูมีรังสีแห่งความเป็นผู้นำขึ้นหลายส่วน
“ไม่เสียแรงที่เป็นสตรีของม่อซิวเหยา ช่างแตกต่างจากหญิงสาวทั่วไปนัก”
เยี่ยหลียิ้มขื่น “เพียงเพื่อรักษาชีวิตเท่านั้น เจ้าจะยอมเผยโฉมหน้าที่แท้จริงหรือไม่ พูดตามตรง ข้าไม่ค่อยชอบพูดกับคนที่ใส่หน้ากากสักเท่าไร”
บุรุษตาเดียวจ้องหน้านางด้วยความประหลาดใจ “เจ้าดูออกหรือ ข้าคิดว่าฝีมือแปลงโฉมของข้าทำได้เหมือนจริงแล้วเสียอีก”
เยี่ยหลีตอบว่า “อาจเป็นเพราะข้าอ่อนไหวกับเรื่องพรรค์นี้ก็เป็นได้ ข้าคิดว่าหน้ากากหนังคนกับหนังคนจริงๆ ยังมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง ใช่หรือไม่”
บุรุษตาเดียวยกมือขึ้นลูบหน้าตนเองด้วยความรังเกียจ “เวลากระชั้นเกินไป อารามรีบร้อนจึงได้ของชั้นเลว ในเมื่อเจ้ารู้แล้วว่ามีคนคิดอยากทำลายชื่อเสียงของเจ้า แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าเงื่อนไขที่เสนอมาคืออะไร”
เยี่ยหลีหันมองเขา “ยินดีรับฟัง”
บุรุษตาเดียวเดินไปนั่งอีกฟากหนึ่ง มองเยี่ยหลีด้วยสายตาล้อเลียน “อีกฝ่ายบอกให้ข้า…ทำลายชื่อเสียงของเจ้า ฟังให้ดี ทำ ลาย เจ้า”
สายตาเยี่ยหลีเย็นชา “เป็นสตรีสินะ”
บุรุษตาเดียวเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ
เยี่ยหลีขมวดคิ้ว “มีเพียงสตรีเท่านั้นที่ชอบใช้วิธีการเช่นนี้จัดการกับสตรีด้วยกัน”
บุรุษตาเดียวยักไหล่ “ข้าไม่มีทางบอกเจ้าว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ใด เจ้าไม่กลัวหรือ”
เยี่ยหลีจ้องตอบเขาตรงๆ ขณะใช้ความคิดเล็กน้อย “เจ้าไม่คิดจะทำเช่นนั้นมิใช่หรือ”
ชายหนุ่มพยักหน้าพลางหัวเราะเสียงใส “มิอาจไม่ยอมรับว่าม่อซิวเหยาช่างมีสายตาแหลมคมนัก อย่างน้อยก็ดีกว่าเจ้าทึ่มม่อจิ่งหลีนั่นมากนัก ข้าไม่คิดทำเช่นนั้นแน่ เพราะถึงอย่างไรข้าคงไม่คิดจะกระตุกหนวดม่อซิวเหยาเพื่อเงินไม่กี่หมื่นตำลึงนั่นหรอก”
“เจ้ารู้จักม่อซิวเหยา” เยี่ยหลีพูดขึ้น
บุรุษตาเดียวไม่ปฏิเสธ เขายืนขึ้นก่อนกล่าวว่า “ยามนี้พวกเราไปกันได้แล้ว คุณหนูสามตระกูลเยี่ย พวกเราไปเอาเงินที่ข้าสมควรได้กันเถิด จากนั้นค่อยส่งท่านกลับจวน ท่านเห็นอย่างไรบ้าง ข้าเดาว่าอีกสักหนึ่งหรือสองชั่วยาม ม่อซิวเหยาก็คงมาถึงแล้ว ที่นี่ไม่ปลอดภัย”
เยี่ยหลีลุกขึ้นยืนตามเขาอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนเอ่ยถามว่า “แล้วคนที่รังนี้ของเจ้าจะทำอย่างไร” บุรุษตาเดียวหันมาส่งรอยยิ้มบิดเบี้ยวให้นาง “เจ้าคงไม่คิดว่าข้าเป็นหัวหน้าโจรจริงๆ หรอกนะ เจ้าวางใจได้ ถึงแม้ข้าจะมิใช่หัวหน้าโจร แต่พวกในรังโจรนี้ต่างก็เป็นพวกโจรที่กระทำแต่เรื่องชั่วช้ากันทั้งนั้น ตกอยู่ในมือของม่อซิวเหยาก็ถือว่าพวกมันโชคไม่ดีก็แล้วกัน”
“หัวหน้ารังโจรที่เป็นบุรุษตาเดียวคงไม่ได้ถูกเจ้าฆ่าไปแล้วกระมัง” เยี่ยหลีเดินไปเดินมาตามชายหนุ่มในห้องซอมซ่อที่จัดอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ระหว่างทาง โจรที่เดินลาดตระเวนอยู่ต่างก็เข้ามาทำความเคารพบุรุษตาเดียวผู้นั้น ครั้นเห็นเยี่ยหลีเดินตามเขามาต่างก็ส่งยิ้มกักขฬะให้เหมือนกันโดยมิได้นัดหมาย “คนคุ้มกันที่นี่ดูไม่เท่าไรจริงๆ ด้วย มิน่าชิงหลวนถึงได้ไม่ทำให้ใครในรังนี้แตกตื่นเลย”
“แม้แต่เรื่องนี้เจ้าก็ยังรู้หรือ ไม่เท่าไรจริงอย่างที่เจ้าว่า หากไม่มีข้าคอยช่วยเหลือ อาศัยแค่เจ้าทึ่มพวกนี้คงถูกจับตั้งแต่ยังออกไปไม่พ้นเขตเมืองหลวง” บุรุษตาเดียวเสริมว่า “เจ้าคนละโมบโลภมากนั่นยามนี้หลับอุตุอยู่ในห้องของเขาโน่น เพราะคิดอยากฮุบเงินรางวัลทั้งหมดไว้เอง ข้าหาเงินเองมาโดยตลอดจนผู้อื่นไม่มีเงินให้หา รอให้ม่อซิวเหยามาถึงก็พอดีให้พวกมันรับผิดชอบไป เจ้าว่าความคิดนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
เยี่ยหลีพยักหน้าอย่างไม่ใคร่ใส่ใจนัก ก่อนมองถนนที่ยิ่งเดินยิ่งดูห่างไกล “พวกเราออกไปทางนี้หรือ”
ชายหนุ่มพยักหน้า “เจ้าวางใจได้ ขอเพียงข้าได้รับเงินเรียบร้อย จะส่งเจ้ากลับตระกูลเยี่ยอย่างปลอดภัยแน่” ในขณะที่เขาจะยกมือขึ้นไปปลดค่ายกลก็มีเสียงแปลกประหลาดแว่วมาจากเขาทางด้านล่าง เยี่ยหลีสีหน้ายังคงเดิม แต่สีหน้าของบุรุษตาเดียวกลับเปลี่ยนไป ก่นด่าเสียงต่ำว่า “บ้าเอ๊ย! เหตุใดเขาถึงมาเร็วเช่นนี้” พูดจบก็ล้มเลิกความตั้งใจที่จะไปทางเดิม แล้วดึงเยี่ยหลีให้ออกวิ่งไปอีกทางหนึ่งสุดชีวิต
“พวกเราไม่ไปทางลับแล้วหรือ”
ชายหนุ่มว่า “ไปทางลับไม่ปลอดภัย อีกอย่างมันอ้อมเกินไป ไม่แน่ว่าอาจถูกขวางได้” เมื่อฟังเสียงที่ดังใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ทว่าภายในรังโจรกลับยังไม่มีความเคลื่อนไหวใด ดูท่าว่าผู้ที่มาล้วนเป็นยอดฝีมือทั้งสิ้น พวกโจรกระจอกที่อยู่ในรังคงไม่ทันเห็นแม้แต่เงาของพวกเขาเป็นแน่ ชายหนุ่มลากเยี่ยหลีให้วิ่งไปทางหลังเขา “ด้านหลังเขายังมีถนนอีกเส้นหนึ่ง ถึงแม้จะอันตรายไปสักหน่อย แต่สามารถลงทางหุบเขาไปได้เลย ม่อซิวเหยาหาไม่เจอภายในเวลาอันสั้นแน่”
“แต่ว่าข้า…” เยี่ยหลีเอ่ย
“วางใจได้ วิชาตัวเบาข้าเก่งพอตัว ต่อให้มีเจ้าอีกคนก็สามารถพาลงไปด้วยได้”
“แต่ว่าข้าคิดจะเบี้ยวเจ้าต่างหาก!” เยี่ยหลีเอ่ยยิ้มๆ