ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 58-2

ตอนที่ 58-2

ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 58-2 องค์หญิงหลิงอวิ๋นแผลงฤทธิ์
เมื่อเยี่ยหลีกับม่อซิวเหยาเดินออกมาจากด้านในนั้น ภายในตำหนักที่ก่อนหน้านี้มีเสียงพูดคุยกันจ้อกแจ้กก็เงียบเสียงลงทันที ดูท่าเรื่องที่เกิดขึ้นในอุทยานคงทำให้ผู้คนตกใจไม่น้อย ไม่เพียงฮองเฮา แม้แต่ฮ่องเต้ก็มาอยู่ที่นี่ด้วย ทูตจากทุกแคว้นต่างมากันพร้อมเพรียง ยกเว้นทูตจากเป่ยหรง เมื่อเห็นทั้งสองออกมา ม่อจิ่งฉีมองมาที่เยี่ยหลีก่อนครู่หนึ่งจึงถามขึ้นว่า “ติ้งอ๋อง ชายาติ้งอ๋องเป็นอย่างไรบ้าง”

ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ ว่า “เป็นพระกรุณาที่ฝ่าบาททรงเป็นห่วง อาหลีไม่ได้เป็นอะไรมากพ่ะย่ะค่ะ”

ฮองเฮาพยักหน้าด้วยความยินดี “ชายาติ้งอ๋องไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว เชิญชายาติ้งอ๋องนั่งลงเถิด”

ทั้งสองเอ่ยขอบคุณฮองเฮา แล้วเยี่ยหลีก็นั่งลงตาม เจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อแห่งแคว้นซีหลิง เหลยเถิงเฟิงยืนขึ้นเอ่ยเสียงใสว่า “พระชายาติ้งอ๋อง เมื่อสักครู่หลิงอวิ๋นเองก็ตกใจไม่น้อย จึงไม่ทันระวังพลั้งมือทำให้พระชายาต้องพลอยตกใจไปด้วย ขอให้พระชายาโปรดอภัย” ยังไม่ทันพูดจบดี องค์หญิงหลิงอวิ๋นที่อยู่ข้างๆ ก็รีบยืนขึ้นพร้อมเอ่ยด้วยความเจ็บใจ “ท่านพี่ ข้าบอกแล้วไงว่านางเป็นคนผลักข้าลงไป!”

องค์หญิงเจาหยางขมวดคิ้วพูดกับองค์หญิงหลิงอวิ๋นว่า “องค์หญิง ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างเห็นกันหมดว่าชายาติ้งอ๋องคิดอยากช่วยท่าน แต่ท่านกลับผลักชายาติ้งอ๋องที่กำลังหมดแรงกลับลงน้ำ จนทำให้นางสลบไป”

องค์หญิงหลิงอวิ๋นโกรธจนหน้าแดง “ข้ามีพยาน”

องค์หญิงเจาหยางขมวดคิ้วเอ่ยเสียงเรียบ “ข้ารู้ เมื่อสักครู่องค์หญิงก็ได้บอกแล้วว่าสาวใช้ของท่านเห็นกับตาว่าชายาติ้งอ๋องเป็นคนผลักท่านตกน้ำ แต่ว่า…หากดูจากท่าทีที่ท่านมีต่อชายาติ้งอ๋องเมื่อตอนอยู่ในตำหนักเฟิ่งเต๋อกับสถานการณ์ในน้ำแล้ว คำพูดของสาวใช้ท่านเกรงว่าคงยากที่จะเชื่อถือได้”

“ท่านว่าข้าโกหก!” องค์หญิงหลิงอวิ๋นร้องเสียงแหลม องค์หญิงเจาหยางมองนางด้วยสีหน้าเรียบเฉย ถึงแม้ไม่ได้ตอบอะไรแต่สีหน้าขององค์หญิงก็เพียงพอที่จะบอกทั้งหมดแล้ว

“หลิงอวิ๋น เลิกโวยวายได้แล้ว!” เหลยเถิงเฟิงเอ่ยเสียงเข้มขึ้น

องค์หญิงหลิงอวิ๋นโกรธจนร้องไห้ออกมา พูดด้วยความแค้นใจว่า “ดี! พวกท่านไม่เชื่อข้า ข้าจะตายให้ดูเพื่อเป็นการพิสูจน์!” พูดจบก็ดึงปิ่นทองที่ศีรษะออกมาหมายจะนำมาแทงเข้าที่หัวใจของตน

“องค์หญิงอย่า…!”

“หลิงอวิ๋น…!”

เหลยเถิงเฟิงมือไวตาไวรีบคว้าแขนองค์หญิงหลิงอวิ๋นไว้แล้วแย่งปิ่นในมือนางมา มองน้องสาวลูกพี่ลูกน้องที่แสนเอาแต่ใจคนนี้ด้วยความปวดหัว ขณะเดียวกันก็เหลือบมองเยี่ยหลีที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยความสงสัย ถึงแม้น้องสาวคนนี้จะชอบแผลงฤทธิ์อยู่บ่อยๆ แต่ก็ไม่เคยมีครั้งใดที่ปฏิกิริยารุนแรงเช่นนี้มาก่อน หรือว่านางจะถูกใส่ร้ายจริงๆ

เหลยเถิงเฟิงจ้องตาเยี่ยหลีพร้อมเอ่ยถามขึ้น “พระชายาติ้งอ๋อง หากว่าข้าจะขอให้ท่านช่วยเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟังหน่อยจะได้หรือไม่”

เยี่ยหลีมองตอบสายตาเขาด้วยท่าที่สงบ แล้วเอ่ยตอบเสียงเบาว่า “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น องค์หญิงหลิงอวิ๋นคุยกับข้าอยู่ดีๆ ไม่รู้ว่าตกน้ำไปได้อย่างไร จากนั้นข้าก็ตกน้ำตามลงไป”

เหลยเถิงเฟิงขมวดคิ้วแน่นขึ้นไปอีก จ้องเยี่ยหลีด้วยสายตาจับผิด “ท่านก็ตกลงไปด้วยหรือ เช่นนี้ท่านรู้หรือไม่ว่าท่านตกลงไปได้อย่างไร”

เยี่ยหลีส่ายหน้า “อยู่ดีๆ องค์หญิงหลิ่งอวิ๋นตกลงน้ำไป ข้าตกใจยังไม่ทันตั้งตัวได้ก็ตกน้ำตามลงไปเสียแล้ว”

“ดูเหมือนพระชายาติ้งอ๋องจะว่ายน้ำเป็น” เหลยเถิงเฟิงกล่าว

เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “ก็ไม่ถือว่าเป็น เพียงแต่ตอนเด็กๆ ข้าเคยจมน้ำ จึงพอได้เรียนมาบ้าง เพียงแต่ไม่มีประสบการณ์นัก จึงได้…”

เยี่ยหลีพูดเหมือนไม่ได้พูดอะไร แต่สำหรับคนที่นั่งฟังอยู่นางได้พูดทุกอย่างออกมาหมดแล้ว ถึงขั้นผูกเหตุการณ์ต่างๆ ได้เป็นเรื่องเป็นราวเลยทีเดียว ทุกคนต่างเห็นกับตาว่าองค์หญิงหลิงอวิ๋นต้องการจะคุยกับพระชายาติ้งอ๋องให้ได้ ดูท่าว่าทั้งสองคงกำลังพูดเรื่องอะไรที่ไม่พอใจ ทำให้องค์หญิงหลิงอวิ๋นออกอาการจนพลัดตกน้ำไป แล้วจึงลากเอาชายาติ้งอ๋องลงไปด้วย หากเรื่องราวไม่เป็นเช่นนี้ แล้วพยายามคิดเสียว่าเป็นอุบัติเหตุ แต่ก็เห็นๆ อยู่ว่าพระชายาติ้งอ๋องช่วยชีวิตองค์หญิงหลิงอวิ๋นไว้ ไม่คิดเลยว่าองค์หญิงหลิงอวิ๋นจะเปลี่ยนบุญคุณเป็นความแค้น ผลักชายาติ้งอ๋องกลับตกน้ำไปจนทำให้นางสลบไสลไม่ได้สติ อีกทั้งยังอาศัยช่วงที่เจ้าตัวยังไม่ฟื้น บอกกับทุกคนว่าอีกฝ่ายผลักตนเองตกน้ำ ทันใดนั้น สายตาที่ทุกคนในตำหนักมององค์หญิงหลิงอวิ๋นและคณะทูตจากแคว้นซีหลิงก็เปลี่ยนไปทันที เดิมที่ชนชั้นสูงในต้าฉู่ก็มีความรู้สึกไม่ดีต่อแคว้นซีหลิงอยู่แล้ว มาตอนนี้ยิ่งไม่พอใจหนักเข้าไปใหญ่ คนแคว้นซีหลิงนี่เป็นคนประเภทไหนกันนะ

“อันที่จริง องค์หญิงหลิงอวิ๋นไม่ควรต้องพยายามทำร้ายตัวเองเช่นนี้ ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นวังหลวงแห่งต้าฉู่ หากองค์หญิงจากแคว้นซีหลิงเกิดเป็นอะไรไป จะไม่กระทบกับความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างแคว้นซีหลิงกบต้าฉู่ของเราหรือ ถึงแม้ข้าจะเป็นเพียงหญิงที่อ่อนแอ แต่จะไม่มีทางทำเรื่องที่ทำลายความสงบระหว่างสองแคว้นโดยเด็ดขาด” เยี่ยหลีมององค์หญิงหลิงอวิ๋น แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆ สบายๆ “แต่ข้ากลับมีข้อสงสัย ข้ากับองค์หญิงหลิงอวิ๋นเดินมาจากอุทยาน เราทั้งสองต่างให้สาวใช้รออยู่ที่ด้านนอก โดยหลักการแล้วตำแหน่งที่พวกนางอยู่นั้น…ไม่ว่าองค์หญิงจะตกลงไปเองหรือเป็นข้าที่ผลักท่านลงไป สาวใช้ของท่านหากไม่ได้ยืนอยู่ที่ริมทะเลสาบแล้ว ก็คงไม่อาจเห็นเหตุการณ์ได้ ไม่รู้ว่าพวกนางเห็นกับตาว่าข้าผลักองค์หญิงตกน้ำได้อย่างไร ฝ่าบาท ฮองเฮาเพคะ ให้สาวใช้ของข้ากับสาวใช้ขององค์หญิงหลิงอวิ๋นเข้ามาได้หรือไม่เพคะ”

ฮองเฮาหันไปมองม่อจิ่งฉี เมื่อเห็นเขาไม่ได้ว่าอะไร จึงพยักหน้า “ทำตามที่พระชายาว่า”

พวกชิงหลวนเข้ามาอย่างรวดเร็วพร้อมกับสาวใช้ที่องค์หญิงหลิงอวิ๋นพามาจากแคว้นซีหลิง องค์หญิงเจาหยางเป็นผู้เอ่ยปากถามว่า “ตอนนั้นพวกเจ้าได้ตามพระชายาและองค์หญิงไปหรือไม่”

ชิงอวี้เดินขึ้นหน้ามาตอบว่า “เรียนองค์หญิง ตอนนั้นองค์หญิงหลิงอวิ๋นบอกว่าต้องการที่จะพูดคุยกับพระชายาของพวกเราเป็นการส่วนตัว อีกทั้งยังได้ให้นางกำนัลของพระองค์ล่าถอยไปก่อนแล้ว ดังนั้นพระชายาจึงได้สั่งให้พวกบ่าวไม่ต้องตามเพคะ”

องค์หญิงเจาหยางเลิกคิ้วถามต่อว่า “เช่นนั้น พวกเจ้าเห็นหรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นที่ริมทะเลสาบ” ชิงอวี้ส่ายหน้า “ระหว่างทะเลสาบกับอุทยานมีภูเขาจำลองกั้นอยู่ พวกบ่าวอยู่ห่างไปค่อนข้างมาก ถูกภูเขาลูกนั้นบังไว้จึงไม่เห็นว่าตอนนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้างเพคะ”

สาวใช้ขององค์หญิงหลิงอวิ๋นก้าวขึ้นหน้าขึ้นมา “พวกบ่าวเห็นเพคะ พระชายาติ้งอ๋องผลักคุณหนูของพวกเราตกน้ำเพคะ” สาวใช้นางนั้นพูดโพล่งขึ้น

องค์หญิงเจาหยางเลิกคิ้ว หันมององค์หญิงหลิงอวิ๋นด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง “อ้อ…เช่นนั้นตอนนั้นพวกเจ้าอยู่กันที่ใดหรือ”

สาวใช้ผู้นั้นดูเหมือนจะรู้ตัวว่าตนพูดอะไรผิดไป จึงเหลือบมองไปทางที่คณะจากซีหลิงนั่งอยู่ด้วยท่าทีเลิ่กลั่ก ก่อนฝืนตอบออกมา “พวกเรา…พวกเราอยู่แถวต้นเถาริมทะเลสาบเพคะ”

องค์หญิงเจาหยางพยักหน้า “หากอยู่ตรงนั้น ก็เป็นไปได้ที่จะเห็น เพียงแต่ข้าอยากรู้ว่า พวกเจ้าที่ควรจะรออยู่ด้านหลัง เหตุใดจึงได้เดินอ้อมเกือบครึ่งอุทยานแล้วไปอยู่ข้างต้นเถาได้เล่า ข้าจำได้ว่าจากต้นเถาไปถึงทะเลสาบ ระหว่างภูเขาจำลองมีแม่น้ำสายเล็กขวางอยู่ อีกทั้งสะพานดูเหมือนจะอยู่ห่างไปไกลไม่น้อย”

“เรื่องนี้…” ต่อหน้าผู้คนมากมาย ทั้งยังมีฮ่องเต้และฮองเฮาแห่งต้าฉู่อยู่ด้วย ต่อให้สาวใช้คนนี้ใจกล้าเทียมฟ้าเพียงใดก็ไม่กล้าไม่ตอบคำถามขององค์หญิงเจาหยางได้ จึงต้องจำใจตอบว่า “คือ…องค์หญิงให้บ่าวไปอยู่ที่นั่น…ไปที่นั่น…เพคะ…”

องค์หญิงเจาหยางยิ้ม “ไปที่นั่นอะไรหรือ หากว่าอยู่ในช่วงเดือนสาม จะบอกว่าให้ไปเด็ดดอกเถาก็ยังพอฟังได้ แต่ตอนนี้ก็ใกล้จะเข้าเดือนหกแล้ว ปกติไม่มีใครเขาไปที่นั่นกันนะ”

“บ่าว…บ่าว…” สาวใช้ผู้นั้นกระวนกระวายจนแทบอยากจะขอให้องค์หญิงหลิงอวิ๋นช่วย แต่มาคราวนี้องค์หญิงหลิงอวิ๋นเองก็คิดเหตุผลที่พอฟังขึ้นไม่ออกเช่นกัน ได้แต่ฝืนพูดว่า “ไม่ต้องสนใจว่าสาวใช้ข้าไปอยู่ตรงนั้นทำไม อย่างน้อยพวกนางก็สามารถยืนยันได้ว่า เห็นข้าถูกนางผลักตกลงน้ำจริง”

องค์หญิงเจาหยางใช้ชีวิตอยู่ในวังมาตั้งแต่เล็กๆ จึงไม่ถูกลวงง่ายๆ ดวงตาหงส์จ้องสาวใช้ผู้นั้นนิ่ง “ในเมื่อเจ้าว่าชายาติ้งอ๋องผลักองค์หญิงหลิงอวิ๋น เช่นนั้นชายาติ้งอ๋องผลักอย่างไรหรือ ตอนนั้นองค์หญิงหลิงอวิ๋นหันหน้าเข้าหาชายาติ้งอ๋องหรือว่าหันหลังให้ หรือว่าหันข้างให้กันแน่ ชายาติ้งอ๋องใช้มือขวาหรือมือซ้ายผลัก ตอนที่องค์หญิงหลิงอวิ๋นถูกชายาติ้งอ๋องผลักได้ส่งเสียงร้องหรือไม่ หากร้อง ร้องว่าอะไรบ้าง”

สาวใช้ผู้นั้นทำสีหน้าอ้ำอึ้ง พักหนึ่งจึงได้ตอบว่า ”บ่าวจำได้ว่า…ตอนนั้นองค์หญิงหันหลังให้พระชายาติ้งอ๋อง พระชายาติ้งอ๋อง…พระชายาติ้งอ๋องใช้ทั้งมือซ้ายและขวาผลักองค์หญิงเพคะ หลังจากองค์หญิงถูกผลักตกไปแล้วยังได้ร้องเรียกให้คนช่วยเพคะ”

เหลยเถิงเฟิงที่นั่งอยู่หน้าตึงไปทันที ในใจนึกก่นด่าว่าเจ้าโง่

สีหน้าองค์หญิงเจาหยางเปลี่ยนไป เอ่ยเสียงเข้มว่า “บังอาจ! เจ้ากล้าพูดปดต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทและฮองเฮาเชียวหรือ! ตอนนั้นองครักษ์ที่รีบวิ่งไปที่ทะเลสาบบอกว่าพวกเขาไม่ได้ยินเสียงร้องให้ช่วยเลยแม้แต่น้อย ได้ยินเพียงเสียงร้องเรียกของเจ้าจึงรีบวิ่งไป เห็นว่าในน้ำมีคนโบกมือไปมาไม่หยุด ถึงได้รู้ว่ามีคนตกน้ำ เหตุใดเจ้าจึงได้ยินเสียงองค์หญิงหลิงอวิ๋นร้องเรียกให้ช่วยได้ หรือว่าเจ้ามีวิชาดี หูไวตาไวเสียยิ่งกว่าองครักษ์ในวังหรือ”

“บ่าว…บ่าว…” สาวใช้คนนั้นฝืนแต่งเรื่องมายืดยาวจนแต่งต่อไม่ได้อีก เมื่อถูกองค์หญิงตะคอกเช่นนี้ เนื้อตัวจึงอ่อนปวกเปียกลงไปคุกเข่าอยู่กับพื้น “องค์หญิงโปรดไว้ชีวิตด้วย องค์หญิงโปรดไว้ชีวิตด้วย บ่าวจะ…”

“หุบปาก!” เหลยเถิงเฟิงเอ่ยแทรกขึ้นทันที “เจ้าไม่ได้ยินหลิงอวิ๋นร้องเรียกเสียหน่อย องค์หญิงถามก็พูดไปตามความจริงเท่าที่เจ้ารู้ อย่าได้เอาเรื่องไม่จริงไปใส่สีสันเชียว” สาวใช้ผู้นั้นอึ้งไป รีบร้อนพยักหน้าว่า “เพคะ…เพคะ…บ่าวผิดไปแล้ว บ่าวไม่ได้ยินองค์หญิงร้อง…”

เหลยเถิงเฟิงหันกลับไป อมยิ้มพร้อมยกมือทำท่าคารวะเยี่ยหลี “พระชายโปรดอภัยด้วย สาวใช้คนนี้ติดตามหลิงอวิ๋นมาตั้งแต่เล็กๆ ไม่เคยเห็นสถานที่ที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ คงเพราะความตื่นเต้นทำให้มองอะไรผิดไปทำให้เข้าใจพระชายาผิด หลิงอวิ๋นไว้ใจสาวใช้คนนี้มาก แล้ววันนี้ยังต้องเจอเรื่องน่าตกใจถึงได้เข้าใจผิดไปตามนาง…ขอพระชายาโปรดเห็นใจด้วย”

เยี่ยหลีมองสีหน้าที่ให้ตายก็ไม่ยอมรับผิดของหลิงอวิ๋นแล้ว รอยยิ้มปรากฏแววเยาะหยัน “ซื่อจื่อกล่าวเกินไปแล้ว เดิมทีก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพียงแต่…นี่เป็นครั้งแรกที่ข้ามาร่วมงานในวังหลวงก็เกิดเรื่องขึ้นเสียแล้ว ทำให้ตำหนักติ้งอ๋องต้องขายหน้ายิ่งนัก ไม่แน่ว่า…ที่องค์หญิงหลิงอวิ๋นพูดมาอาจมีเหตุผลก็เป็นได้ องค์หญิงท่านว่าใช่หรือไม่”

องค์หญิงหลิงอวิ๋นส่งเสียงเหอะ ก่อนเมินหน้าไปไม่ยอมมองหน้าเยี่ยหลี

ชายาเคียงหทัย

ชายาเคียงหทัย

Status: Ongoing

หลังถูกน้องสาวร่วมบิดาแทงข้างหลัง ทำให้ เยี่ยหลี คุณหนูสามแห่งจวนตระกูลเยี่ยถูกถอนหมั้นจาก ม่อจิ่งหลี ท่านอ๋องรูปงามแห่งเมืองหลวง แต่นางก็ยังมองโลกในแง่ดี หวังว่าตนจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปอีกสักสองสามปี ทว่าเหตุไฉนสามวันให้หลัง ฝ่าบาทถึงได้พระราชทานสมรสให้นางอีกครั้งเล่า!

การแต่งงานครั้งนี้แม้ฉากหน้าจะดูเหมือนเป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก แต่คนที่นางต้องอภิเษกสมรสด้วยกลับเป็น ม่อซิวเหยา ท่านอ๋องพิการไร้ประโยชน์ อีกทั้งยังมีรูปโฉมอัปลักษณ์ เล่าลือกันว่าเขาเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วถึงสองครา ทว่าหญิงสาวทั้งสองคนที่เขาสมรสด้วยกลับต้องมีอันเป็นไปภายหลังจากการแต่งงานได้ไม่นาน

แต่ช้าก่อน…บุรุษที่แสนอ่อนโยนและเก่งกาจตรงหน้านางนี้น่ะหรือคือม่อซิวเหยา บุรุษที่กล่าวกันว่าเป็นคนน่ากลัว ไร้ค่า ไม่ได้เรื่องได้ความคนนั้น นี่คงมีอะไรที่เข้าใจผิดไปแล้วกระมัง

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท