ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 72-2 ตำหนักเหยาหวาไฟไหม้
“ฝ่าบาท” เมื่อเห็นเยี่ยหลีเดินจากไปแล้วประกายตาในแววตาของม่อจิ่งฉีก็เปลี่ยนไปทันที ร่างของชายอายุยังน้อยที่รูปร่างหน้าตาธรรมดาไม่เป็นที่สะดุดตาเดินออกมาจากทางด้านหลังตำหนัก เขามองม่อจิ่งฉีด้วยความเคารพ ม่อจิ่งฉีข่มความโกรธในใจลง ก่อนหันมองชายผู้นั้น “เดิมทีที่ให้เยี่ยหลีแต่งงานกับม่อซิวเหยาดูจะเป็นการเดินทางผิดเสียแล้ว เยี่ยเหวินหวาทำอันใดของเขากัน เยี่ยหลีคนนี้รับมือยากกว่าบุตรสาวคนที่สี่นั่นเป็นไหนๆ หากมีนางอยู่ก็ไม่อาจมั่นใจได้ว่าตระกูลสวีจะไม่ให้การสนับสนุนม่อซิวเหยา” เด็กหนุ่มเอ่ยเสีงเบาว่า “ตระกูลสวีไม่ได้ติดต่อกับตำหนักติ้งอ๋องมากถึงเพียงนั้นพ่ะย่ะค่ะ อีกอย่าง ตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลาที่ควรจะไปทำให้ตระกูลสวีโกรธ” เด็กหนุ่มลอบถอนใจ ฝ่าบาทอันใดก็ดีหรอก เพียงแต่ขี้ระแวงเกินไปเท่านั้น และในตอนที่พวกเขาลอบเป็นอริกับหลีอ๋องและไทเฮาอย่างลับๆ นี้ ไม่ควรที่จะสร้างศัตรูเพิ่มเลยจริงๆ หากความระแวงของท่านอ๋องเป็นการผลักให้ตระกูลสวีไปเข้ากับหลีอ๋องหรือติ้งอ๋องแล้ว นั่นจึงจะเรียกว่าได้ไม่คุ้มเสีย
ที่เด็กหนุ่มเอ่ยเตือนม่อจิ่งฉีนั้นใช่ว่าเขาจะไม่รู้ เพียงแต่การที่เขาไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดไว้ได้ทำให้เขาร้อนใจเป็นอย่างมาก ม่อจิ่งฉีโบกมือ แล้วขมวดคิ้วถามว่า “ตอนข้าออกว่าราชการเมื่อเช้า ฮว่ากั๋วกงเสนอให้ต้าฉู่ช่วยหนานจ้าวอ๋องปราบความวุ่นวายในแคว้น เจ้าเห็นว่าอย่างไร”
เด็กหนุ่มหยุดคิดเล็กน้อย ก่อนพยักหน้า “ฮว่ากั๋วกงมีใจทำเพื่อแคว้นของเรา สำหรับพวกเราแล้วสิ่งที่เขาเสนอมามีแต่ประโยชน์ไม่มีโทษ เพียงแต่พวกเราไม่จำเป็นต้องรีบร้อนช่วยพวกเขาปราบความวุ่นวายนัก ปล่อยให้หนานจ้าวอ๋องกับธิดาเทพแห่งชายแดนใต้เข่นฆ่ากันไปก่อนก็ได้พ่ะย่ะค่ะ เพียงพวกเราให้ความช่วยเหลือในตอนที่พวกเขาต้องการ หนานจ้าวอ๋องจะต้องจดจำบุญคุณของฝ่าบาทได้อย่างแม่นจำแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” ม่อจิ่งฉีขมวดคิ้วคิดเล็กน้อย “ที่เจ้าพูดมามีเหตุผล ข้าจะขอดูเสียหน้าว่าน้องชายที่แสนดีของข้าคิดจะทำอันใด เขาคิดอยากจะช่วยธิดาเทพแห่งชายแดนใต้มิใช่หรือ แต่ข้าจะช่วยราชสำนักของหนานจ้าวอ๋อง ข้าจะคอยดูว่าสุดท้ายแล้วคนที่ชนะจะเป็นใคร!” เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว มองใบหน้าของม่อจิ่งฉีที่หัวเราะอย่างเลือดเย็น และในที่สุดก็กดความกังวลในใจตนเองลงไป หวังว่าฝ่าบาทจะไม่สนใจแต่เรื่องชายแดนทางใต้มากจนเกินไป
“คารวะพระชายาติ้งอ๋อง เยี่ยเจาอี๋ขอเชิญเพคะ”
เมื่อเดินออกมาจากตำหนักได้ไม่เท่าไร ก็ได้พบกับหัวหน้าขันทีของตำหนักเยี่ยเย่ว์ที่มายืนรออยู่นานแล้ว เยี่ยหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย ตอนเดือนสิบ เยี่ยเย่ว์คลอดองค์ชายออกมาได้อย่างปลอดภัย ซึ่งเป็นพระโอรสคนที่หกของฝ่าบาท แต่ฐานะในวังของเยี่ยเย่ว์กลับไม่ได้สูงขึ้นดังเช่นที่เคยคาดการณ์กันไว้ก่อนหน้า ยังคงมีตำแหน่งเป็นเจาอี๋อยู่ ในขณะเดียวกัน นางได้กลายเป็นสนมเพียงคนเดียวที่มีพระโอรสแต่ยังไม่ได้ขึ้นเป็นตำแหน่งเฟย ซึ่งทำให้เยี่ยเย่ว์ที่ครึ่งปีแรกเสมือนอยู่ในยุคทองของนางกลับต้องรู้สึกประดักประเดิดกับฐานะของนางไปโดยทันที ถึงแม้นางจะมีน้องสาวที่เป็นชายาเอกของท่านอ๋องถึงสองคน แต่เมื่อตำแหน่งในวังไม่สูงพอ ก็ทำให้เยี่ยเย่ว์มีชีวิตในวังที่ยากลำบากไม่น้อย ในใจเยี่ยหลีนั้นรู้ดี นี่คงเป็นสิ่งที่ม่อจิ่งฉีใช้เตือนตระกูลเยี่ย
เยี่ยหลีคิดเล็กน้อย ก่อนตอบว่า “ข้ารู้สึกไม่ค่อยสะบายตัว อยากกลับตำหนักไปพักผ่อน ขอให้เยี่ยเจาอี๋โปรดเข้าใจด้วย”
“พระชายา…” หัวหน้าขันทีคนนั้นดูจะคิดไม่ถึงว่าเยี่ยหลีจะปฏิเสธอย่างไร้เยื่ยใยเช่นนี้จึงรีบพูดอย่างทำอันใดไม่ถูกว่า “พระชายา เยี่ยเจาอี๋เชิญให้พระชายาไปพบด้วยเพราะเห็นแก่ความเป็นพี่น้อง ไปพบพระนางสักหน่อยเถิด” เยี่ยหลีขมวดคิ้ว ในเมื่อม่อจิ่งฉีเริ่มจับตามองนางแล้ว คิดว่าทางฝั่งไทเฮาเองก็คงอีกไม่ไกลเช่นกัน หากตอนนี้นางไปพบเยี่ยเย่ว์ จะไม่เป็นการดีต่อทั้งกับนางและเยี่ยเย่ว์ เมื่อปีก่อนนางได้เคยบอกไว้แล้วว่า หากเยี่ยเย่ว์ต้องการที่จะใช้ชีวิตในวังหลวงอย่างปลอดภัย ทางที่ดีอย่าได้ไปมีส่วนร่วมกับเรื่องเหล่านั้น แต่ตอนนี้ดูเหมือนเยี่ยเย่ว์คงจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับมันมาเสียแล้ว ก็ใช่ ในเมื่อตระกูลเยี่ยลงมาอยู่ในบ่อน้ำนี้แล้ว ถึงแม้เยี่ยเย่ว์ตัวจะอยู่ในวัง แต่เกรงว่าก็คงจะหลีกหนีไปไม่ได้ “เอาล่ะ เชิญนำทางเถิด”
“ขอบคุณพระชายา” เมื่อได้ยินนางตอบรับ หัวหน้าขันทีรีบเอ่ยขอบคุณด้วยความยินดี แล้วรีบเดินขึ้นหน้านำทางไปยังตำหนักเหยาหวาของเยี่ยเย่ว์ทันที
ถ้าเทียบกับตอนที่เยี่ยหลีมาที่ตำหนักเหยาหวาเป็นครั้งแรกแล้ว ถึงแม้ตอนนั้นเยี่ยเย่ว์กำลังตั้งครรภ์แต่ยังคงมีความสวยสะพรั่งที่เปล่งประกายออกมา แต่เยี่ยเย่ว์ในตอนนี้กลับดูทรุดโทรมลงไปมาก นางกำลังนั่งอุ้มพระโอรสตัวน้อยที่ยังคงอยู่ในห่อผ้าอยู่บนเก้าอี้นวม ใบหน้าอันงดงามเต็มไปด้วยความวิตกกังวลและหม่นหมอง เมื่อนางเห็นเยี่ยหลีเดินเข้ามาก็รีบลุกยืนขึ้น เยี่ยหลีส่ายหน้า “พี่รองไม่ต้องเกรงใจไป”
เยี่ยเย่ว์สั่งให้นางกำนัลข้างกายถอยออกไปก่อน นางมองท่าทางสุขุมของเยี่ยหลี ดูว่านางจะดูสง่างามและเป็นธรรมชาติกว่าหลายเดือนก่อน นางจึงยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “ข้าคิดว่าน้องสามจะไม่มาพบข้าเสียแล้ว” เยี่ยหลีหลุบตาลงพร้อมพูดเบาๆ ว่า “พี่รองน่าจะรู้ ว่าการมาพบท่านในตอนนี้ไม่เป็นผลดีต่อตัวท่านและพระโอรสเลย” เยี่ยเย่ว์อึ้งไป ก้มหน้าลงมองลูกในอ้อมกอดตัวเองที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราว แล้วได้แต่ยิ้มขื่นๆ “ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร เพียงแต่…สภาพของข้าในตอนนี้เจ้าก็เห็นแล้ว น้องสามคิดว่าข้าจะทำอันใดได้” เยี่ยหลีขมวดคิ้ว “ตอนนี้พี่รองมีพระโอรสแล้ว ทำใจให้สบายแล้วคอยดูแลพระโอรสให้ดีเถิด ต่อให้ฝ่าบาทใจร้ายเพียงใดก็คงไม่ทำอันใดเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเองหรอก ส่วนเรื่องของท่านพ่อ…พี่รองก็อย่าได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวอีกเลย” เรื่องอื่นๆ นั้น ต่อให้เยี่ยเย่ว์มีใจแต่ก็คงไม่มีกำลังพอที่จะช่วยได้ การแก่งแย่งระหว่างฮ่องเต้กับไทเฮาและหลีอ๋องนั้นนางไม่สามารถช่วยอันใดได้ มีแต่จะลำบากไปด้วยจากการที่เจ้ากรมเยี่ยคิดเหยียบเรือสองแคม หากสุดท้ายแล้วม่อจิ่งฉีเป็นฝ่ายชนะ นางยังมีพระโอรสไว้คอยปกป้องตัวนาง ถึงอย่างไรก็คงไม่ถึงกับถูกประหาร แต่หากม่อจิ่งหลีเป็นฝ่ายชนะ นางก็เป็นเพียงแค่หญิงสาวคนหนึ่ง คงไม่สามรถช่วยกู้สถานการณ์ได้
เยี่ยเย่ว์อุ้มลูกมองเยี่ยหลีอย่างอึ้งไปพักใหญ่ ก่อนเอ่ยเสียงเบาขึ้นว่า “ท่านย่าคิดผิดไปแล้ว ท่านพ่อก็คิดผิดไปแล้วเช่นกัน นิสัยของอิ๋งเอ๋อร์ข้ารู้ดี นางทำอันใดไม่เป็นมีแต่จะทำให้เสียเรื่อง ไม่ว่าหลีอ๋องจะแพ้หรือจะชนะ น้องสี่ไม่มีทางนำความรุ่งเรืองมาให้ตระกูลเยี่ยของเราได้ ส่วนฝ่าบาท…หากฝ่าบาทสามารถรวบอำนาจกลับคืนมาได้ สิ่งที่ท่านพ่อทำในวันนี้ เกรงว่าจะเป็นการนำภัยพิบัติครั้งใหญ่มาสู่ตระกูลเยี่ย”
“ที่ฝ่าบาทไม่ยอมเลื่อนยศให้พี่รอง เพราะด้วยเรื่องของท่านพ่อจริงๆ หรือ” เยี่ยหลีเอ่ยถาม
“หากมิใช่เช่นนั้นแล้วจะด้วยเหตุใดกัน” เยี่ยเย่ว์ยิ้ม แต่ในรอยยิ้มนั้นกลับเจือแววเศร้าโศก ตอนที่เข้าวังมาใหม่ๆ นางเคยมีความตั้งใจและปณิธานอันแรงกล้า เพียงแต่นางค่อยๆ ค้นพบว่าในวังหลวงนี้ไม่ได้สวยงามดังภาพที่นางเคยจินตนาการไว้ คนที่ฝ่าบาททรงโปรดปรานที่สุดคือหลิ่วกุ้ยเฟยที่เป็นยอดหญิงงามแห่งยุค ทั้งยังมีความสามารถรอบด้าน คนที่ฝ่าบาทให้ความเกรงใจที่สุดคือฮองเฮา ที่เกิดในตระกูลใหญ่และมีความใจกว้าง ส่วนตนที่คิดว่าตนเองเก่งและสวยเด่นกว่าใครนั้น เมื่อได้เข้ามาอยู่ในวังที่เต็มไปด้วยหญิงงามแล้วกลับกลายเป็นคนธรรมดาไป แม้แต่ความโปรดปรานที่มีให้ในตอนแรกก็เพียงเพราะเห็นแก่ความจงรักภักดีของท่านพ่อเท่านั้น เมื่อฝ่าบาททรงรู้ว่าท่านพ่อไม่ได้จงรักภักดีดังเช่นที่พระองค์คิดไว้ ฝ่าบาทที่พระทัยร้ายก็ไม่คิดที่จะเห็นแก่หน้านางอีกเลย
ฝ่าบาททรงไร้หัวใจ ไม่ว่าเยี่ยเย่ว์จะเต็มใจหรือถูกบังคับให้เลือกเดินทางสายนี้ เยี่ยหลีก็ไม่อาจให้ความเห็นใจนางได้ “พี่รองให้คนไปตามข้ามานี้ด้วยมีเรื่องอันใดอย่างพูดกับข้าหรือเปล่า”
เยี่ยเย่ว์ถอนหายใจ “เมื่อก่อนข้าคิดว่าตนเองเป็นคนฉลาด ตอนนี้ถึงได้รู้ว่าน้องสามต่างหากที่เป็นคนฉลาดที่สุดในบรรดาพี่น้องเราทุกคน”
เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ในเมื่อพี่รองไม่มีเรื่องอันใด เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อน”
เยี่ยเย่ว์นั่งอุ้มลูกอยู่บนเก้าอี้เงียบๆ สายตาที่มองเยี่ยหลีมีแววของความรู้สึกผิด จู่ๆ เยี่ยหลีก็รู้สึกระแวงขึ้นมาในใจจีงรีบดีดตัวลุกขึ้น แต่กลับรู้สึกเวียนหัวและหน้ามืดไป ก่อนจะเกิดเสียงโครมขึ้นพร้อมกับร่างของนางที่สลบลงไปอยู่ที่พื้น เยี่ยเย่ว์มองเยี่ยหลีที่ล้มลงกับพื้นอยู่เงียบๆ ก่อนเอ่ยเสียงเบาขึ้นว่า “ขอโทษด้วยน้องสาม ข้าเป็นแม่ของบุตรชายคนหนึ่ง ย่อมต้องวางแผนเพื่อลูกของข้า”
ฤดูใบไม้ผลิ ปีที่สิบสอง ในรัชสมัยฮ่องเต้ผิงตี้แห่งต้าฉู่ ตำหนักเหยาหวาเกิดไฟไหม้ เจาอี๋เยี่ยซื่อและองค์ชายหกเสียชีวิตท่ามกลางกองเพลิง พระชายาติ้งอ๋อง นามเยี่ยหลี ที่เข้าเยี่ยมเยี่ยเจาอี๋ ณ ตำหนักเหยาหวา หายตัวไป