ชายาเคียงหทัย – ตอนนี้ 83-1 ร่องรอยของสวีชิงเฉิน
เยี่ยหลีหยิบหนังสือรวมกลอนเล่มหนึ่งกลับห้องของตน แล้วนั่งลงอ่านหนังสืออย่างใจเย็น องค์หญิงอันซีได้เป็นรัชทายาทหญิงแห่งแคว้นหนานจ้าว นางย่อมมิใช่องค์หญิงเบาปัญญาไร้สมอง อย่างน้อยๆ คนที่นางส่งมาให้คอยจับตาดูนางนั้นก็ล้วนเป็นคนที่รู้ว่าอันใดควรไม่ควiจึงไม่ทำให้แขกรู้สึกว่าถูกคุกคาม
เยี่ยหลีเองก็ขี้เกียจจะไปพูดมากอันใดในเรื่องนี้ หากองค์หญิงอันซีเชื่อทั้งหมดที่นางพูดสิ นางคงนึกสงสัยในสมองของรัชทายาทหญิงแห่งหนานจ้าว
”คุณหนู องค์หญิงอันซีออกจากตำหนักไปแล้วขอรับ” องครักษ์ลับสองเข้ามาเอ่ยรายงานเสียงต่ำ
เยี่ยหลีพยักหน้า พูดเสียงเบาว่า “องค์หญิงผู้นั้นไม่ธรรมดา อย่าเข้าใกล้นางมากนักเดี๋ยวจะทำให้นางเข้าใจผิด”
องครักษ์ลับสองขมวดคิ้ว หันมองไปที่นอกประตูแล้วพูดว่า “นางมิได้เชื่อเราตั้งแต่แรก หากเป็นเช่นนี้แล้วพวกเรายังอยู่ที่นี่ จะไม่เปล่าประโยชน์และยิ่งทำให้ปลีกตัวออกไปได้ลำบากหรือขอรับ”
เยี่ยหลีส่ายหน้า “องค์หญิงอันซีน่าจะรู้แน่ว่าพี่ใหญ่ไปที่ใด ถึงแม้ตอนนี้นางเองก็ยังหาพี่ใหญ่ไม่พบ แต่นางกลับดูไม่เป็นกังวลเรื่องความปลอดภัยของพี่ใหญ่เลย พี่ใหญ่มาถึงหนานจ้าวแล้วเขาทำสิ่งใดบ้าง พอสืบได้หรือไม่”
องครักษ์ลับสองพยักหน้า “ข้าน้อยจะกลับมารายงานก่อนพรุ่งนี้เช้าขอรับ”
เยี่ยหลีพยักหน้า ขมวดคิ้วมองจ้องหนังสือในมือ แต่ความคิดในหัวนั้นกลับล่องลอยไปไกลเสียแล้ว พี่ใหญ่ดูจะมิได้ถูกคนจับตัวไป น่าจะคิดไปที่ใดที่หนึ่งด้วยตนเอง แต่หลังจากไปแล้วกลับมิได้กลับมาตามเวลาที่ได้บอกกับองค์หญิงอันซีไว้ ในหนานจ้าวนี้พี่ใหญ่มิได้มีคนที่เอื้อประโยชน์หรือศัตรูที่ใด เช่นนั้นก็น่าจะไปเพื่อองค์หญิงอันซี หากเป็นเช่นนั้น…ด้วยนิสัยคิดการณ์ทุกอย่างอย่างรอบคอบของพี่ใหญ่ที่ได้มาจากท่านลุงใหญ่แล้ว ก็ไม่น่าจะไม่ทิ้งเบาะแสใดๆ ไว้เลย เบาะแสนั้น…อยู่ที่ใดกันนะ
เยี่ยหลีหยิบกระดาษออกมาปูวางลงบนโต๊ะ พร้อมหยิบดินสอถ่านที่ใช้จนคุ้นมือออกมาขีดๆ เขียนๆ ลงบนกระดาษ ในหัวนึกถึงเรื่องที่เมื่อคืนนางได้อดหลับอดนอนอ่านข้อมูลด้านต่างๆ ที่แสนจะซับซ้อนของหนานเจียงที่องครักษ์ลับนำมาให้ มือนางขยับเขียนตารางโครงสร้างการแบ่งอำนาจของหนานเจียงลงบนกระดาษ รวมถึงวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยที่มีอำนาจต่างๆ ภายในเมืองหลวงของหนานจ้าว ไม่นาน บนกระดาษที่ไม่เล็กนักแผ่นนั้นก็เต็มไปด้วยเครื่องหมายต่างๆ พร้อมตัวอักษรหน้าตาประหลาดเขียนอยู่เต็มไปหมด
องครักษ์ลับสองมองสิ่งที่นางวาดอยู่บนกระดาษซึ่งตนไม่เข้าใจแม้แต่น้อย แต่มิได้เอ่ยปากถาม เยี่ยหลีวางดินสอในมือลง ตัวเยี่ยหลีเองมองกระดาษแผ่นหนั้นด้วยสีหน้าตกตะลึง นางมิได้ตั้งใจที่จะกันมิให้ผู้ใดเห็นกระดาษแผ่นนี้ เพราะอันที่จริงแล้ว ที่เขียนอยู่นี่ก็มิใช่ความลับอันใด ตนเพียงแค่นำข้อมูลที่ได้อ่านเมื่อคืนมาจัดเรียงใหม่อีกรอบหนึ่งเท่านั้น
นางมองกระดาษที่มีตัวอัษรของอย่างน้อยสี่แคว้นเขียนอยู่อย่างกระจัดกระจาย ในใจก็อดที่จะยิ้มขึ้นมาไม่ได้ อันที่จริงนางคิดถึงชีวิตอย่างเมื่อชาติที่แล้วของตนมาตลอด นางสามารถใช้ชีวิตอย่างพระชายาที่สงบเงียบเรียบร้อยได้แต่นางกลับไม่ชอบวิถีชีวิตเช่นนั้น ดังนั้นเมื่อนางออกจากเมืองหลวงมานางจึงตั้งใจที่จะหลบหลีกความคุ้มครองของม่อซิวเหยา และเลือกที่จะทำสิ่งที่สุ่มเสี่ยงมากเช่นนี้
เยี่ยหลีผลักความคิดที่ว้าวุ่นในหัวออกไป จ้องมองกระดาษบนโต๊ะอยู่เป็นนาน แล้วจึงได้ขมวดคิ้วเอ่ยถามว่า “เหตุใดถึงมิมีข้อมูลเกี่ยวกับธิดาเทพแห่งหนานเจียงเลย” ตารางที่เขียนอยู่บนกระดาษนั้น ทำให้เห็นได้ชัดว่าพวกนางยังขาดข้อมูลเกี่ยวกับธิดาเทพแห่งหนานเจียงที่เป็นบุคคลสำคัญของหนานเจียงอยู่อีกมากนัก ถึงแม้จะมีอยู่บ้างแต่ก็เป็นเพียงข้อมูลที่เอ่ยถึงผ่านๆ เป็นเพียงข้อมูลพื้นฐานและมิได้ต่างกับข้อมูลที่นางรับรู้เมื่อตอนอยู่ที่เมืองหลวงสักเท่าไร มีเพียงอายุและชื่อแซ่เท่านั้น แม้แต่รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรก็ไม่ชัดเจน หากธิดาเพทแห่งหนานเจียงกำลังแก่งแย่งชิงอำนาจกับรัชทายาทหญิงแล้วล่ะก็ ก็ไม่น่าที่จะมีข้อมูลเพียงน้อยนิดเช่นนี้
องครักษ์ลับสองกล่าวว่า “ธิดาเทพแห่งหนานเจียงได้รับการขนานนามว่าเป็นเทพที่คอยปกปักรักษาหนานเจียง ซึ่งมีการเคารพบูชากันที่ตำหนักธิดาแทพซึ่งอยู่นอกเมืองหนานจ้าวไปห้าลี้ นอกจากช่วงที่มีงานใหญ่หรือเทศกาลสำคัญจริงๆ แล้ว ธิดาเทพจะไม่เคยออกจากตำหนักไปที่ใด และตามปกติคนที่จะได้ใกล้ชิดกับธิดาเทพก็มีเพียงสาวใช้ตำหนักเทพสามสิบหกคนที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้าไปดูแลธิดาเทพเท่านั้น ธิดาเทพคนปัจจุบันชื่อซูม่านหลิน เข้ารับตำแหน่งเมื่ออายุสิบห้าปี แปดปีมานี้เคยออกจากตำหนักเทพสิบครั้ง และล้วนสวมหน้ากากไปด้วยทุกครั้ง ว่ากันว่าทั้งหนานจ้าวนี้นอกจากธิดาเทพคนก่อนที่เข้าไปอยู่ยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของหนานเจียงแล้ว ก็มิมีผู้ใดรู้ว่านางมีรูปร่างหน้าตาเช่นไรอีก”
เยี่ยหลีส่ายหน้า “ไม่มีทางเป็นไปได้ ธิดาเทพที่อยู่ในตำแหน่งแต่ไม่มีสิทธิ์อบรมสั่งสอนธิดาเทพองค์ถัดไป เช่นนั้นแล้วผู้ใดเป็นคนอบรมสั่งสอนธิดาเทพกัน ตอนเด็กๆ ผู้ใดเป็นคนเลี้ยงดูนาง พ่อแม่ของนางเป็นใคร อีกอย่าง…หากไม่เคยมีผู้ใดได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของธิดาเทพแล้ว เช่นนั้น…ใครจะกล้ารับรองว่าคนที่อยู่ใต้หน้ากากนั้นคือธิดาเทพตัวจริง”
“เรื่องนี้…” องครักษ์ลับสองก็ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
เยี่ยหลียกดินสอขึ้นเขียนตัวหนังสือสามสี่ตัวลงบนกระดาษ “ไปสืบข่าวเกี่ยวกับราชวงศ์หนานจ้าวและธิดาเทพแห่งหนานเจียงให้ละเอียดอีกที อย่าให้พลาดรายละเอียดของเบาะแสใดๆ ไปได้”
องครักษ์ลับสองเอ่ยรับคำ “ขอรับ ข้าน้อยจะรีบให้คนไปจัดการเดี๋ยวนี้ คุณหนูสงสัยว่า…ธิดาเทพแห่งหนานเจียง…”
เยี่ยหลีจับดินสอถ่านในมือเล่นพร้อมยิ้มน้อยๆ “หากธิดาเทพแห่งหนานเจียงแทบไม่เคยออกจากตำหนักไปที่ใดเลยจริง จะไปคบค้าสมาคมกับหลีอ๋องได้อย่างไร หลายปีก่อนที่หลีอ๋องมาเป็นทูตที่หนานเจียง ธิดาเทพแห่งหนานเจียงก็ไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน เช่นนั้น…”
องครักษ์ลับสองตาเป็นประกาย “พวกเขาลอบพบกันอย่างลับๆ การจะร่วมมือเป็นพันธมิตรกับหนานเจียงนั้นถือว่าสำคัญอย่างยิ่ง หลีอ๋องไม่มีทางส่งผู้อื่นมาเจรจาแทนเป็นแน่ อีกอย่าง ธิดาเทพแห่งหนานเจียงก็มิใช่คนที่จะพบหน้าได้ง่ายๆ เช่นนั้น”
เยี่ยหลีพยักหน้า นั่งเอนหลังพิงเก้าอี้พร้อมใช้ความคิด “ธิดาเพท…ฐานะเช่นนี้ช่างน่าประหลาดนัก อยู่ดีๆ ก็จับเอาเด็กสาวที่ไม่รู้ฐานะ ไม่รู้ที่มาที่ไป ไม่รู้ความสามารถมาดันให้ขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งที่คนหนานเจียงให้ความเคารพบูชา คนหนานเจียงนี่เชื่อคนง่ายเกินไปหรือเปล่า”
องครักษ์ลับสองส่ายหน้า แล้วยักไหล่พูดว่า “หากเป็นที่ต้าฉู่ของพวกเรา การหาผู้ใดสักคนมาแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาท ต่อให้เป็นพระดำรัสของฮ่องเต้เกรงว่าก็คงมิมีผู้ใดเคารพ”
“ตำแหน่งธิดาเทพแห่งหนานเจียงนี้ มีมานานพอๆ กับประวัติศาสตร์แคว้นหนานจ้าวหรือเปล่า”
“ไม่ถือว่ายาวนานนักขอรับ ก่อนที่หนานจ้าวจะสถาปนาแคว้นขึ้นนั้น แต่ละชนเผ่าต่างมีการปกครองเป็นของตนเอง ซึ่งต่างไม่เคยมีตำแหน่งที่เรียกว่าธิดาเทพมาก่อน แต่ที่แน่นอนคือ หลังจากที่หนานจ้าวสถาปนาแคว้นแล้ว ได้มีการให้บูรพาจารย์แห่งแคว้นในยามนั้น ที่ทำพิธีบูชาของราชวงศ์หนานจ้าว ให้เลือกธิดาเทพคนแรกขึ้นมา” องครักษ์ลับสองก้มหน้านึกย้อนไป
เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้น “ฟังดูแล้วหน้าที่ของธิดาเทพกับบูรพาจารย์แห่งแคว้นนั้นดูไม่ต่างกันเท่าไรนัก ดังนั้นตั้งแต่มีตำแหน่งธิดาเทพปรากฏขึ้น หนานจ้าวถึงไม่มีตำแหน่งที่เรียกว่าบูรพาจารย์แห่งแคว้นอีกเลย”
องครักษ์ลับสองพยักหน้า นิ่งคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า “การเป็นบูรพาจารย์แห่งแคว้นนั้นมิได้เข้มงวดเหมือนของธิดาเทพ แต่หน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบนั้นต่างกันไม่มากนัก เพียงแต่ สำหรับคนหนานเจียงแล้ว ธิดาเทพดูจะน่านับถือบูชากว่าบูรพาจารย์แห่งแคว้นมากนัก”
“เมื่อเทียบกับตาเฒ่าที่ชอบไปไหนมาไหนไปทั่วแล้ว คนทั่วไปมักชื่นชมเด็กสาวที่สวยงามและลึกลับยากจะคาดเดาเสียมากกว่า” เยี่ยหลีพูดอย่างเห็นด้วย
เช้าวันต่อมา เมื่อเยี่ยหลีกินอาหารที่สาวใช้ยกมาให้เรียบร้อยแล้ว ก็เตรียมพาองครักษ์ลับสองออกไปด้านนอก แต่กลับพบเข้ากับองค์หญิงอันซีที่ดูเตรียมจะออกไปด้านนอกเช่นเดียวกัน
“คุณหนูฉู่ นี่เจ้าจะออกไปข้างนอกหรือ” เยี่ยหลีเดินเข้าไปหานางด้วยรอยยิ้มอย่างคาดหวังและดูมีความกังวลใจ
“พี่องค์หญิง มีข่าวคราวของพี่ชิงเฉินแล้วหรือไม่”
องค์หญิงอันซีส่ายหน้าด้วยความเสียใจ “ขอโทษด้วย คุณหนูฉู่ ยามนี้ยังมิมีข่าวคราวของคุณชายชิงเฉินเลย”
เยี่ยหลีก้มหน้าลงด้วยความผิดหวัง แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “ไม่เป็นไร พี่ชิงเฉินจะต้องไม่เป็นไร ข้ากับหลินหานจะออกไปหาพี่ชิงเฉิน จะต้องหาเขาพบในเร็ววันแน่นอน”
“คุณหนูฉู่อยู่ที่หนานจ้าว ไม่คุ้นทั้งสถานที่และผู้คน คิดจะไปหาที่ใดหรือ”
เยี่ยหลีบิดนิ้วมือไปมาอย่างทำอันใดไม่ถูก แล้วจึงเอ่ยเสียงเบาว่า “ข้า…ข้าจะลองหาไปทั่วๆ ไม่แน่ว่า ไม่แน่ว่าอาจหาพบก็ได้”
องค์หญิงอันซีอดยิ้มออกมาไม่ได้ “หากคุณหนูฉู่รู้สึกเบื่อ จะเดินเที่ยวเล่นอยู่ในเมืองก็ยังได้ หรือหากมีที่ใดที่อยากไป ก็บอกให้คนในตำหนักมาช่วยนำทางให้ก็ได้เช่นกัน แต่ในหนานเจียงนี้มีสถานที่ที่มีอันตรายอยู่หลายแห่ง คุณหนูฉู่อย่าได้ไปเสี่ยงอันตรายเลย จะทำให้คุณชายชิงเฉินเป็นกังวลเปล่าๆ”
เยี่ยหลีพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว ขอบคุณพี่องค์หญิงมาก ท่านจะหาพี่ชิงเฉินพบโดยเร็วใช่หรือไม่ มิเช่นนั้นข้าเขียนจดหมายไปหาท่านลุงสวีจะดีกว่า พี่ชิงเฉินบอกว่าท่านลุงสวีเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในใต้หล้านี้ ท่านลุงจะต้องมีทางหาพี่ชิงเฉินพบแน่ๆ”
“ท่านหงอวี่หรือ” องค์หญิงอันซีอึ้งไปเล็กน้อย แล้วถามเสียงเบาขึ้น
เยี่ยหลียิ้มพร้อมพยักหน้าหนักๆ “พี่องค์หญิงก็รู้จักท่านลุงสวีหรือ พี่ชิงเฉินบอกท่านใช่หรือไม่”
องค์หญิงอันซียิ้มน้อยๆ แล้วพยักหน้าเรียบๆ “คุณหนูฉู่วางใจเถิด ข้ารับประกันว่าจะต้องหาตัวคุณชายชิงเฉินเจอในเร็ววันนี้แน่นอน หนทางในหนานเจียงนั้นยากลำบากนัก อย่าทำให้ท่านหงอวี่เป็นกังวลเลย มิเช่นนั้นคุณชายชิงเฉินหากคุณชายชิงเฉินรู้เข้าคงไม่สะบายใจเช่นกัน จริงหรือไม่”
เยี่ยหลีกะพริบตาปริบๆ มององค์หญิงอันซีด้วยความสับสนอยู่พักใหญ่แล้วจึงพยักหน้า “พี่องค์หญิงพูดถูก”
เมื่อมององค์หญิงอันซีเดินจากไปแล้ว เยี่ยหลีก็เดินออกจากประตูใหญ่ตามมาด้วยใบหน้าที่ระบายยิ้มอ่อนๆ “ให้ใครสะกดรอยตามองค์หญิงอันซีที”
“ขอรับ”
ภายในโรงเตี๊ยม หานหมิงซีเดินลงมายังห้องโถงใหญ่ด้วยใบหน้าอิ่มเอิบอย่างคนเพิ่งนอนตื่นใหม่ๆ ท่าทางเกียจคร้านแต่สง่างาม ทั้งยังมากด้วยเสน่ห์แตกต่างจากคนหนานเจียงทั่วไป จึงดึงดูดสายตาของทุกคนภายในโรงเตี๊ยมได้อย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าหานหมิงซีมิได้สนใจสายตาผู้อื่นที่มองมา เขาเดินลงมาอย่างเกียจคร้าน พร้อมเรียกเสี่ยวเอ้อที่เดินคอยรับใช้อยู่ในห้องโถงมาถามความว่า “เห็นคุณชายสองคนที่มาพร้อมกับข้าหรือไม่”
เสี่ยวเอ้อดูมีท่าทีงงงวย ก่อนรีบตอบว่า “เรียนคุณชาย คุณชายสองท่านนั้นออกไปข้างนอกตั้งแต่เช้าแล้วขอรับ ใช่สิ มีจดหมายฉบับหนึ่งถึงคุณชายด้วยขอรับ” เสี่ยวเอ้อรีบวิ้งไปยังโต๊ะด้านหน้า หยิบจดหมายจากหลงจู๊มาส่งให้หานหมิงซี
หานหมิงซีเลิกคิ้วขึ้น รับจดหมายมากวาดตาอ่าน แล้วขมวดคิ้วขึ้นมาอีกครั้ง “จวินเหวยนี่ช่างไม่มีมารยาทเอาเสียเลย มาทิ้งข้าหนีไปอย่างนี้ได้อย่างไร เหอะ บนโลกนี้ไม่มีใครที่ข้าหาไม่พบ” เขาพูดพร้อมกับม้วนจดหมายในมือแล้วยกขึ้น ลังเลเล็กน้อยก่อนจะเก็บจดหมายกลับเข้าแขนเสื้อไป เขาเดินออกไปด้วยความโกรธ เหลือเพียงแขกที่ยังเรียกสติกลับมาไม่ได้อยู่ภายในโรงเตี๊ยม