“คารวะองค์หญิงทั้งสอง”
ขณะที่เยี่ยหลีและม่อซิวเหยาเดินออกมาจากห้องด้านในพร้อมหลงจู๊ ก็ได้ยินเสียงเด็กที่รอต้อนรับอยู่หน้าร้านกล่าวแสดงความเคารพ หลงจู๊อึ้งไปเล็กน้อยก่อนรีบเอ่ยขอโทษทั้งสองแล้วเดินออกไปต้อนรับอย่างรวดเร็ว ผู้ที่เพิ่งเดินเข้าร้านมาก็เห็นทั้งสองเช่นกัน
องค์หญิงเจาหยางนิ่งอั้นไปก่อนอุทาน “ซิวเหยาหรือ” ก่อนเร่งฝีเท้าเดินมาหยุดอยู่ห่างจากม่อซิวเหยาเพียงไม่กี่ก้าว แล้วกล่าวเสียงเบา
“ซิวเหยา นี่เจ้าออกมาซื้อของเป็นเพื่อนคุณหนูเยี่ยหรือ”
สายตาม่อซิวเหยาไหววูบเล็กน้อย แล้วจึงพยักหน้า “ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ไม่ได้พบองค์หญิงเสียหลายปี”
สีหน้าองค์หญิงเจาหยางดูเจ็บปวด ก่อนพยักหน้า “ไม่ได้พบหน้ากันหลายปีแล้วจริงๆ ตอนนี้เจ้า…สบายดีก็ดีแล้ว เมื่อพวกเจ้าแต่งงานกันแล้ว หากคุณหนูเยี่ยพอมีเวลาแวะมาที่ตำหนักองค์หญิงบ้างข้าก็จะยินดี ถือเสียว่ามาคุยเป็นเพื่อนหญิงแก่อย่างข้า”
เยี่ยหลียิ้มพร้อมพยักหน้าเล็กน้อย “ได้รับความเอ็นดูจากองค์หญิงเช่นนี้ หม่อมฉันจะต้องขอไปรบกวนเป็นแน่เพคะ”
องค์หญิงเจาหยางถอนหายใจเบาๆ ยิ้มแล้วจับมือเยี่ยหลี
“ถึงแม้ข้าจะเพิ่งเคยพบหน้าคุณหนูเยี่ยเป็นครั้งที่สอง แต่สมัยข้ายังสาวก็เคยไปมาหาสู่กับท่านแม่เจ้าอยู่บ้าง คุณหนูเยี่ยลองดูเถิดว่ามีของชิ้นใดถูกใจหรือไม่ ถือเสียว่าข้าให้เป็นของขวัญที่ได้พบหน้ากันครั้งแรก”
เยี่ยหลีไม่รู้จะทำเช่นไรดี ในขณะที่นางตั้งใจจะออกปากปฏิเสธนั้นเอง ม่อซิวเหยาก็ชิงเอ่ยขึ้นก่อน
“เสด็จป้าเจาหยาง…ท่านโปรดอย่าทำให้อาหลีตกใจเลย พวกเรายังมีธุระอย่างอื่นอีก จึงต้องขอตัว ท่านมากับองค์หญิงเจาเหรินเช่นนี้ อย่าทำให้องค์หญิงเสียอารมณ์เลย”
สตรีงดงามในชุดหรูหราผู้ถูกเพิกเฉยมาตลอดนั้นคือองค์หญิงเจาเหรินที่หลายวันก่อนได้พบในงานมงคงสมรสของม่อจิ่งหลี นางเพียงส่งเสียงเหอะออกมาเรียบๆ
องค์หญิงเจาหยางขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วได้แต่ถอนใจ “เอาเถิด หากอีกหน่อยคุณหนูเยี่ยมีธุระอันใดก็ให้คนไปบอกข้าที่ตำหนักได้”
เยี่ยหลีเอ่ยขอบคุณเบาๆ ก่อนเดินออกจากร้านเฟิงหวาไปพร้อมกับม่อซิวเหยา
เมื่ออยู่บนรถม้าแล้ว เยี่ยหลีรับรู้ได้ว่าม่อซิวเหยาอารมณ์ไม่ปกตินัก นางจึงไม่ได้กล่าวอันใด เพียงหยิบหนังสือเล่มหนึ่งที่อยู่บนรถม้าขึ้นมาอ่าน เมื่อนึกย้อนถึงสีหน้าและคำพูดขององค์หญิงเจาหยางที่ได้พบในร้านเมื่อครู่แล้ว ก็ได้แต่รู้สึกแปลกใจ นางรู้สึกว่าท่าทีขององค์หญิงกับหานหมิงเย่ว์นั้นคล้ายคลึงกัน ดูเหมือนพวกเขาอยากใกล้ชิดม่อซิวเหยา แต่ด้วยเพราะสาเหตุใดไม่ทราบทำให้ต้องรักษาระยะห่างไว้ สีหน้าประหนึ่งรู้สึกผิดและต้องการจะชดเชยให้เขา แต่การชดเชยนี้ม่อซิวเหยากลับดูไม่ยินดีที่จะรับไว้ ดังนั้นพวกเขาจึงคิดจะมาชดเชยให้แก่นางแทน ทั้งตั๋วเงินที่หานหมิงเย่ว์มอบให้ รวมถึงท่าทีขององค์หญิงเจาหยาง ทั้งสองคนนี้ทำผิดอันใดต่อม่อซิวเหยากันนะ
“ขอโทษด้วย อาหลี” ม่อซิวเหยาเอ่ยขึ้นเบาๆ สายตารู้สึกผิด
เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย ม่อซิวเหยายิ้ม “ทีแรกตั้งใจจะพาเจ้าออกมาเดินเล่นให้สบายใจ…” เยี่ยหลีเข้าใจในทันที ชายผู้นี้ขอโทษนางที่เมื่อสักครู่เขาอารมณ์ไม่ดีเช่นนั้นหรือ แต่การพบคนที่ไม่ชอบแล้วทำให้อารมณ์ไม่ดีนั้นเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้มิใช่หรือ หรือนางดูเป็นเด็กสาวงี่เง่าจนเขาคิดว่าต้องให้ของขวัญเป็นการขอโทษเช่นนั้นหรือ
“ไม่เป็นไร วันนี้ท่านอารมณ์ไม่ดี พวกเรากลับกันก่อนก็แล้วกัน ไว้วันอื่นเมื่ออารมณ์ดีแล้วค่อยออกมาใหม่” ความจริงแล้วนางก็ไม่มีอารมณ์เดินเล่นเป็นเพื่อนชายที่อยู่ในอารมณ์ห่อเ**่ยวเช่นกัน นางปลอบใจใครไม่เป็น หากมีเวลาว่างทำเรื่องเช่นนั้น สู้เอาเวลาไปทำอย่างอื่นเสียยังดีกว่า จากเรื่องเมื่อวานทำให้นางรู้ว่ายังมีเรื่องอื่นที่ต้องจัดการอีกมากนัก
ม่อซิวเหยาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้า “เช่นนั้นข้าไปส่งเจ้านะ”
เยี่ยหลีพยักหน้า ก่อนหันไปสั่งอาจิ่นที่บังคับรถม้าอยู่ด้านนอก แล้วรถม้าก็มุ่งหน้ากลับจวนเจ้ากรมทันที เมื่อม่อซิวเหยาเห็นท่าทีสบายๆ และสงบนิ่งของเยี่ยหลีแล้ว สีหน้าเขาก็พลันอบอุ่นขึ้นมาก จึงอดยิ้มขึ้นไม่ได้ “อาหลีดูจะไม่เป็นกังวลเลย”
เยี่ยหลียักไหล่ “เดิมทีก็ไม่มีเรื่องอันใดให้กังวลอยู่แล้วนี่ แต่ข้าเดาว่าฮูหยินผู้เฒ่าคงเป็นกังวลแย่แล้ว” หากตนถูกตำหนักติ้งอ๋องถอนหมั้นอีกครั้ง ฮูหยินผู้เฒ่าคงได้ส่งนางไปถือศีลบำเพ็ญภาวนาที่สำนักชีแน่แล้ว เพราะไม่เพียงทำให้ชื่อเสียงของตระกูลเยี่ยย่อยยับ แต่ยังทำให้สูญของหมั้นจำนวนมหาศาลจากตำหนักติ้งอ๋องที่อยู่ในมือไปด้วย คงทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าและหวังซื่อปวดใจไปได้สักพักใหญ่ทีเดียว
“ไม่มีอันใดหรอก อย่างมากอีกไม่เกินวันสองวันเรื่องนี้ก็คงเงียบไปเอง”
เยี่ยหลีพยักหน้า แล้วไม่ได้เอ่ยอันใดอีก เมื่อคืนหากเกิดเรื่องอันใดกับนางขึ้นจริงจะเป็นเชนไร คำถามนี้เยี่ยหลีไม่ได้เอ่ยออกไป ม่อซิวเหยาเองก็ไม่ได้เอ่ยถึง ประหนึ่งล่วงรู้กันอยู่ในใจ ต่อให้เกิดเรื่องขึ้นจริง ม่อซิวเหยาก็คงปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ และยังคงจะแต่งงานกับนางเช่นเดิม อาจฆ่าหานหมิงเย่ว์เสีย หรืออาจเป็นเยี่ยหลีที่ฆ่าหานหมิงเย่ว์ แต่คงไม่แต่งงานกับเขาแล้ว ผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้คือใคร ม่อซิวเหยาไม่คิดที่จะบอกนาง และนางก็ไม่คิดที่จะถาม พวกเขาเตรียมที่จะอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิตก็จริง แต่ต่างฝ่ายต่างไม่คิดที่จะถือเอาอีกฝ่ายเป็นคนที่สำคัญที่สุดหรือรักที่สุดในชีวิต เช่นเดียวกับที่เยี่ยหลีไม่มีทางเห็นม่อซิวเหยาสำคัญไปกว่าคนในครอบครัว และในใจของม่อซิวเหยาก็คงมีคนที่สำคัญกว่านางเช่นเดียวกัน
เมื่อมาถึงหน้าประตูจวนเยี่ย ม่อซิวเหยารอจนเห็นเยี่ยหลีเดินเข้าจวนไปแล้ว จึงได้ลดผ้าม่านลงพร้อมบอกอาจิ่นว่า “กลับจวน”
อาจิ่นมองประตูที่กำลังค่อยๆ ปิด เขาลังเลเล็กน้อยก่อนพูดขึ้นเสียงเบาว่า “ท่านอ๋อง เหตุใดท่านจึงไม่บอกคุณหนูเยี่ย…”
“อาจิ่น กลับจวน”
“…พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง”
เยี่ยหลีเข้าประตูใหญ่ไปได้ไม่ทันไร ชิงสยากับชิงซวงที่ยืนรออยู่นานแล้วก็รีบเข้ามาต้อนรับ พร้อมรายงานว่านายท่านมารอพบคุณหนูอยู่ด้านใน เยี่ยหลีนึกสงสัย “เจ้าหมายถึงท่านลุงใหญ่หรือท่านลุงรอง” เมื่อเช้านางเพิ่งกลับมาจากบ้านตระกูลสวี หรือว่าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้นอีก
ชิงซวงตอบว่า “นายท่านทั้งสองเลยเจ้าค่ะ ตอนนี้กำลังคุยกับนายหญิงผู้เฒ่าอยู่ที่หรงเล่อถังเจ้าค่ะ”
เยี่ยหลีจึงสำรวจการแต่งตัวและเครื่องประดับที่ใส่อยู่อย่างจนใจ “ช่างเถิด เข้าไปเช่นนี้เลยก็แล้วกัน”
เมื่อเข้าไปในหรงเล่อถัง ก็เห็นท่านลุงทั้งสองกำลังนั่งดื่มชา โดยมีฮูหยินผู้เฒ่า เจ้ากรมเยี่ย และหวังซื่อนั่งอยู่ด้วยสีหน้าประหลาด เมื่อเห็นเยี่ยหลีเดินเข้ามา เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าถึงกับถอนใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนยิ้มให้เยี่ยหลี
“หลีเอ๋อร์ เจ้าออกไปไหนมา ท่านลุงทั้งสองตั้งใจมาเยี่ยมเจ้า ยังไม่รีบมาคารวะอีก”
เยี่ยหลีจึงก้าวเข้าไปทำความเคารพตามคำสั่งท่านย่า
สวีหงอวี่กลับโบกมือ “เอาเถิด วันนี้หลีเอ๋อร์เพิ่งกลับมาจากบ้านสวี จะเรียกว่าตั้งใจมาเยี่ยมได้อย่างไร” สวีหงเยี่ยนพยักหน้าขรึมๆ “ถูกแล้ว เมื่อวานนี้ข้ากับพี่ใหญ่มีเรื่องจะสั่งหลีเอ๋อร์ จึงได้มารับตัวนางไป ไม่คิดว่าจะทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ได้ เป็นเพราะตระกูลสวีของเราคิดไม่รอบคอบเอง”
เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่ากับเจ้ากรมเยี่ยลอบสบตากันด้วยความกระอักกระอ่วนใจ แม้สวีหงเยี่ยนจะพูดว่าเป็นความผิดของตระกูลสวี แต่เหตุใดพวกเขาจึงฟังไม่ออกว่าในคำพูดนั้นแฝงการตำหนิตระกูลเยี่ยอยู่ในที ตั้งแต่มีข่าวลือแพร่ออกไป ตระกูลเยี่ยไม่คิดทำการใด แม้แต่จะส่งคนไปสอบถามที่บ้านตระกูลสวีสักคนก็ไม่มี จะไม่ทำให้ตระกูลสวีผิดหวังได้อย่างไร เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่ามองเด็กสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างสง่าผ่าเผยแล้วก็ได้แต่นึกสับสนในใจ นางไม่มั่นใจเลยว่าเมื่อวานเยี่ยหลีไปที่บ้านสวีจริงๆ หรือถูกโจรจับตัวไปอย่างที่ข่าวลือ หากเกิดเรื่องขึ้นดังนั้นจริง ถ้าเช่นนั้น…
สวีหงเยี่ยนมองเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่ากับเจ้ากรมเยี่ยก่อนส่งเสียงเหอะเบาๆ ด้วยความขุ่นใจ สวีหงอวี่ที่นั่งอยู่ข้างๆ เหลือบมองเขาเล็กน้อย ก่อนหันไปยิ้มให้เยี่ยหลี
“หลีเอ๋อร์ออกไปกับคุณหนูฮว่าและคุณหนูฉินหรือ ตอนที่ลุงมาที่นี่ได้ยินว่าคุณหนูตระกูลฉินกับตระกูลฮว่าถูกบุตรสาวท่านแม่ทัพมู่หรงพาไปหาเรื่องคุณชายรองตระกูลเหลิ่งนี่ หรือว่าหลีเอ๋อร์ก็ไปมีเรื่องกับเขามาเหมือนกัน”
เยี่ยหลีไม่คิดว่ามู่หรงถิงจะไปก่อเรื่องเช่นนี้ นางรีบส่ายหน้า “หลีเอ๋อร์ไปร้านเฟิงหวากับติ้งอ๋องมาเจ้าค่ะ ยังได้พบองค์หญิงเจาหยางและองค์หญิงเจาเหรินด้วย เสร็จธุระแล้วก็กลับมานี่เลยเจ้าค่ะ เป็นความผิดของหลีเอ๋อร์เองเจ้าค่ะที่ทำให้ท่านลุงต้องรอ”
“อ้อ ไปร้านเฟิงหวากับติ้งอ๋องหรอกหรือ ไม่เป็นไรๆ หญิงชายจะไปไหนมาไหนด้วยกันก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอันใด”
สวีหงอวี่ดูจะพอใจกับคำตอบของเยี่ยหลีเป็นอย่างมาก สวีหงเยี่ยนเองก็พยักหน้า ก่อนเอ่ยปากบ่นว่า “ท่านป้าเจ้ามักบอกให้ชิงเจ๋อออกไปไหนมาไหนกับคุณหนูตระกูลฉินบ้าง แต่เจ้าเด็กนั่นกลับนิสัยแข็งทื่อเป็นท่อนไม้ ทำอย่างกับพูดมากอีกสักครึ่งคำจะเป็นไรไป!”
เยี่ยหลีนึกถึงสีหน้าเย็นชาเรียบเฉยของสวีชิงเจ๋อก็อดยิ้มน้อยๆ ออกมาไม่ได้ เจิงเอ๋อร์เป็นคนอ่อนหวานน่าคบหาที่สุดในบรรดาพวกนางทุกคน แต่กลับมีคู่หมั้นที่มีนิสัยเฉยชา เงียบขรึมไม่พูดไม่จา เข้าเมืองมาตั้งนานแต่ดูเหมือนนอกจากครั้งที่ท่านป้าสะใภ้รองใช้ให้นำของขวัญไปส่งให้ที่บ้านฉินแล้ว ทั้งสองยังไม่ได้พบหน้ากันจริงจังเลย
สวีหงอวี่ไม่สนใจสีหน้าที่ค่อยๆ เปลี่ยนไปของเจ้ากรมเยี่ยและเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่า เขาหันไปพูดกับเจ้ากรมเยี่ยว่า “ข้ามีเรื่องอยากสั่งสอนหลีเอ๋อร์เป็นการส่วนตัวเสียหน่อย ไม่ทราบ….”
เจ้ากรมเยี่ยนึกกลัวท่านลุงใหญ่ผู้นี้มาโดยตลอด เขาเอ่ยปากเช่นนี้แล้วไหนเลยจะกล้าบอกปัด รีบตอบรับว่า “เช่นนั้นหลีเอ๋อร์ก็พาพี่ใหญ่และพี่รองไปนั่งคุยกันที่เรือนของเจ้าเถิด อีกเดี๋ยวข้าจะเตรียมเหล้าไปให้ท่านพี่ทั้งสองได้ลิ้มรส”
สวีหงเยี่ยนยืนขึ้นก่อนเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “เย็นนี้ข้ามีนัดเล่นหมากล้อมกับผู้เฒ่าซู ไม่ต้องยกพวกสุราอะไรมาหรอก”
เมื่อเห็นสีหน้าเรียบเฉยของสวีหงอวี่ เจ้ากรมเยี่ยจึงได้แต่นิ่งเฉยไปด้วยความจำยอม แล้วให้เยี่ยหลีเชิญท่านลุงทั้งสองออกไปคุยกันเป็นการส่วนตัว เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าเห็นลูกชายตนไม่เป็นผู้ใหญ่เช่นนี้ จึงถลึงตาใส่เขาด้วยความไม่พอใจ น่าเสียดายที่หัวหน้าตระกูลสวีคนปัจจุบันน่ายำเกรงเกินไป นางจึงได้แต่นิ่งเสีย