ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 80-2 ความลับใจกลางภูเขา
“ตัวคุณชายเองก็เป็นเทพแห่งศาสตร์ยาพิษอยู่แล้ว มีความจำเป็นใดจะต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อตามหาพิษประหลาดด้วยหรือ” เยี่ยหลีถามขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย
บัณฑิตขี้โรคหัวเราะขึ้นสั้นๆ ในเสียงหัวเราะนั้นเต็มไปด้วยความโกรธเกลียดและมาดร้าย แล้วเขาก็ไออย่างรุนแรง “ถูกแล้ว ข้ามีของดีอยู่ไม่น้อยจริง แต่นั่นยังไม่พอ…ในใต้หล้านี้ยาพิษที่ทำให้คนเจ็บปวดเสียจนไม่อยากมีชีวิตอยู่นั้นอยู่ที่หนานเจียง หึหึ…”
เยี่ยหลีตาโตมองเขา น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความใคร่รู้นั้นแหลมสูงขึ้นเล็กน้อย “ได้ยินว่ายาพิษที่ทำให้คนเจ็บปวดที่สุดคือยาสะบั้นลำไส้กร่อนกระดูก คนที่ได้รับพิษนี้ อวัยวะภายในจะถูกทำลาย กระดูกจะเปราะและต้องทนทรมานอยู่ถึงสี่สิบเก้าวันจึงจะตาย หรือว่ายังมียาพิษที่น่ากลัวกว่านี้อีกหรือ”
บัณฑิตขี้โรคยิ้มพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงได้ใจ “ถูกต้อง ยาสะบั้นลำไส้กร่อนกระดูกมีพิษร้ายแรงนั้นจริงอยู่ แต่นั่นต้องกินเข้าไป อีกทั้งยังมีกลิ่นยาที่รุนแรง ต่อให้ใช้กลิ่นอื่นมากลบแต่ก็มิอาจหลอกหมอที่เชี่ยวชาญด้านการแพทย์หรือคนที่มีประสาทรับกลิ่นไวได้ แต่สิ่งนี้ไม่เหมือนกัน หากนำมันมาทำพิษ มันจะกลายเป็นพิษที่ไร้สีไร้กลิ่นโดยแท้จริง เพียงแค่หยดเดียวก็สามารถทำให้คนผู้นั้นตกนรกทั้งเป็นจนมิอาจกลับมามีชีวิตปกติได้อีกเลยตลอดชีวิต!”
“ดอกโยวหลัวหมิงหรือ” หานหมิงซีถามขึ้นด้วยความใคร่รู้
บัณฑิตขี้โรคส่งเสียงเหอะเบาๆ ด้วยความดูแคลน “เจ้าคิดว่าที่หนานเจียงมีแต่ดอกโยวหลัวหมิงหรือ หากเทียบกับดอกโยวหลัวหมิงที่ถูกซ่อนไว้ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของหนานเจียงแล้ว สิ่งนี้ต่างหากที่เป็นสมบัติล้ำค่าแห่งโลกหล้าที่แท้จริง…ดอกปี้ลั่ว”
“ดอกปี้ลั่วหรือ” หานหมิงซีสีหน้ามึนงงสงสัย “ชื่อฟังดูงดงาม เพียงแต่ไม่เคยได้ยินมาก่อน”
บัณฑิตขี้โรคสงเสียงเหอะเบาๆ อย่างดูแคลน
เยี่ยหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย “ขึ้นสวรรค์ลงนรกล้วนเป็นเรื่องธรรมดา”
บัณฑิตขี้โรคยิ้ม “ถูกแล้ว ชื่อของพิษชนิดนี้มีชื่อว่า ปี้ลั่วหวงฉวนซึ่งมีความหมายว่า ขึ้นสวรรค์ลงนรกล้วนเป็นเรื่องธรรมดา”
“ฟังชื่อดูก็ไม่น่ามีอันใดเลยนะ” หานหมิงซีกล่าว หากเทียบสะบั้นลำไส้กร่อนกระดูกแล้ว ชื่อนี้ถือได้ว่าเป็นโคลงกลอนประโยคหนึ่งเลยทีเดียว
บัณฑิตขี้โรคยิ้ม “ฟังดูไม่มีอันใดจริงๆ แต่เมื่อพิษนี้เข้าสู่ร่างกายคน จะเข้าสู้เส้นเลือดในร่างกายทั้งหมดทันที หากไม่สูบเลือดในร่างกายออกจนไม่เหลือสักหยดแล้ว พิษชนิดนี้ก็จะไม่มีทางถอนออกได้ นั่นเพราะต่อให้มีวิธีการเปลี่ยนถ่าย แต่หากยังเหลือเลือดเพียงหนึ่งหยดที่มีพิษอยู่ มันก็จะกระจายตัวเข้าสู่เลือดสะอาดที่เข้ามาใหม่อย่างรวดเร็ว”
หานหมิงซีไม่เข้าใจ “เหตุใดจึงให้ชื่อว่าปี้ลั่วหวงฉวนหรือ”
“หึหึ…ส่วนหนึ่งเป็นสวรรค์ ส่วนหนึ่งเป็นนรก คนที่ได้รับพิษชนิดนี้ภายนอกจะดูเหมือนสบายดี แต่ภายในกลับค่อยๆ ถูกทำลายไปทีละน้อย ยิ่งพิษภายในร่างกายสะสมขึ้นมากเท่าไร ภายนอกก็ยิ่งดูงดงามขึ้นเท่านั้น แต่…เขาจะไม่สามารถแตะต้องคนหรือสิ่งของใดๆ ได้เลย”
“สามารถแพร่เชื้อได้หรือ” เยี่ยหลีหลุบตาลงเอ่ยเสียงขรึม
“ไม่สิ จะแพร่เชื้อได้อย่างไร” บัณฑิตขี้โรคพูดกลั้วหัวเราะ การเล่นกับพิษที่ไม่สามารถควบคุมการแพร่เชื้อได้นั้นน่าปวดหัวน่าดู ที่คนผู้นั้นไม่สามารถแตะต้องสิ่งของใดๆ ได้เลยนั้น นั่นเพราะอุณหภูมิความร้อนใดๆ ก็ตามในสิ่งมีชีวิตจะทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดจนไม่อยากมีชีวิตอยู่และจะยิ่งกระตุ้นทำให้อวัยวะภายในถูกทำลายได้เร็วยิ่งขึ้น เช่นนั้นเขาจึงทำได้เพียงหลบอยู่ในที่ที่ห่างไกลจากผู้คน ค่อยๆ ให้ตนเองหมดสภาพและเน่าเปื่อยไป อา…แต่แขนขาของเขาจะค่อยๆ อ่อนเปลี้ยและพิการไปก่อน บางทีก่อนที่เขาจะหมดสภาพเขาอาจหิวตายก่อนก็เป็นได้”
ทั้งสามคนในที่นั้นต่างได้ยินถึงความหนาวเย็นในน้ำเสียง และยิ่งเมื่อรวมกับน้ำเสียงกดต่ำของบัณฑิตขี้โรคแล้ว ถึงแม้ตอนนี้พระอาทิตย์กำลังสาดแสงอย่างแรงกล้าแต่ก็ยังทำให้รู้สึกหนาวเย็นเยียบเข้าไปถึงกระดูกอยู่ดี
“ไม่น่าเป็นไปได้ หากเป็นเพียงพิษตัวหนึ่งแล้ว คงไม่อาจทำให้ผู้คนให้ความสำคัญได้ถึงเพียงนี้” เยี่ยหลีเอ่ยชี้ถึงจุดนี้ขึ้นเรียบๆ ต่อให้เป็นยาพิษที่มีคุณค่ามากเพียงใดก็เป็นเพียงยาพิษ นอกเสียจากอยู่ในมือของคนอย่างบัณฑิตขี้โรคแล้ว เกรงว่าคุณค่าคงเทียบไม่ได้กับยาเม็ดถอนพิษที่สามารถถอนพิษของยาพิษได้เป็นร้อยชนิดได้
บัณฑิตขี้โรคตอบเสียงขรึม “ถูกต้อง ได้ยินว่าหากนำดอกปี้ลั่วไปผสมกับยาอีกประเภทหนึ่ง ว่ากันว่าสามารถชุบชีวิตคนได้ ตอนนี้ยาเม็ดถอนพิษที่สามารถถอนพิษเป็นร้อยชนิดได้นั้น อันที่จริงแล้วสามารถถอนได้เฉพาะพิษที่พบได้บ่อยๆ เท่านั้น แต่ยาเม็ดถอนพิษที่ทำจากดอกปี้ลั่วนั้น ขอเพียงคนผู้นั้นยังมีลมหายใจ ไม่ว่าจะถูกพิษอันใดหรือได้รับบาดเจ็บเพียงใดก็สามารถทำให้หายเป็นปกติได้ ทั้งยั้งทำให้มีชีวิตที่ยืนยาวอีกด้วย เจ้าว่า…สมบัติล้ำค่าเช่นนี้จะมีคนคิดแย่งชิงหรือไม่ หากคนแซ่เหลียงนั่นสามารถนำมันมาทำเป็นยาได้ ต่อให้เขาคิดเม็ดละหนึ่งหมื่นตำลึงทองก็ไม่มีใครคิดว่าแพงหรอก”
เยี่ยหลีพยักหน้าปกปิดประกายวูบไหลในดวงตา “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง เป็นสมบัติล้ำค้าจริงๆ เสียด้วย ที่คุณชายตามหามันก็เพื่อเอาไว้รักษาคนหรือ”
บัณฑิตขี้โรคยิ้มเย็น “รักษาโรค ทำยาพิษได้ทั้งสองอย่าง”
“เช่นนั้น…ถึงตอนนั้นแบ่งให้ข้าน้อยสักเม็ดหนึ่ง ก็น่าจะถือว่าเป็นค่าตอบแทนที่สมเหตุสมผลใช่หรือไม่” เยี่ยหลีเอ่ยถาม
บัณฑิตขี้โรคจ้องนางด้วยสายตาเย็นเยียบ “ค่าตอบแทนหรือ”
“หรือว่าเวลาคุณชายขอความช่วยเหลือใคร ไม่เคยจ่ายค่าตอบแทนเลยหรือ ในเมื่อคุณชายบอกว่าสามารถนำไปรักษาโรคและสามารถนำไปทำยาพิษได้ เช่นนั้นข้าก็สามารถคิดได้ว่าดอกปี้ลั่วนี้ไม่ได้มีน้อยสักเท่าไร ข้าน้อยไม่เชี่ยวชาญเรื่องการปรุงยา ได้ดอกลั่วปี้ไปก็ไม่มีประโยชน์ ดังนั้นข้าขอเป็นยาถอนพิษอายุวัฒนะสักเม็ดหนึ่งก็คงไม่ถือว่าเกินไปกระมัง”
แววตาบัณฑิตขี้โรคดูสับสน เขานิ่งไปครู่ใหญ่ก่อนตอยเสียงขรึมว่า “ข้ารับปากเจ้า”
“ดีมาก”
“ข้าลงไปเองได้” บัณฑิตขี้โรคเอ่ยค้านขึ้น การให้ใครมาพาเขาลงไปนั้นทำให้เขารู้สึกว่าตนเองเป็นคนอ่อนแอซึ่งเป็นสิ่งที่เขารับไม่ได้
จั๋วจิ้งปรายตามองเขา “หากไม่กลัวตกลงไปตายล่ะก็ คุณชายจะลองดูก็ได้”
“เจ้า!” บัณฑิตขี้โรคหน้าบึ้งลงทันที
เยี่ยหลีกลับโบกมือที่มีเชือกเส้นหนึ่งในมือให้เขา ก่อนออกเดินไปยังจุดที่หานหมิงซีชี้ให้ แล้วจึงนำปลายตะขอเหล็กไปเกี่ยวกับที่ที่หนึ่งอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นจึงได้โยนเชือกลงไป เยี่ยหลีจับเชือกไว้ก่อนค่อยๆ โรยตัวลงหน้าผาไป หานหมิงซียื่นหน้าลงไปมอง ยังเห็นภาพนางที่จับเชือกค่อยๆ โรยตัวลงไปด้านล่าง ถึงจะดูเหมือนเชื่องช้าแต่กิริยาท่าทางดูมีความคล่องแคล่วว่องไว ไม่เท่าไรก็หายลงไปในกลุ่มก้อนเมฆ
ผ่านไปครู่ใหญ่ เชือกที่เคยเคลื่อนไหวน้อยๆ ก็หยุดนิ่งลง จากนั้นเชือกก็สั่นไหวแรงขึ้นจนปลายตะขอเหล็กที่เกี่ยวอยู่กับหินค่อยๆ เคลื่อนหลุดออก
“เอ๋…” หานหมิงซีรีบร้อนเข้าไปหมายจะคว้าไว้ แต่องครักษ์ลับสามพูดขึ้นว่า “ไม่เป็นไร คุณชายลงไปถึงแล้ว” แล้วก็เป็นจริงดังที่เขาว่า เมื่อตะขอเหล็กหลุดออกมาได้ ปลายเชือกอีกด้านก็เหมือนถูกคนกระชากให้เชือกอีกครึ่งหนึ่งไหลลงหน้าผาไป
องครักษ์ลับสามที่ยืนอยู่อีกด้านก็เริ่มเตรียมตัวอย่างที่เยี่ยหลีทำเมื่อสักครู่ บัณฑิตขี้โรคเองก็ไม่ขัดขืนอีก เมื่อองครักษ์ลับสามเคลื่อนตัวลงไป เขาก็ใช้วิชาตัวเบากระโดดลงไปอยู่ข้างๆ องครักษ์ลับสามพร้อมจับเขาไว้แน่น ทั้งสองค่อยๆ เคลื่อนตัวลงไปด้านล่าง ครั้งนี้ดูช้ากว่าเยี่ยหลีอย่างเห็นได้ชัด
หานหมิงซียืนอยู่ริมหน้าผาเพียงคนเดียว เขามองตะขอเหล็กที่เกี่ยวไว้กับก้อนหินยักษ์อย่างแน่นหนากับเชือกเส้นเล็กๆ นั้นด้วยสีหน้าสงสัย พร้อมเอ่ยบ่นงึมงำขึ้นว่า “จวินเหวยนี่ช่างเป็นเด็กที่ประหลาดเสียจริง…”
เมื่อตอนที่เยี่ยหลีโรยตัวลงมาได้ประมาณหกสิบจั้งก็เห็นว่าด้านข้างห่างไปไม่ไกล มีปากถ้ำขนาดกว้างประมาณหนึ่งความสูงคนกว่าๆ อยู่ถ้ำหนึ่ง ในใจรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เมื่อตอนที่พบว่าเชือกเส้นเล็กยาวนี้มีความแข็งแรงและมีประโยชน์มากนั้น ตนได้ต่อความยาวของเชือกขึ้นอีกมากพอดู มิเช่นนั้นแล้วเกรงว่าคงลงมาไม่ถึงที่นี่
นางกระเถิบตัวไปทางขวาเล็กน้อยก่อนออกแรงพุ่งตัวไป เยี่ยหลีลงยืนที่ข้างปากถ้ำ ก่อนยืนขึ้นอย่างมั่นคง ที่นี่มีปากถ้ำที่ดูลึกจนมองไม่เห็นก้นถ้ำอยู่จริงอย่างที่หานหมิงซีบอกไว้ ดูเหมือนเป็นทางที่คนขุดขึ้นบนหน้าผา เมื่อมองเข้าไปด้านในเห็นเป็นทางเดินดำมืดที่ไม่รู้พาไปที่ใด นางหันมองพื้น เห็นเป็นรอยเท้าที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ใหม่ๆ ดูท่าคนเหล่านั้นจะมั่นใจมาก ถึงขั้นไม่แม้แต่จะให้ใครมาคอยอารักขาที่ปากทางเข้าเลย
เยี่ยหลีเก็บเชือกด้วยความระมัดระวัง ก่อนเดินเข้าไปสามสี่ก้าวแล้วเฝ้ารอด้วยความตื่นตัว ผ่านไปอีกครู่ใหญ่องครักษ์ลับสามจึงได้พาบัณฑิตขี้โรคลงมาถึงปากทางเข้าถ้ำ ทั้งสองยังไม่ทันยืนดี แม้แต่เชือกองครักษ์ลับสามก็ยังไม่ทันได้เก็บ หานหมิงซีก็กระโดดลงมาที่หน้าปากถ้ำแล้ว
“พวกเขาเข้าไปจากที่นี่จริงๆ” เยี่ยหลีชี้ไปที่รอยเท้าที่พื้นกับเพดานถ้ำ “ระวังหน่อย บนหัวเราน่าจะมีค่ายกลอยู่ เมื่อตอนที่ข้าลงมา ข้าลองสังเกตดู บนหน้าผาน่าจะมีบางอย่างที่สามารถควบคุมค่ายกลได้อยู่ ดังนั้นพวกเขาคงมั่นใจว่าวิชาตัวเบาไม่สามารถลงมาได้ น่าเสียดายก็แต่เราไม่มีเวลาค่อยๆ หาเท่านั้น”
สีหน้าบัณฑิตขี้โรคไม่สู้ดีนัก ถึงแม้เมื่อครู่องครักษ์ลับสามจะพาเขาสงมา เขาจึงไม่ต้องเสียแรงมากนัก แต่ก็ยังเหนื่อยเขาไม่น้อย “ไปกันเถิด ยังไม่ต้องสนใจเรื่องค่ายกล”
เยี่ยหลีขมวดคิ้ว “ท่านสามารถอดทนให้ไม่ไอได้หรือ”
เขาพยักหน้าด้วยความหนักแน่น บัณฑิตขี้โรคหยิบขวดยาขวดหนึ่งออกมาจากหน้าอก เขาเงยหน้ากระดกยาขวดนั้นเข้าปากด้วยสีหน้าที่ดูย่ำแย่กว่าเดิม “วางใจได้ ข้าไม่ไอแล้ว”
เยี่ยหลีพยักหน้า องครักษ์ลับสามเดินนำหน้าเข้าไปก่อน ตามด้วยบัณฑิตขี้โรค มีเยี่ยหลีและหานหมิงซีรั้งท้าย