ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 75-3 หอชิงเฟิงหมิงเย่ว์
ไม่ถึงครึ่งชั่วยามดี บนโต๊ะตรงหน้าเยี่ยหลีก็เต็มไปด้วยตั๋วเงินปึกใหญ่และเหรียญเงินอีกกองโต องครักษ์ลับสามไม่รู้ไปยกเก้าอี้จากที่ใดมาให้เยี่ยหลีนั่ง เยี่ยหลีนั่งเอนหลังพิงเก้าอี้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเป็นที่สุด มองหรูเหมยที่สีหน้าค่อยๆ ซีดขาวลงเรื่อยๆ ก่อนวางตั๋วเงินลงแทงด้วยรอยยิ้มอันใสซื่อ “สามหมื่นตำลึง ต่ำ!”
นิ้วเรียวชะงักไปเล็กน้อย ก่อนค่อยๆ หงายถ้วยลูกเต๋าขึ้น ทุกคนต่างจับจ้องไปที่ถ้วยลูกเต๋าที่ค่อยๆ เปิดออก “หนึ่งหนึ่งสอง ต่ำ!”
องครักษ์ลับสามที่ยืนอยู่หลังเยี่ยหลีมองตั๋วเงินที่เพิ่มขึ้นบนโต๊ะด้วยสีหน้าเป็นกังวล เมื่อครู่ยังเป็นกังวลว่าหากพระชายาแพ้จนหมดตัวแล้วพวกเขาคงได้ร่อนเร่กลับเมืองหลวง แต่มายามนี้กลับเป็นห่วงว่าการที่พระชายาชนะพนันเยอะเกินไปจะทำให้พวกเขาออกจากหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์ไม่ได้
นางเอามือสองข้างเท้าคางไว้ด้วยสีหน้าคงเดิม พร้อมมองอากัปกิริยาของหรูเหมยด้วยท่าทีสบายๆ “หมดหน้าตัก สูง!”
ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้นต่างสูดหายใจเข้าโดยแรง เหรียญเงินและตั๋วเงินตรงหน้าเยี่ยหลี รวมๆ แล้วกว่าแสนตำลึง หากแทงถูก แน่นอนว่าย่อมชนะได้เงินจำนวนมากไป แต่หากแทงผิดเงินแสนกว่าตำลึงนี้ก็ประหนึ่งนำไปละลายแม่น้ำ ถึงแม้คนที่มาที่นี่ต่างเป็นเศรษฐีมีเงิน แต่ก็มีเพียงไม่กี่คนที่มีผีพนันเข้าสิงจนยอมแทงเงินแสนกว่าตำลึงเช่นนี้ เพราะถึงอย่างไรเงินของพวกเขาก็หามาด้วยความยากลำบาก ไม่ได้หล่นลงมาจากฟ้า
บนหน้าผากเรียบเนียนประหนึ่งหยกขาวของหรูเหมยเริ่มมีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ซึมออกมา ดวงตาคู่งามที่มองจ้องเยี่ยหลีอยู่นั้นเต็มไปด้วยความตกใจและค้นหา นางค่อยๆ ยื่นมือออกไปเปิดถ้วยลูกเต๋านั้นท่ามกลางสายตาของทุกคน ก่อนทั้งหมดจะร้องออกมาด้วยความตกใจ “สามสามลูก!”
หรูเหมยมือสั่น หน้าขาวซีดราวกระดาษ
“คุณชายเก่งเหลือเกิน” หรูเหมยเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าซีดขาว
เยี่ยหลีอมยิ้ม มิได้พูดอันใด สมัยที่นางต้องออกไปทำภารกิจเป็นสายลับ นางติดตามเซียนพนันเพื่อเรียนรู้เทคนิคการเล่นพนันอยู่เป็นหลายเดือน เซียนพนันยังเอ่ยชมว่านางมีพรสวรรค์ อีกทั้งด้วยประสาทตาและประสาทหูของนาง ทำให้หรูเหมยมิอาจโกงนางได้ และแน่นอนว่า เยี่ยหลีคิดว่าสถานที่อย่างหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์นี้ เจ้ามือไม่มีทางเล่นโกงเพียงเพื่อเงินแสนกว่าตำลึงเป็นแน่ เพราะหากทำเช่นนั้นคงทำให้ชื่อเสียงของหอชิงเฟิงหมิงเหย่ว์ต้องเสื่อมเสีย แต่หากนางยังชนะต่อไปเรื่อยๆ ก็คงไม่แน่ เพราะถึงอย่างไรเรื่องที่หานหมิงเย่ว์รักเงินเป็นชีวิตจิตใจนั้นก็ดูจะโด่งดังพอๆ กับหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์เลยทีเดียว
“คุณชายท่านนี้ เถ้าแก่ของเราขอเชิญคุณชายไปพบขอรับ” ในขณะที่เยี่ยหลีกำลังลังเลว่าจะเล่นต่อไปดีหรือไม่นั้น ก็มีชายหนุ่มท่าทางเหมือนผู้คุมเดินเข้ามาหา พร้อมยิ้มและประสานมือคารวะเยี่ยหลี
สายตาเยี่ยหลีเปลี่ยนไปทันที นางยิ้มแล้วพูดว่า “คุณชายหมิงเย่ว์เชิญข้าเช่นนี้ คงเป็นบุญวาสนาที่ข้าได้ทำมาถึงสามชาติ เพียงแต่…หอชิงเฟิงหมิงเย่ว์คงไม่ฆ่าคนเพื่อเอาเงินหรอกกระมัง”
มุมปากชายหนุ่มกระตุกขึ้นเล็กน้อย ก่อนฝืนยิ้มขึ้น “คุณชายล้อข้าเล่นแล้ว”
เยี่ยหลีลุกยืนขึ้น พร้อมหยิบเงินยัดใส่มือองครักษ์ลับสาม ก่อนยืดตัวขึ้นจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย “เชิญนำทางได้”
ชายหนุ่มเดินนำพวกเยี่ยหลีทั้งสองคนไปยังเรือนด้านหลังโรงพนัน ม่านลูกไม้ของศาลาที่อยู่ติดริมทะเลสาบพัดปลิวขึ้นตามแรงลม คลอไปกับเสียงดนตรีในสายลมที่ไพเราะเสนาะหู
“เถ้าแก่ขอรับ”
“ออกไปก่อน คุณชายท่านนี้เชิญเข้ามาพบกันสักครู่” เสียงฉินหยุดลง พร้อมกับเสียงต่ำๆ ของชายหนุ่มที่ลอยดังออกมา เมื่อเยี่ยหลีได้ยินเช่นนั้นจึงเลิกคิ้วขึ้น มองชายหนุ่มที่ถอยออกไปอย่างนอบน้อม เยี่ยหลีหัวเราะเสียงใส “เถ้าแก่หอหมิงเย่ว์เชิญให้พบ ช่างเป็นบุญวาสนาของข้าน้อยที่สั่งสมไว้ถึงสามชาติ” พูดจบนางก็หันไปส่งสายตาให้องครักษ์สามรออยู่ด้านนอก ก่อนเดินเลิกผ้าม่านชั้นแล้วชั้นเล่าเข้าไปด้านใน
ในศาลากลางน้ำ ชายหนุ่มรูปงามในชุดผ้าไหมสีแดงเข้มกำลังนั่งเอนหลังอย่างเกียจคร้านอยู่ข้างโต๊ะวางฉิน ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยเสน่ห์อันแพรวพราว เมื่อเห็นเยี่ยหลีเดินเข้ามาจึงเลิกคิ้วขึ้น “คิดไม่ถึงว่าคนที่สามารถเอาชนะหรูเหมยได้จะเป็นคุณชายน้อยท่านนี้ ช่างเป็นหนุ่มน้อยเก่งกาจที่หาได้ยากจริงๆ ขอบังอาจถามชื่อแซ่ของท่านได้หรือไม่”
เยี่ยหลียิ้ม “ได้สิ ข้ามิได้มีฝีมืออันใดมากนัก ไม่คู่ควรที่จะเอ่ยถึง ข้าแซ่ฉู่ นามจวินเหวย”
“ฉู่จวินเหวยหรือ ช่างเป็นชื่อที่ดีนัก เพียงแต่…ข้าน้อยไม่เคยได้ยินว่ามีตระกูลฉู่ตระกูลใดในต้าฉู่ที่มีคุณชายที่ใจใหญ่เช่นนี้ หากจะว่าเป็นคนแซ่ฉู่จากแคว้นซีหลิน…ดูจากลักษณะของคุณชายแล้วก็ดูไม่เหมือนคนแคว้นซีหลิงเอาเสียเลย” หานหมิงเย่ว์มองจ้องเยี่ยหลี ระหว่างที่พูดก็มองสำรวจนางไปด้วย
เยี่ยหลีมิได้สนใจ นางหาที่นั่งให้ตนเองนั่งลง ก่อนยิ้มแล้วเอ่ยกับเขาว่า “ตระกูลข้าเป็นเพียงตระกูลเล็กๆ มิกล้าเอ่ยให้คุณชายหมิงเย่ว์ระคายหู”
หานหมิงเย่ว์ส่งเสียงเหอะเบาๆ “ตระกูลเล็กๆ อย่างนั้นหรือ ดูท่าทางคุณชายไม่ใช่เลย”
เยี่ยหลีโบกพัดในมือ ก่อนยิ้มน้อยๆ อย่างเป็นธรรมชาติ “เรื่องนี้ประหลาดเมื่อใดกัน ข้าน้อยก็เห็นว่าคุณชายเองก็ดูไม่เหมือนคุณชายหมิงเย่ว์ที่คนเขาพูดกันเช่นกัน”
“หือ” หานหมิงเย่ว์เลิกคิ้วขึ้นด้วยความสนใจ แววตามีประกายดุดัน “ไม่ทราบว่าคุณชายหมิงเย่ว์ที่คุณชายเคยได้ยินนั้นเป็นอย่างไรหรือ”
เยี่ยหลียิ้ม “ได้ยินว่าคุณชายหมิงเย่ว์นั้นมากด้วยเสน่ห์ หล่อเหลาผิดธรรมดา เป็นคุณชายรูปงามที่หาได้ยากในใต้หล้านี้”
หานหมิงเย่ว์ขมวดคิ้วเหมือนไม่พอใจ “หรือว่า ข้าทำให้คุณชายฉู่ผิดหวังอย่างนั้นหรือ”
เยี่ยหลีก้มหน้าลงยิ้ม “เท่าที่ข้าน้อยรู้ คุณชายหมิงเย่ว์ไม่มีทางนั่งเช่นนี้ต่อหน้าคนแปลกหน้าอย่างแน่นอน” เยี่ยหลีมองชายหนุ่มรูปงามที่นั่งทับส้นเท้าอยู่ข้างโต๊ะวางฉินด้วยท่าทางเลื่อยเฉื่อย แล้วได้แต่นึกถอนใจเบาๆ หากมองเพียงรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว คู่พี่น้องหานหมิงเย่ว์กับหานหมิงซีนั้นมีส่วนที่คล้ายคลึงกันอยู่ถึงแปดส่วน หากคิดจะตบตาผู้อื่นก็ไม่แน่ว่าอาจพอหลอกได้ เพียงแต่ชายตรงหน้านี้ดูไม่มีท่าทีที่คิดจะปิดบัง อาจเป็นเพราะเขาไม่คิดว่าคุณชายแปลกหน้าที่อายุเพียงสิบสามสิบสี่ปีจะเคยพบหานหมิงเย่ว์ตัวเป็นๆ มาก่อน แต่น่าเสียดายที่นางไม่เพียงเคยพบหานหมิงเย่ว์เท่านั้น แต่ตัวหานหมิงซีเองนางก็เคยพบมาแล้ว
“ดูท่าคุณชายฉู่จะมั่นใจมากว่าข้ามิใช่หานหมิงเย่ว์ใช่หรือไม่” หานหมิงซีลุกขึ้นยืนตัวตรง สายตาเย็นเยียบจ้องมองเยี่ยหลีไม่ขยับไปไหน
เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “คุณชายจะโกรธไปไย คุณชายใช้ชื่อคุณชายหมิงเย่ว์หลอกให้ข้าน้อยเข้ามาที่นี่ คนที่ควรโกรธมิใช่ข้าน้อยหรือ”
หานหมิงซีหัวเราะเยาะเสียงเย็น “คุณชายฉู่จะแสดงท่าทางเช่นนี้ไปไย ท่านลงเงินพนันจำนวนมากในหอหมิงเย่ว์ ก็เพื่อดึงดูดความสนใจของเถ้าแก่หอแห่งนี้มิใช่หรือ ท่านมีจุดประสงค์เช่นไร สามารถบอกให้ข้าฟังได้ ไม่แน่ว่าหากข้าอารมณ์ดีอาจยอมรับปากท่านก็เป็นได้”
เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้น “คุณชายตัดสินใจแทนหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์ได้หรือ หรือจะพูดอีกอย่างว่า…คุณชายตัดสินใจแทนเทียนอี้เก๋อได้หรือ”
เมื่อได้ยินชื่อเทียนอี้เก๋อหลุดออกมา หานหมิงซีก็ตวัดสายตาคมดุประหนึ่งคมมีดมาทางเยี่ยหลีทันที ใบหน้าหล่อเหลาที่ดุคมมีแววเยือกเย็นขึ้นหลายส่วน “ท่านคือผู้ใดกันแน่” ในใต้หล้านี้มีคนที่รู้จักเทียนอี้เก๋ออยู่ไม่น้อย และคนที่รู้จักหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์ยิ่งมีมากกว่า แต่คนที่รู้ว่าเจ้าของหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์กับเทียนอี้เก๋อเป็นคนเดียวกันนั้นมีไม่มากนัก
เยี่ยหลีก้มหน้าลง “ก่อนที่คุณชายจะถามข้าน้อยนั้น ก็ควรบอกเสียก่อนว่าท่านตัดสินใจได้หรือไม่ หากข้าน้อยเสียน้ำลายพูดไปครึ่งค่อนวันแล้วท่านเกิดตัดสินใจไม่ได้ขึ้นมา จะไม่เป็นการเสียเวลาทั้งสองฝ่ายหรือ”
หานหมิงซีจ้องเยี่ยหลีด้วยความโกรธ ก่อนส่งเสียงเหอะเบาๆ “ตอนนี้หานหมิงเย่ว์มิได้อยู่ที่หนานเจียง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์หรือเทียนอี้เก๋อ ข้าตัดสินใจได้ทั้งสิ้น เจ้าเข้าใจหรือยัง”
เยี่ยหลีหัวเราะพร้อมปรบมือ “เช่นนั้นยิ่งดี ข้ายังไม่ได้ถามชื่อของคุณชายเลย”
“หานหมิงซี” หานหมิงซีกัดฟันตอบ แน่นอนว่าเขาไม่มีทางบอกว่าสมญานามของเขาคืออันใด เพราะถึงอย่างไรชื่อคุณชายเฟิงเย่ว์นั้น ก็ล้วนมีชื่อเสียงไม่ดีทั้งในหมู่บุรุษและสตรี
เยี่ยหลียกมือขึ้นนวดหน้าผาก ก่อนเอ่ยเสียงต่ำว่า “ที่แท้ก็คือ…น้องชายของคุณชายหมิงเย่ว์หรือ มิน่าท่านถึงได้หน้าตาคล้ายกับคุณชายหมิงเย่ว์เช่นนี้”
“ท่านเคยพบพี่ใหญ่ข้าหรือ” หานหมิงซีขมวดคิ้วจ้องมองนาง
เยี่ยหลียิ้มด้วยสีหน้าคงเดิม “เรื่องนี้…ข้าเคยมีโอกาสได้พบตอนที่คุณชายหมิงเย่ว์อายุยังน้อย ข้าน้อยความจำดี จำภาพความสง่างามของคุณชายหมิงเย่ว์ได้ดีมาโดยตลอด”
หานหมิงซีเบ้ปาก เมื่อตอนเด็กพี่ชายของเขานั้นงามสง่าและโดดเด่นก็จริง แต่นั่นเป็นสมัยที่อยู่ในเมืองหลวงของต้าฉู่ ดังนั้นคนหนานเจียงที่รู้เรื่องนี้จึงมีไม่มากนัก เพียงแต่…ในตอนนั้นเจ้าเด็กน้อยตรงหน้านี้อายุได้ห้าขวบอย่างนั้นหรือ เยี่ยหลีมิได้สนใจว่าหานหมิงซีจะคิดสิ่งใดอยู่ “ข้าน้อยเดินทางมาไกล คุณชายจะไม่ให้ข้าดื่มชาสักถ้วยเชียวหรือ นี่ไม่ใช่มารยาทการรับแขกเอาเสียเลยนะ”
หานหมิงซีจ้องนางอยู่เป็นนาน ก่อนค่อยๆ ยกยิ้มอย่างเ**้ยมโหดขึ้น “อยากดื่มชานั้นย่อมได้ มีเรื่องอยากขอร้องก็ย่อมได้เช่นกัน แต่ไว้รอให้ชนะข้าได้ก่อนเถิด!”
…