“หลีอ๋องและชายาก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ คารวะท่านอ๋อง คารวะชายา” ฮว่ากั๋วกงผู้เฒ่ากวาดสายตามองทุกคนในห้องรอบหนึ่ง ก่อนหยุดมองเยี่ยหลีเล็กน้อย แล้วหันไปคารวะม่อจิ่งหลีและเยี่ยอิ๋ง
ม่อจิ่งหลีพยักหน้ารับ เลื่อนสายตาไปจับจ้องม่อซิวเหยาที่ตามหลังฮว่ากั๋วกงผู้เฒ่าเข้ามา ขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “กั๋วกงผู้เฒ่านี่คือ”
ฮว่ากั๋วกงลูบเคราสีดอกเลาของตนเบาๆ ก่อนยิ้มอย่างอารมณ์ดีกว่าปกติว่า “ข้ามาเป็นพ่อสื่อให้ซิวเหยาน่ะพะย่ะค่ะ เป็นผู้ใหญ่นำของมาหมั้นหมาย เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่า ท่านรีบมาดูเร็วเข้าว่าของหมั้นเหล่านี้จวนเยี่ยยังมีอันใดไม่พอใจหรือไม่ หากขาดเหลือสิ่งใดจะได้รีบเรียกให้คนไปนำมาเสริมให้เรียบร้อย”
เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่ามองรายการของหมั้นผ่านๆ มาแล้วรอบหนึ่ง ยังจะกล้าไม่พอใจได้อย่างไร นางรีบยิ้มเต็มหน้า “ของที่กั๋วกงผู้เฒ่ากับท่านซูจัดเตรียมมาด้วยตนเองจะขาดตกบกพร่องได้อย่างไรเจ้าคะ” พูดจบก็หันไปยื่นใบรายการให้เยี่ยหลี
เยี่ยหลีเพียงมองผ่านๆ ก่อนหันไปยื่นให้ชิงหลวนที่ยืนอยู่ด้านข้าง ยิ้มน้อยๆ แล้วกล่าวว่า “ลำบากท่านกั๋วกงและผู้อาวุโสซูแล้ว”
ฮว่ากั๋วกงมองพิจารณาเยี่ยหลีครู่หนึ่ง ก่อนหันไปยิ้มพร้อมพยักหน้าให้ม่อซิวเหยา “ตระกูลเยี่ยช่างสั่งสอนบุตรสาวได้ดีจริงๆ ซิวเหยาเจ้ามีวาสนาแล้ว”
ม่อซิวเหยาเหลือบมองเยี่ยหลีปราดหนึ่ง อมยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไร
ซูเจ๋อก็ยิ้มอย่างเห็นด้วย “กั๋วกงผู้เฒ่ากล่าวถูกแล้ว คุณหนูสามเก่งกาจทั้งด้านโคลงกลอน เขียนพู่กัน และวาดภาพ ถือว่าโดดเด่นในหมู่คุณหนูทั้งหลายในเมืองหลวง ตระกูลเยี่ยช่างสั่งสอนได้ดีจริงๆ”
หลังจากพูดเยินยอกันครู่หนึ่ง ฮว่าฮูหยินผู้เฒ่ายกเรื่องที่สมควรให้ทั้งคู่ทำความรู้จักมักคุ้นเพื่อสร้างความรู้สึกที่ดีต่อกันก่อนการแต่งงานโดยให้หนุ่มสาวทั้งสองออกไปคุยกันด้านนอก เมื่อออกมานอกหรงเล่อถังแล้ว เยี่ยหลีและม่อซิวเหยามองหน้ากันอย่างไม่รู้จะพูดอันใดดี ได้แต่ยิ้มให้กัน
“มา ข้าเข็นให้” เยี่ยหลีเดินไปด้านหลังม่อซิวเหยาจะเข้าไปเข็นรถแทนอาจิ่น อาจิ่นลังเลเล็กน้อยและยังไม่ยอมปล่อยมือโดยทันที จนม่อซิวเหยายกมือขึ้น “อาจิ่น เจ้าออกไปก่อนเถิด” หนุ่มน้อยมองหน้าเยี่ยหลีด้วยความประหลาดใจ ก่อนแสดงท่าทางเคารพนางอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน จากนั้นจึงปล่อยที่จับเก้าอี้รถเข็นให้เยี่ยหลีเข้ามาทำหน้าที่แทนตน แล้วหมุนกายเดินหายไปจากสายตาทั้งสองคนทันที
เยี่ยหลีค่อยๆ เข็นรถไปตามทางเดินราบเรียบมุ่งหน้าไปยังสวนดอกไม้
ม่อซิวเหยาหันหน้ามาเล็กน้อยก่อนพูดเสียงเบาว่า “ถ้าเจ้าเหนื่อยก็หยุดเข็นได้นะ อันที่จริง…ข้าเข็นเองได้”
“ข้ารู้ แต่ท่านก็สมควรรู้ว่าข้ามิใช่คุณหนูตระกูลผู้ดีที่แบบบางเช่นนั้น” เยี่ยหลีพูดยิ้มๆ เก้าอี้รถเข็นตัวนี้ทำมาอย่างดี ไม่จำเป็นต้องออกแรงเข็นมากสักเท่าใดเลย และเยี่ยหลีเชื่ออย่างสนิทใจว่าต่อให้ไม่มีคนคอยเข็นให้ ม่อซิวเหยาก็สามารถเข็นเก้าอี้รถเข็นให้เคลื่อนไปได้ดังใจตนอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นเขาคงไม่ไล่คนรู้ใจข้างกายไปแน่
พอได้ยินเยี่ยหลีกล่าวเช่นนี้ ม่อซิวเหยากระแอมเบาๆ คล้ายนึกอันใดขึ้นมาได้ ก่อนหัวเราะออกมาเบาๆ “ช่วงนี้ระวังตัวหน่อย จิ่งหลีคนนี้นิสัยเสียเรื่องอื่นยังพอว่า แต่เจ้าคิดเจ้าแค้นเป็นที่สุด จะว่าแค่มองหน้าก็สามารถหาเรื่องเอาคืนได้เลยทีเดียว ยามนี้เขาเจ็บแค้นเจ้าอยู่หลายเรื่อง คงไม่ปล่อยไปง่ายๆ เป็นแน่”
เยี่ยหลีพยักหน้า ก่อนพูดขึ้นอย่างอับจนปัญญาว่า “ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่าข้าไปทำอันใดให้เขาไม่พอใจเข้า”
แววขบขันในนัยน์ตาม่อซิวเหยาเจือแววเยาะหยัน “หากหลังจากเจ้าโดนถอนหมั้นแล้วเจ้ามีอาการผิดหวังเสียใจ ท้อแท้จนไม่อยากมีชีวิตอยู่บ้าง เขาคงไม่ทำอันใดเจ้าหรอก ดีไม่ดี…อาจมีเหตุผลให้เขาคิดชดเชยให้เจ้าเสียด้วยซ้ำ”
เยี่ยหลีไม่รู้จะว่าอย่างไร “เช่นนั้น ที่เขาจ้องเล่นงานข้าเช่นนี้ก็เป็นเพราะข้าไม่มีอาการดังที่เขาอยากให้เป็นอย่างนั้นหรือ”
“เป็นเช่นนั้นเอง”
“….” ช่างน่าตีเสียจริง!
ครั้นเดินมาถึงโต๊ะม้าหินข้างสระบัว เยี่ยหลีจึงหยุดเดิน “นั่งพักที่นี่หน่อยแล้วกัน” อากาศช่วงต้นเดือนห้า ทำให้ในสระบัวมีเพียงสีเขียวอร่ามเท่านั้น ทว่ากลับทำให้คนที่พบเห็นรู้สึกสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก บรรดาสาวใช้ที่คอยตามรับใช้ยกน้ำชาและขนมเข้ามาให้ก่อนล่าถอยออกไปอย่างรู้งาน เหลือเพียงชิงซวงและสาวใช้อีกสองสามคนยืนระวังคอยรับใช้อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนัก
ม่อซิวเหยาอมยิ้ม “บ่าวข้างกายเจ้าดูใช้ได้กันทุกคน สาวใช้คนนั้นคือคนที่อยู่นอกเมืองคืนนั้นหรือ ฝีมือไม่เลวเลย”
เยี่ยหลีหันไปมองชิงหลวนที่กำลังพูดคุยกับชิงซวง ก่อนพูดอย่างเขินๆ ว่า “ชิงหลวนและชิงอวี้เป็นบ่าวที่มาพร้อมกับท่านลุงใหญ่ มีเพียงชิงซวงคนเดียวที่ติดตามข้ามาตลอด” นางไม่ได้อธิบายโดยละเอียดว่าคนใดคือชิงอวี้ คนใดคือชิงซวง แต่เชื่อว่าม่อจิ่งหลีคงพอรู้เรื่องบ่าวข้างกายของนางคร่าวๆ อยู่แล้ว
ม่อซิวเหยายิ้มแล้วกล่าวว่า “ที่แท้ก็เป็นคนตระกูลสวีนี่เอง มิน่าเล่า แต่สายตาของอาหลีก็ดีไม่แพ้กัน เช่นนี้อีกหน่อยเมื่อเจ้าไปอยู่ที่ตำหนักติ้งอ๋องแล้วข้าคงไม่ต้องห่วงอีก”
เยี่ยหลีขมวดคิ้ว “นี่ท่านคงไม่ได้จะพูดกับข้าเรื่องงานในตำหนักติ้งอ๋องในอนาคตกระมัง” ให้นางจัดการทหารหน่วยพิเศษที่มีฝีมือไม่ธรรมดานั้นมิใช่ปัญหา หรือกองพลทหารทั้งกองนางก็สามารถทำได้ แต่หากจะให้นางจัดการเรื่องกิจการและงานต่างๆ ของตำหนักท่านอ๋อง ต่อให้ช่วงนี้นางจะได้ร่ำเรียนและฝึกฝนมาพอประมาณก็ยังอดนึกหวั่นใจไม่ได้
ท่าทีลังเลของเยี่ยหลีดูจะสร้างความบันเทิงใจให้ม่อซิวเหยาไม่น้อย แววขบขันในดวงตาของเขาจึงเพิ่มขึ้น “เจ้าเป็นนายหญิงแห่งตำหนักติ้งอ๋องในอนาคต จึงพูดเรื่องในตำหนักให้เจ้ารับรู้ไว้ก่อนเล็กน้อย ถึงเวลาเจ้าจะได้จับต้นชนปลายถูก มีอะไรไม่ถูกต้องหรือ”
“ไม่มีเพคะ” เยี่ยหลีส่ายหน้า หลักการตัวอยู่ตำแหน่งใดก็ต้องทำหน้าที่นั้น นางพอเข้าใจ “หวังว่าข้าจะไม่ทำให้ตำหนักติ้งอ๋องเละไม่เป็นท่า”
“ข้าเชื่อใจในตัวอาหลี” ม่อซิวเหยากล่าวพลางยิ้มน้อยๆ
เยี่ยหลีเลิกคิ้วอย่างไม่ใส่ใจ “เพื่อความเชื่อใจของท่าน ดูเหมือนข้าจะไม่มีเหตุผลให้บิดพลิ้วได้เลยสินะ” ในใจลึกๆ เยี่ยหลีชอบความรู้สึกเช่นนี้ อันที่จริงนางกับม่อซิวเหยาปฏิบัติต่อกันไม่เหมือนคู่สามีภรรยาที่ยังไม่แต่งงานกัน กลับเหมือนเพื่อนกันเสียมากกว่า ทั้งคู่ต่างเข้าใจความคิดของกันและกัน และรู้ดีถึงขีดจำกัดของกันและกัน ถึงแม้ยามนี้ความผูกพันยังไม่ลึกซึ้งนัก ทว่าเมื่อมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันแล้วกลับเป็นธรรมชาติเสียยิ่งกว่าคู่สามีภรรยาที่วิวาห์กันแล้วเสียอีก ถึงแม้พวกเขาอาจมีเพียงความสัมพันธ์ฉันสหายไปตลอดชีวิต และถึงแม้พวกเขาอาจเป็นคนในครอบครัวของกันและกันในสักวันหนึ่ง แต่จะมีผู้ใดบอกเรื่องในภายภาคหน้าได้ นั่นเป็นเรื่องที่น่าติดตามมิใช่หรือ
“สภาพข้ายามนี้ ไม่เหมาะที่จะไปทำความเคารพท่านสวีและใต้เท้าสวีสักเท่าไร หวังว่าผู้อาวุโสทั้งสองจะไม่ถือสา” ม่อซิวเหยาวางถ้วยชาในมือลง มองเยี่ยหลีด้วยสายตารู้สึกผิด
“ท่านลุงใหญ่รู้ถึงสถานการณ์ของตำหนักติ้งอ๋องในยามนี้ดี อีกอย่างพวกท่านก็ไม่ได้เป็นคนยึดถือธรรมเนียมประเพณีเหล่านั้น เพียงแต่…ดูคล้ายคราวที่แล้วพี่ใหญ่พูดว่าได้ไปเยือนตำหนักติ้งอ๋องมามิใช่หรือเพคะ” เยี่ยหลีมองเขาด้วยความสงสัย ในใจนึกอยากรู้อย่างยิ่งว่าคุณชายที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายบัณฑิตอย่างสวีชิงเฉินจะจับผิดและแสดงความไม่พอใจน้องเขยในอนาคตอย่างไรบ้าง
ม่อซิวเหยาได้แต่ยิ้มแห้งๆ อย่างไม่ใคร่ใส่ใจ “ไม่ได้พบเขาเสียหลายปี คุณชายสวียังคงงามสง่าน่านับถือเช่นเคย”
“คารวะท่านอ๋อง คารวะชายาหลีอ๋อง” ณ ปากทางเดินที่ไม่ใกล้ไม่ไกล ชิงหลวนและชิงซวงยืนขวางทางทั้งสองคนอยู่
ม่อจิ่งหลีหัวเราะเสียงเย็น “ทำไม ทางเส้นนี้ข้าเดินไม่ได้หรือ”
ชิงหลวนและชิงซวงเหลือบมองหน้ากัน ทางเดินเส้นนี้ไปได้เพียงสระบัวเท่านั้น ข้างหน้าไม่มีทางเดินไปสู่ส่วนอื่น เห็นชัดว่าหลีอ๋องเห็นว่าคุณหนูของพวกตนกับติ้งอ๋องนั่งคุยกันอยู่ที่นี่ แต่ก็ยังจะไปทางนี้ มิใช่คิดจะไปหาเรื่องหรือ ชิงซวงกำลังจะเปิดปากพูด ก็ได้ยินเสียงม่อซิวเหยาแว่วมาเสียก่อน “เชิญหลีอ๋องและชายาหลีอ๋องเข้ามาเถิด” ทั้งสองคนจึงได้ก้มศีรษะลงพร้อมเอ่ยด้วยความเคารพ “เชิญท่านอ๋องและพระชายาเพคะ”
ม่อจิ่งหลีส่งเสียงเหอะ ก่อนเร่งฝีเท้าเดินไปยังโต๊ะม้าหินข้างสระบัว ขณะที่เยี่ยอิ๋งกัดมุมปากพลางเดินตามเขาด้วยความน้อยใจ
ม่อจิ่งหลียืนอยู่ข้างโต๊ะ สายตามองต่ำลงมายังเยี่ยหลี
เยี่ยหลีขมวดคิ้ว รู้สึกไม่พอใจสายตาโจมตีที่ส่งมานั้น
“หลีอ๋อง นั่งสิ” ม่อซิวเหยาเอ่ยเชิญเรียบๆ พร้อมยื่นมือไปให้เยี่ยหลี เยี่ยหลีให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ยื่นมือไปให้เขาจับก่อนเขยิบไปนั่งข้างม่อซิวเหยา ยกเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามให้ม่อจิ่งหลีและเยี่ยอิ๋ง
ม่อจิ่งหลีนั่งลงเรียบร้อยแล้ว เยี่ยอิ๋งถึงได้เดินมาถึงที่ทั้งสามคนอยู่พร้อมอาการหอบน้อยๆ ดูว่าฝีเท้ารีบร้อนของม่อจิ่งหลีมิใช่ความเร็วที่สตรีตัวเล็กๆ แบบบางอย่างเยี่ยอิ๋งจะเดินตามทันได้
“พี่สาม ติ้งอ๋อง” เยี่ยอิ๋งเอ่ยทักขึ้นเบาๆ
เยี่ยหลีพยักหน้าพลางยิ้มน้อยๆ “น้องสี่ นั่งก่อนสิ หลายวันมานี้เป็นอย่างไรบ้าง”
เยี่ยอิ๋งหลุบตาลงเล็กน้อย ก่อนตอบเสียงเบาว่า “ลำบากพี่สามเป็นห่วงแล้ว น้องสบายดีทุกอย่างเจ้าค่ะ”
เยี่ยหลีพยักหน้า เมื่อได้ยินเยี่ยอิ๋งพูดเช่นนี้นางจึงไม่ถามต่ออีก ถึงแม้ท่าทางของเยี่ยอิ๋งจะดูไม่สบายดีอย่างที่นางว่าสักเท่าใด แต่เยี่ยหลีเองก็ไม่ได้นึกเป็นห่วงเยี่ยอิ๋งด้วยใจจริง แต่หากเยี่ยอิ๋งเกิดร่ำไห้คร่ำครวญกับนางขึ้นมาจริงๆ นางก็คงไม่รู้จะทำเช่นใดอยู่ดี
ม่อจิ่งหลีส่งเสียงเหอะออกมาอีกครั้ง “แน่นอนว่าอิ๋งเอ๋อร์ย่อมสบายดีทุกอย่าง แต่ที่ไม่รู้คือช่วงนี้หลีเอ๋อร์สบายดีหรือไม่” เยี่ยหลีเลิกคิ้ว หันไปมองม่อซิวเหยาคราหนึ่งก่อนยิ้มแล้วกล่าวว่า “ขอบคุณท่านอ๋องที่เป็นห่วง หลายวันมานี้อาจยุ่งจัดการเรื่องต่างๆ บ้าง แต่ทุกอย่างเรียบร้อยดีเพคะ”
ม่อจิ่งหลีหน้าตึงไปทันที มองจ้องเยี่ยหลีนิ่งอยู่เป็นนาน ก่อนหันไปพูดกับม่อซิวเหยาว่า “ตัวข้ามีเรื่องอยากคุยกับคุณหนูสามตระกูลเยี่ยเป็นการส่วนตัวสักหน่อย”
เยี่ยหลีอดรู้สึกขบขันในใจไม่ได้ อันที่จริงนับแต่เมื่อครั้งพบม่อซิวเหยาเป็นครั้งแรกนางก็ได้รู้ว่า ม่อจิ่งหลีชอบแสดงอำนาจต่อหน้าม่อซิวเหยาเป็นที่สุด เช่นว่า หากอยู่ต่อหน้าม่อซิวเหยา ม่อจิ่งหลีจะชอบเชิดคางขึ้นมองผู้อื่นด้วยสายตาดูถูกมากกว่าธรรมดา อันที่จริงเยี่ยหลีอยากบอกกับเขาว่า ตัวม่อซิวเหยานั้นนั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็น โดยมากมักเห็นเพียงรูจมูกของเขาอยู่แล้ว ดังนั้นน้อยครั้งนักที่ม่อซิวเหยาจะเงยหน้าขึ้นมองเขา
ยังมีอีกอย่าง ทุกครั้งที่เขาพูดจากับม่อซิวเหยา มักแทนตัวเองว่าตัวข้า ประหนึ่งทำให้ตนดูสูงกว่าเขาขั้นหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น แต่อันที่จริง ทุกคนต่างรู้กันดีกว่า ถึงแม้ม่อจิ่งหลีจะเป็นโอรสของฮ่องเต้องค์ก่อน และเป็นอนุชาร่วมอุทรของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน หากเขาไม่คิดกำจัดพี่ชายตนเองแล้วตั้งตนขึ้นเป็นฮ่องเต้แล้ว ถึงอย่างไรยศศักดิ์ของเขาก็จะต่ำกว่ายศอ๋องขั้นหนึ่งของติ้งอ๋องอยู่ดี
“อิ๋งเอ๋อร์ขอตัวก่อน เชิญท่านอ๋องกับพี่สาวคุยกันตามสบายเพคะ” เยี่ยอิ๋งลุกยืนขึ้นทำตามที่ม่อจิ่งหลีต้องการเป็นคนแรก ถึงแม้สายตาของนางที่มองเยี่ยหลีจะเต็มไปด้วยแววต่อว่าจนแทบจะรีดออกมาเป็นพิษได้อยู่แล้วก็ตาม เยี่ยอิ๋งเห็นสายตาและท่าทางฝืนทนและไม่เต็มใจของเยี่ยอิ๋งที่เดินจากไปแล้ว ในใจก็ได้แต่ถอนใจเบาๆ
ช่วงเวลาสั้นๆ เพียงสองสามวัน เยี่ยอิ๋งจากเดิมที่เป็นคุณหนูลูกผู้ดีที่เต็มไปด้วยความทระนงตนได้กลายเป็นสะใภ้ที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองใจไปแล้วหรือ ดูท่าว่าม่อจิ่งหลีคงมิได้รักชอบเยี่ยอิ๋งอย่างที่คนว่ากันเสียแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดม่อจิ่งหลีถึงได้ยอมขัดราชโองการที่ฮ่องเต้องค์ก่อนทิ้งไว้เพื่อสมรสกับเยี่ยอิ๋งกันนะ จะด้วยเพราะความหุนหันพลันแล่นจริงหรือ