ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 67-1 ล่องทะเลสาบในฤดูร้อน
ไทเฮาผู้เป็นมารดา กับลูกชายสองพี่น้องจะแก่งแย่งชิงดีกันอย่างดุเดือดอยู่จริงหรือไม่นั้น ไม่ใช่เรื่องที่เยี่ยหลีสามารถเข้าไปยุ่งด้วยได้ เพียงแต่หากมีคนจากจวนเยี่ยเชิญนางกลับไปด้วยเพราะมีเรื่องที่บ้านนั้น โดยปกตินางมักจะหาเหตุผลมาบอกปัดไปเสมอ ถึงแม้เจ้ากรมเยี่ยจะไม่ค่อยพอใจบุตรสาวที่ไม่ค่อยเชื่อฟังคนนี้นัก แต่ด้วยฐานะชายาติ้งอ๋องของเยี่ยหลี ต่อให้เขาไม่พอใจอย่างไร ก็ไม่อาจพูดหรือทำอันใดได้มากนัก อันที่จริงหากในสถานการณ์ปกติแล้ว หากไทเฮากับม่อจิ่งหลีคิดจะเปิดศึกชิงบัลลังค์ระหว่างสองพี่น้องขึ้นมาจริงๆ ไม่ว่าใครต่างก็ต้องพยายามมาลากม่อซิวเหยาให้เข้าไปเป็นพวกด้วย แต่ทว่าในสายตาคนอื่น ม่อซิวเหยาเป็นเพียงคนพิการไร้สมรรถภาพคนหนึ่ง อีกอย่างเกรงว่าม่อจิ่งฉีคงคิดอยากกำจัดตำหนักติ้งอ๋องให้พ้นทางเสียตั้งนานแล้ว ดังนั้นในตำหนักติ้งอ๋องจึงยังคงเงียบสงบเช่นดังก่อน ไม่ว่าฝ่ายใดต่างก็คงไม่คาดว่าว่าม่อซิวเหยาจะไปเข้าเป็นพวกของตน และแน่นอนว่าทั้งสองฝ่ายต่างเชื่อว่าม่อซิวเหยาจะไม่ไปเข้ากันอีกฝ่ายด้วยเช่นกัน่
“ท่านอ๋อง พระชายา ญาติผู้น้องขอเข้าพบพ่ะย่ะค่ะ” เยี่ยหลีวางงานเย็บปักในมือลง เงยหน้าขึ้นถามด้วยความแปลกใจ “ญาติผู้น้องหรือ หยาง…เชียนหรูหรือ นางมาที่เรือนหลักได้อย่างไร” ตำหนักติ้งอ๋องนั้นกว้างขวางมาก กว้างขวางมากจริงๆ อีกทั้งในตำหนักมีสถานที่อยู่หลายแห่งที่ไม่ใช่นึกว่าจะไปก็ไปได้ ดังนั้นต่อให้ในจวนมีคนที่ทำให้น่าอึดอัดใจอยู่สองคน แต่ปกติแล้วเยี่ยหลีก็ไม่รับรู้ถึงการมีตัวตนของหยางไท่เฟยรองและญาติผู้น้องเลย เพราะตั้งแต่ที่มั่วซิวเหยาย้ายมาอยู่ที่เรือนหลักแล้ว การอารักขาเรือนแห่งนี้ก็ถูกยกระดับขึ้น อย่าว่าแต่เข้าประตูตำหนักหลักเลย หากไม่ได้รับการอนุญาตแม้แต่อาณาบริเวณโดยรอบนางก็เฉียดเข้ามาไม่ได้ หลังจากหาเรื่องใส่ตัวไปสองครั้ง และถูกหัวหน้าพ่อบ้านที่ถูกม่อซิวเหยาส่งไปอบรมอย่างเข้มงวดเสียหนึ่งยก หยางไท่เฟยรองก็ไม่เคยกลับมาท้าทายอำนาจชายาติ้งอ๋องหมาดๆ อีกเลย ม่อซิวเหยาดีกับตนมาก เยี่ยหลีย่อมรู้ได้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตนแต่งงานเข้ามาได้ไม่เท่าไหร่ ม่อซิวเหยาก็ให้อำนาจแก่นางอย่างใจกว้าง และต่อหน้าบ่าวทุกคนภายในจวนก็ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ตนเองมีท่าทีกับพระชายาคนนี้อย่างไร มิเช่นนั้นอย่าว่าแต่ตำหนักติ้งอ๋องเลย ต่อให้เป็นเพียงตระกูลธรรมดาๆ บ่าวทั้งหลายก็คงไม่เชื่อฟังสะใภ้ที่เพิ่งแต่งงานเข้ามาใหม่ได้ง่ายถึงเพียงนั้น ดังนั้น…มีคนถือหางนี่ช่างเป็นเรื่องสำคัญจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคนผู้นั้นเป็นผู้ที่มีอำนาจใหญ่ที่สุดของตำหนักอีกด้วย
“บ่าวไม่ทราบเพคะ เพียงแต่ญาติผู้น้องยืนอยู่นอกประตูเรือนอยู่นานพอดูแล้ว ดังนั้นองครักษ์ด้านนอกจึงขอให้คนเข้ามารายงานท่านอ๋องกับพระชายาเพคะ” จิ้งเอ๋อร์ที่เข้ามารายงานเอ่ยตอบ ด้วยเพราะท่านอ๋องได้สั่งไว้แล้วว่า ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้ามารบกวนพระชายาที่ในจวนโดยพลการ ดังนั้นปกติแล้วพวกเขาจึงเชิญคนเหล่านั้นกลับไปทุกครั้ง เพียงแต่ไม่รู้ด้วยเห็นใด ญาติผู้น้องที่ถูกเชิญกลับไปอย่างง่ายดายก่อนหน้านี้หลายครั้ง มาวันนี้กลับไม่ยอมกลับออกไปง่ายๆ องครักษ์ทั้งหลายต่างไม่สามารถลงมือกับญาติผู้น้องได้ เพราะถึงอย่างไรนางก็เป็นแขก จึงทำได้เพียงขอจิ้งเอ๋อร์ที่เดินผ่านมาพอทีช่วยเข้ามารายงานให้
“ท่านอ๋อง ท่านว่าอย่างไร” เยี่ยหลีหันไปถามม่อซิวเหยาที่นั่งเอนหลังอ่านหนังสืออยู่ข้างหน้าต่าง
ม่อซิวเหยาไม่แม้แต่จะสนใจนาง เขาพลิกหน้าหนังสือก่อนเอ่ยเรียบๆ ว่า “หากอาหลีอยากพบก็ให้นางเข้ามา หากไม่อยากก็ให้คนส่งนางกลับไป หรือว่า…ที่ตำหนักมีบ้างหลังเล็กอยู่ที่นอกเมือง จะให้นางไปอยู่ที่นู่นเป็นเพื่อนไท่เฟยรองสักสามสี่ปีก็ยังได้”
จุ๊ๆ…เยี่ยหลีถึงกับเดาะลิ้น ชายคนนี้นี่ไร้หัวใจพอดูเลยนะนี่ ถึงแม้นางจะพบหยางเชียนหรูในเวลาเพียงไม่นาน แต่จากการที่บังเอิญเจอกันสามสี่ครั้งโดยบังเอิญนั้น สายตาที่นางมองมายังเขานั้นกลับมีแววตัดพ้อต่อว่าอยู่ สายตาที่เจือแววรักใคร่นั่น เขายังพูดจาเย็นชาไร้เยื่อไยเช่นนั้นออกมาได้อีก แต่ว่า…นางชอบ
“เชิญนางเข้ามาเถิด” นางวางชุดที่เย็บใกล้จะเสร็จแล้วลง ก่อนเยี่ยหลีจะเอ่ยขึ้นด้วยความหนักใจว่า “ก่อนหน้านี้ไท่เฟยรองเคยพูดกับข้าเรื่องให้ช่วยหาคู่ครองที่ดีให้กับญาติผู้น้อง แต่ว่าข้า…” นางไม่เคยเป็นแม่สื่อแม่ชักมาก่อนเลยนี่นา ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ ว่า “ไม่ต้องลำบากไป เจ้าหาไม่เจอหรอก”
“หมายความว่าอย่างไร” อันใดคือการบอกว่านางจะหาไม่เจอกัน
ม่อซิวเหยาเอ่ยว่า “เรื่องนี้หัวหน้าพ่อบ้านม่อเคยพูดถึงแล้วเมื่อสามปีก่อน เพียงแต่คนที่คัดสรรมาให้นั้นไม่ถูกใจไท่เฟยรองและตัวนางเลย เจ้าไม่คุ้นเคยกับเมืองหลวง ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะหาตัวเลือกที่ดีกว่าที่หัวหน้าพ่อบ้านม่อคัดมาให้ได้หรอก” เยี่ยหลีอดปาดเหงื่อไม่ได้ ที่แท้ม่อซิวเหยาก็เคยเป็นพ่อสื่อมาก่อนนี่เอง แต่เขาส่งให้หัวหน้าพ่อบ้านม่อเป็นคนช่วยจัดการ ตัวนางนี่บื้อจริงเชียว ถึงได้ปวดหัวกับว่าจะต้องจัดงานเลี้ยงสักสองสามงานหรือไม่ “คนที่หัวหน้าพ่อบ้านม่อหามาแย่เกินไปหรือ” ม่อซิวเหยาเงยหน้าขึ้นมองนางก่อนกล่าวว่า “รายชื่อที่หัวหน้าพ่อบ้านม่อคัดมา ล้วนเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับฐานะของนางแล้ว อีกอย่างตอนนี้นางอายุสิบเจ็ดปีแล้ว คนที่อายุไล่เลี่ยกับนางแล้วยังไม่แต่งงาน ยิ่งมีน้อยเข้าไปอีก” ไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นเหมือนม่อซิวเหยา ม่อจิ่งหลีและสวีชิงเฉิน ที่อายุล่วงเลยเลขสองมาแล้วแต่ยังไม่แต่งงาน ต่อให้ยังไม่แต่งงาน แต่ปกติทั่วไปก็จะต้องมีการหมั้นหมายกันไว้แล้วทั้งสิ้น
“เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี” คงไม่อาจเสียเวลาไปทั้งชีวิตเช่นนี้กระมัง อีกอย่างไม่ใช่ว่าเยี่ยหลีไปคิดแทนพี่สาวอย่างนาง เพียวแต่นางนึกสงสัยจริงๆ ว่า หากเสียเวลาไปเรื่อยๆ เช่นนี้ สุดท้ายแล้วนางจะกลายเป็นภาระของม่อซิวเหยา
“หากนางอยากแต่งงานก็ให้หัวหน้าพ่อบ้านม่อส่งรายชื่อไปให้ แต่หากไม่อยากแต่งงานก็ไม่ต้องไปยุ่งยากแล้ว หากนางอายุสิบแปดแล้วยังไม่แต่งงานออกไป ก็ให้ส่งไปอยู่ที่สำนักชีอู๋เย่ว์เป็นเพื่อนพี่สะใภ้”
เยี่ยหลีอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ให้กับความรักอันมากล้มของแม่นางหยางคนนี้จริงๆ ม้าร้องเพียงหนึ่งครั้งญาติลูกพี่ลูกน้องนี้ก็ไปถึงสามพันลี้เสียแล้วหรือ แค่ดูท่าทีของม่อซิวเหยานางก็รู้แล้ว
ไม่นาน หยางเชียนหรูก็เดินอรชนอ้อนแอ้นเข้ามาตามสาวใช้ที่ออกไปรับ ข้างกายยังมีสาวใช้อีกสองคนตามมาด้วย ในมือของหนึ่งสาวใช้นั้นถือกล่องที่ดูไม่ออกว่าข้างในเป็นอันใดมาด้วย เมื่อเห็นหยางเชียนหรูมองไปทางด้านหลังนางด้วยสายตาตื่นเต้นแล้ว เยี่ยหลีหันมองชุดที่ยังทำไม่เสร็จดีของตน แล้วจู่ๆ ก็เกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยจะดีขึ้นมา
“น้องสาว เชิญนั่งก่อน” เยี่ยหลีอมยิ้มพร้อมพยักหน้าให้หยางเชียนหรู
หยางเชียนหรูเหลือบมองเบื้องหลังเยี่ยหลีเร็วๆ ทีหนึ่ง ก่อนรีบร้อนส่ายหน้าแล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “ขอบคุณพระชายา ไม่…ไม่เป็นไร ข้ายืนจะดีกว่า”
เยี่ยหลีไม่ได้ว่าอันใด อันใดที่เรียกว่าเจ้ายืนจะดีกว่ากัน เจ้าเป็นแขกมาอยู่ที่ตำหนัก มีศักดิ์เป็นญาติผู้น้อง จำเป็นต้องทำท่าทางเหมือนอนุเล็กๆ ที่ถูกรังแกหรือ นางกวาดตามองหยางเชียนหรู วันนี้นางอยู่ในชุดสีขาวนวลปักลายดอกหลันดูงามสง่า ทรงผมที่ได้รับการจัดแต่งมาอย่างดีมีปิ่นมุกระย้าเสียบประดับอยู่ ตั้งแต่เยี่ยหลีจัดการเก็บกวาดเสื้อสีอ่อนของม่อซิวเหยาไปแล้ว แม่นางคนนี้ก็ได้เวลาบอกลาชุดสีขาวอันพริ้วสยายของนานเสียที เพียงแต่ดูว่านางยังคงยึดแนวทางสูงส่งและงามสง่าอยู่ดี “น้องสาว เชิญนั่ง” เยี่ยหลีเสียงขรึมลงเล็กน้อย
หยางเชียนหรูนึกตกใจ สีหน้าดูมีความเกรงกลัวขึ้นมาทันที นางทำหน้าน่าสงสารพร้อมนั่งลงอย่างระมัดระวังภายใต้การจับตามองของเยี่ยหลี เมื่อเยี่ยหลีเห็นสีหน้าท่าทางน่าสงสารของนางแล้ว เยี่ยหลีได้แต่รู้สึกเหมือนมีเลือดขึ้นมาจุกที่อก ไม่ยอมขึ้นมาและไม่ยอมลงไป จะกระอักออกมาก็คลื่นไส้ จะกลืนลงไปก็ยิ่งน่าคลื่นไส้ นางไม่ได้รังแกอันใดนางสักหน่อย
“น้องสาวมาที่เรือนหลักในเวลานี้ด้วยเรื่องอันใดหรือ” เยี่ยหลีกดความรู้สึกไม่พอใจลง ก่อนพูดกับนางด้วยสีหน้าเป็นมิตร
หยางเชียนหรูเงยหน้าขึ้น บิดผ้าเช็ดหน้าในมือด้วยความตื่นเต้นพร้อมกับหน้าเรียวที่ซับสีเลือดขึ้น “ข้า…ข้า…”
เยี่ยหลียิ้มอย่างใช้ความอดทน หยางเชียนหรูเหลือบมองม่อซิวเหยา ในที่สุดดูเหมือนนางจะรวบรวมความกล้าจึงได้ “ข้า…พรุ่งนี้เป็นวันเกิดพี่ชาย ข้ามา…มอบของขวัญให้”
เยี่ยหลีเหลือบมองกล่องที่อยู่ในมือสาวใช้ข้างหลังนาง ก่อนหันไปปรายตามองม่อซิวเหยาที่ดูจะมีสมาธิกับการอ่านหนังสืออยู่ แล้วจึงยิ้มขึ้น “ที่แท้ก็เช่นนี้เอง ลำบากน้องสาวแล้ว ข้าขอดูได้หรือไม่”
“คือ…”
“ไม่สะดวกหรือ เช่นนั้นเชิญท่านอ๋องมาดูแล้วกัน” นางโบกมือส่งสัญญาณให้สาวใช้ผู้นั้นนำกล่องไปส่งให้ม่อซิวเหยา เมื่อได้ยินเยี่ยหลีกล่าวเช่นนั้น หยางเชียนหรูก็ตาเป็นประกายขึ้นทันที สายตาที่เต็มไปด้วยความเฝ้ารอถูกส่งไปยังคนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างหน้าต่าง พอสาวใช้คนนั้นเดินไปถึงหน้าม่อซิวเหยา ก็มีมือข้างหนึ่งยื่นมาจากนอกหน้าต่างมาคว้ากล่องนั้นไป อาจิ่นที่ไม่รู้มาปรากฏตัวที่นอกหน้าต่างตั้งแต่เมื่อใด นำกล่องมาเปิดออกดูด้วยสีหน้าจริงจังทันที พร้อมยื่นมือไปหยิบของข้างในออกมาพลิกดู จากมุมที่เยี่ยหลีนั่งอยู่ เห็นเป็นชุดสีม่วงอ่อนที่ดูหรูหรา ถึงแม้จะเห็นแค่เพียงมุมเดียว แต่งานเย็บปักบนชุดนั้นถือได้ว่าปราณีตและงดงามมากจริงๆ “ไม่มีพิษ”
“อาจิ่น หลบไป เจ้าบังแสงข้า” ม่อซิวเหยาเอ่ยขึ้นเรียบๆ
“อ้อ” อาจิ่นรับคำ ก่อนคว้ากล่องหายไปจากหน้าต่าง ตั้งแต่ต้นจนจบ ม่อซิวเหยาไม่ได้มองแม้แต่ปลายเสื้อ หยางเชียนหรูถึงกับอึ้งไป รีบเอ่ยถามว่า “เขาเอาไหนแล้วหรือ”
“เรื่องนี้…” เยี่ยหลีนึกไตร่ตรองว่าจะบอกนางดีหรือไม่ว่าของที่ม่อซิวเหยาไม่ต้องการจะถูกอาจิ่นเอาไปเล่น พอเล่นเสร็จก็เอาไปทิ้ง
ม่อซิวเหยาวางหนังสือในมือลงพร้อมเงยหน้าขึ้น หยางเชียนหรูมองเขาอย่างมีความหวังด้วยสายตารักใคร่ “ไม่มีอันใดแล้วก็กลับเรือนของเจ้าไปเสีย พรุ่งนี้ข้าจะให้หัวหน้าพ่อบ้านม่อนำรายชื่อบุรุษที่เหมาะสมส่งไปให้ เจ้าเลือกมาสักคนก็แล้วกัน” ใบหน้าอันอ่อนโยนของหยางเชียนหรูเปลี่ยนเป็นขาวซีดทันที พร้อมกับหยดน้ำตาที่ไหลออกมาไม่ได้หยุด “ไม่…พี่ชาย ข้าไม่ต้องการ…ข้าไม่ต้องการไปจากที่ตำหนักนี้ ไม่ต้องการแต่งงาน…ท่านอย่าไล่ข้าไป…” ม่อซิวเหยาขมวดคิ้ว แล้วพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “ย่อมได้ พรุ่งนี้เจ้าเก็บของแล้วไปอยู่เป็นเพื่อนพี่สะใภ้ที่สำนักชีอู๋เย่ว์ก็แล้วกัน จัดการตามนี้ ส่งคุณหนูหยางกลับไปได้” สาวใช้ข้างกายของหยางเชียนหรูล้วนเป็นสาวใช้ของตำหนัก ย่อมไม่กล้าขัดคำสั่งม่อซิวเหยา ถึงแม้จะรู้ว่าคุณหนูของตนไม่ยินยอม แต่ก็ยังก้าวเข้าไปดึงตัวนางออกมา
“พี่ชาย…ฮือฮือ…ท่านอย่าไล่เชียนหรูไป…ข้าจะเชื่อฟังท่านทุกอย่าง ไม่ทำให้พี่ชายโกรธ…” หยางเชียนหรูร้องไห้เสียงดังระงม พร้อมขัดขืนสาวใช้ทั้งสองที่พยายามดึงนางออกมา
“เอาตัวออกไป” ม่อซิวเหยาขมวดคิ้วพร้อมเอ่ยขึ้นเรียบๆ
ต่อให้หยางเชียนหรูขัดขืนอย่างไรแต่ก็ไม่อาจฝืนแรงสาวใช้สองคนที่ตัวสูงกว่านางได้ สุดท้ายจึงแทบจะเรียกว่าถูกลากออกไป เยี่ยหลีหันมองหน้าไม่สบอารมณ์ของม่อซิวเหยา หูก็ยังได้ยินเสียงหยางเชียนหรูที่ร้องให้ปริ่มจะขาดใจ ในใจอดนึกทอดถอนใจไม่ได้ว่า ชายคนนี้ช่างใจร้ายเสียจริง ผู้ชายธรรมดาทั่วไป หากมีหญิงสาวที่งดงามและบอบบางเช่นนี้มาร้องไห้คร่ำครวญให้เห็นตรงหน้า ต่อให้เป็นคนไร้หัวใจอย่างไรก็ต้องมีนึกสงสารกันบ้าง แต่แววตาของม่อซิวเหยานั้นกลับไม่มีความรู้สึกเอาเสียเลย ประหนึ่งว่าที่ถูกลากออกไปเมื่อครู่นั้นไม่ใช่หญิงสาวผู้บอบบาง แต่เป็นของที่เขาไม่ต้องการชิ้นหนึ่งเท่านั้น