ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 83-3 ร่องรอยของสวีชิงเฉิน
ตกดึก ภายในตำหนักองค์หญิงอันซีเงียบสงบ มีเพียงไฟในห้องหนังสือที่ยังสว่างอยู่น้อยๆ ใบหน้าคมเข้มขององค์หญิงอันซีมีแววเหนื่อยล้า คิ้วเรียวขมวดมุ่นมองคนตรงหน้า “ชิงเฉินยังไม่ส่งข่าวมาอีกหรือ”
ชายหนุ่มส่ายหน้าพูดเสียงขรึมว่า “ยังพ่ะย่ะค่ะ”
องค์หญิงอันซีพูดด้วยความร้อนใจว่า “เกิดอันใดขึ้น หรือว่านางยังไม่เชื่อว่าพวกเราคิดว่าสวีชิงเฉินหายตัวไปจริงๆ อีก”
ชายหนุ่มพยักหน้า “เป็นไปได้มากพ่ะย่ะค่ะ ถึงแม้พวกเราจะส่งคนออกค้นหาคุณชายชิงเฉินไปทั่ว แต่เป็นไปได้มากที่นางจะคิดว่าพวกเราร่วมมือกับคุณชายชิงเฉินเล่นละครตบตานางพ่ะย่ะค่ะ”
“หวังว่าจะไม่เกิดอันใดขึ้นกับชิงเฉิน” องค์หญิงอันซีปิดตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน แล้วนวดคลึงหน้าผากที่ปวดตุบๆ เบาๆ “พวกเราเสียเวลากันไปมาก กว่าจะทำให้สถานการณ์กลับดีขึ้นมาเล็กน้อยได้ หากจะมาล้มเหลวในก้าวสุดท้ายเอาตอนนี้ เกรงว่า…ฝั่งเสด็จพ่อ…”
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว “ฝ่าบาทยังคงไม่ไว้พระทัยในองค์หญิงหรือพ่ะย่ะค่ะ”
องค์หญิงอันซียิ้มอย่างขมขื่น “เสด็จพ่อเพิ่งมีพระชันษาเพียงสี่สิบปี กำลังอยู่ในวัยที่แข็งแรง ต่อให้ท่านวางพระทัยในพวกเราก็คงมิให้การสนับสนุนพวกเราอยู่ดี ท่านจำเป็นจะต้องมีอำนาจอีกทางหนึ่งที่คอยกดรัชทายาทหญิงอย่างข้าไว้” หากไม่มีท่านพ่อคอยลอบถือหาง ครึ่งปีมานี้พวกนางจะพ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่าได้อย่างไร ทุกครั้งที่นางจะจับหางคนผู้นั้นได้ นางก็จะหลบหนีไปได้ทุกครั้ง “ตอนนี้ตราทหารก็ไปอยู่ในมือนางแล้ว หากเรามิได้ตราทหารกลับคืนมา จะทำอันใดก็คงไม่มีประโยชน์”
องค์หญิงอันซีไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่า เสด็จพ่อที่ทรงพระปรีชาสามารถมาโดยตอลด เหตุใดจะต้องถือหางผู้หญิงผู้นั้นให้ได้ แต่นางไม่สามารถทนเห็นนางทำเรื่องที่ประสงค์ร้ายต่อหนานจ้าวได้ ซึ่งนี่เป็นความรับผิดชอบของนางผู้ซึ่งเป็นรัชทายาทหญิงแห่งหนานจ้าว
“ยามนี้คุณชายชิงเฉินอยู่ที่ได้ พอสืบความได้หรือไม่” องค์หญิงอันซีเอ่ยถามขึ้น “หากไม่ได้จริงๆ ก็เชิญให้คุณชายกลับออกมาเถิด นี่เป็นเรื่องภายในของหนานจ้าว จะทำให้เขาลำบากไปด้วยไม่ได้”
ชายหนุ่มส่ายหน้า “เกรงว่าคงมิได้ ถึงแม้ตอนนี้พวกเราจะได้รับข่าวสารจากคุณชายชิงเฉินอยู่เป็นครั้งคราว แต่ทุกครั้งคุณชายชิงเฉินจะเป็นฝ่ายให้คนติดต่อพวกเรามา พวกเราไม่สามารถมั่นใจได้เลยว่าคุณชายชิงเฉินอยู่ที่ใด”
“สารเลว” องค์หญิงอันซีเอ่ยสบถขึ้น
“มีผู้บุกรุก!” มีเสียงร้องดังขึ้นจากทางด้านนอก องค์หญิงอันซีรีบลุกยืนขึ้น
ชายหนุ่มที่อยู่ด้านข้างดึงมีดที่พกไว้ข้างกายออกมาพร้อมผลักประตูเปิดออกทันที ก่อนกลับเข้ามาอย่างรวดเร็ว แล้วขมวดคิ้วพูดว่า “ไปทางเรือนรับรองแขกขอรับ”
องค์หญิงอันซีพูดว่า “เรือนแขกมีเพียงคุณหนูฉู่พักอยู่ ผู้บุกรุกจะเข้าไปหานางทำไม รีบไปดูเร็วเข้า” พูดจบก็รีบนำหน้าออกวิ่งไปยังเรือนแขกทันที ชายหนุ่มรีบปิดประตูลงแล้ววิ่งตามไป
ภายในห้องหนังสือที่กลับเงียบสงบลงอีกครั้ง หน้าต่างบานหนึ่งเกิดความเคลื่อนไหวขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็ถูกคนผลักให้เปิดออกพร้อมกับเงาดำเงาหนึ่งที่หมุนตัวเข้ามาด้วยความรวดเร็ว ภายใต้ผ้าปิดหน้าสีดำเป็นดวงตาที่งดงามคู่หนึ่ง ร่างในชุดดำนั้นรีบเดินไปยังข้างโต๊ะหนังสือพลิกดูม้วนกระดาษที่อยู่บนโต๊ะ อ่านอยู่รอบหนึ่งเมื่อดูไม่มีประโยชน์อันใดจึงย้ายไปค้นบนชั้นหนังสือที่อยู่ด้านหลังต่อ หนังสือที่เก็บอยู่ในห้องหนังสือขององค์หญิงอันซีมีไม่มากนัก โดยมากเป็นเอกสารทางราชการต่างๆ และโดยมากเป็นตัวหนังสือของหนานเจียง ค้นอยู่ครู่ใหญ่ ม้วนกระดาษที่หลบมุมอยู่ในจุดที่ไม่สะดุดตาที่สุดก็เข้ามาอยู่ในระยะสายตาของร่างในชุดดำนั้น สิ่งที่ดึงความสนใจนางมิใช่ตัวม้วนกระดาษ แต่เป็นตราประทับที่ปิดผนึกอยู่บนม้วนกระดาษนั้นที่เป็นรูปดอกขุย แววตาของร่างในชุดดำเป็นประกาย ในมือมีมีดเล่มบางปรากฏขึ้น ก่อนใช้มีดเล่มนั้นแกะส่วนที่ปิดผนึกอยู่ออก แล้วจึงรีบกวาดสายตาอ่านตัวอักษรที่อยู่บนกระดาษแผ่นนั้นทีเดียวสิบบรรทัด ดวงตาคู่งามมีรอยยิ้มขึ้นบางๆ แล้วจึงปิดผนึกม้วนกระดาษนั้นลงอีกครั้ง จัดการให้ห้องหนังสืออยู่ในสภาพเดิมแล้วจึงหมุนตัวออกนอกหน้าต่างไป
ในเรือนแขก เมื่อองค์หญิงอันซีมาถึงพร้อมองครักษ์ ก็ถูกองครักษ์ลับสองกันไว้ที่หน้าประตูทันที องครักษ์ลับสองมองทุกคนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “องค์หญิง ดึกดื่นเช่นนี้ท่านมีธุระอันใดหรือ”
องค์หญิงอันซีตอบว่า “เมื่อครู่มีผู้บุกรุกบุกเข้ามาในเรือนแขก คุณหนูฉู่เป็นอันใดหรือไม่”
“ผู้บุกรุกหรือ” องครักษ์ลับสองขมวดคิ้ว “ข้อน้อยอารักขาอยู่ที่หน้าประตูมาโดยตลอด แต่ไม่เห็นมีผู้บุกรุกเลยนะพ่ะย่ะค่ะ”
องค์หญิงอันซีอึ้งไป องครักษ์ในตำหนักของตนไม่มีทางโกหก อีกทั้งเมื่อครู่ตนเองก็เห็นเงาสามสี่เงาเข้าไปทางเรือนแขกจากที่ไกลๆ จริง เหตุใดองครักษ์ของคุณหนูฉู่จะต้องปฏิเสธเสียงแข็งด้วย “องครักษ์หลิน คุณหนูฉู่เป็นคู่หมั้นของคุณชายชิงเฉิน หากเกิดเหตุร้ายอันใดขึ้นกับนาง ข้าคงมิรู้จะพูดกับคุณชายชิงเฉินอย่างไร มิมีผู้บุกรุกบุกเข้ามาในเรือนแขกจริงๆ หรือ”
องครักษ์ลับสองสีหน้าเคร่งขรึมไม่เปลี่ยน พร้อมเอ่ยเสียงขรึมว่า “เมื่อครู่ที่เกิดเสียงดังที่ด้านนอก มีเงาดำสามสี่เงาเข้ามาใกล้จริง แต่ถูกอาวุธลับของข้าไล่ไปแล้ว หนึ่งในนั้นน่าจะมีคนบาดเจ็บอยู่ด้วย แต่ไม่มีคนเข้ามาในเรือนแขกแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ ชื่อเสียงของคุณหนูสำคัญนัก ขอองค์หญิงได้โปรดระวังคำพูดด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเห็นสีหน้าเคร่งขรึมขององครักษ์ลับสองแล้ว องค์หญิงอันซีถึงได้เข้าใจว่าเหตุใดองครักษ์ผู้นี้ถึงได้ยืนยันว่าไม่มีผู้บุกรุกบุกเข้ามาที่นี่ หญิงสาวของจงหยวนให้ความสำคัญกับเรื่องชื่อเสียงมากกว่าทางหนานเจียงอยู่มากจริงๆ
“ขอโทษด้วย องครักษ์หลิน ข้าพูดผิดไปเอง” นางหันไปโบกมือสั่งให้องครักษ์ที่ยืนอยู่ด้านหลังออกไปค้นหาผู้บุกรุก แล้วจึงหันมาพูดกับองครักษ์ลับสองว่า “เหตุวุ่นวายเมื่อครู่ทำให้คุณหนูฉู่ตกใจกลัวหรือไม่ เหตุใดตอนนี้จึงไม่เห็นคุณหนูฉู่ออกมาเลย”
องครักษ์ลับสองตอบเรียบๆ ว่า “คุณหนูอยู่ที่เรือนด้านใน อาจมิได้ยินเสียงวุ่นวายที่เกิดขึ้นด้านนอกพ่ะย่ะค่ะ”
องค์หญิงอันซีขมวดคิ้ว “ในเมื่อองครักษ์หลินไม่สะดวก เช่นนั้นข้าจะเข้าไปดูคุณหนูฉู่เองก็แล้วกัน หากเกิดตกใจกลัวขึ้นมาจริงๆ จะไม่ดี…”
“ไม่…”
“พี่องค์หญิง เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือเปล่าเพคะ”
ในขณะที่องครักษ์ลับสองกำลังจะปฏิเสธนั้น ก็มีเสียงของเยี่ยหลีดังขึ้นที่ด้านหลัง บนตัวของเยี่ยหลีมีเสื้อคลุมตัวใหญ่ห่มคลุมอยู่ ผมเงาสลวยยาวเคลียบ่า ทั้งยังมีประกายง่วงงุนอยู่ในแววตาอีกด้วย ข้างกายมีสาวใช้ที่องค์หญิงอันซีส่งให้มาคอยรับใช้ยืนถือตะเกียงอยู่ด้วย
องค์หญิงอันซียิ้ม “ไม่มีเรื่องอันใดหรอก เมื่อครู่มีพวกโจรบุกเข้ามาน่ะ รบกวนคุณหนูฉู่หรือไม่”
เยี่ยหลีเอียงหน้าลงหัวเราะเบาๆ อย่างน่ารัก “ข้าไม่กลัว วิทยายุทธ์ของหลินหานเก่งกาจนัก ตลอดทางมานี้ก็ได้เขาคอยคุ้มครอง หลินหาน ใช่หรือไม่”
องครักษ์ลับสองก้มศีรษะลงด้วยความเคารพ “ใช่แล้วขอรับ คุณหนูโปรดวางใจ ผู้บุกรุกเมื่อสักครู่มิได้เข้ามาที่นี่ ถูกข้าน้อยไล่ไปแล้วขอรับ”
เมื่อองค์หญิงอันซีเห็นว่าเยี่ยหลีดูมิได้มีอันใดผิดปกติ จึงได้พยักหน้าแล้วพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น คุณหนูฉู่พักผ่อนเถิด ข้าจะให้คนลองดูที่อื่นด้วยเผื่อมีใครหลุดรอดสายตาไป”
“เพคะ ลำบากพี่องค์หญิงแล้ว” เยี่ยหลียิ้มอย่างว่าง่าย เมื่อมองส่งองค์หญิงอันซีไปแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าของเยี่ยหลีก็ค่อยๆ หุบลง หันไปพูดกับสาวใช้ว่า “พวกเราก็กลับกันเถิด” สาวใช้รับคำ แล้วจึงเดินตามเยี่ยหลีกลับเข้าเรือนด้านในไป
เมื่อเข้าไปในห้องได้ไม่เท่าไรก็รู้สึชาขึ้นที่ด้านหลังก่อนนางจะตัวอ่อนฟุบลงไปอยู่ที่พื้น
องครักษ์ลับสองปรากฏตัวขึ้นเงียบๆ ที่หน้าประตู เยี่ยหลีเลิกคิ้วมองเขาพร้อมถามว่า “ผู้บุกรุกนั่นเรื่องอันใดกัน”
องครักษ์ลับสองตอบเสียงขรึมว่า “มีผู้บุกรุกจริงๆ ขอรับ น่าจะบุกเข้ามาหาคุณหนู” องครักษ์ลับสองเดินเข้ามาในห้อง โน้มตัวลงลากร่างในชุดดำออกมาจากใต้เตียง “มากันทั้งหมดสามคน พวกมันประมาทเกินไป ทั้งยังถูกองครักษ์ของตำหนักองค์หญิงพบเข้า หลังจากถูกอาวุธลับของข้าน้อยทำร้ายจนบาดเจ็บก็รีบหนีไปทันที เจ้านี่บาดเจ็บหนักที่สุด ถูกข้าน้อยจับไว้ได้ขอรับ”
เยี่ยหลียอบตัวลงมองร่างที่อยู่บนพื้น รูปร่างท่าทางเหมือนคนหนานเจียงทั่วไป ถึงแม้อยู่ในชุดดำที่ไว้ออกทำภารกิจยามค่ำคืน แต่กลับมิได้ปกปิดลักษณะพิเศษของตนไว้ “น่าจะมิใช่คนขององค์หญิงอันซี ฉู่หลิวอวิ๋นก็ไม่น่าจะมีศัตรูอยู่ในหนานเจียง ผู้กันที่กล้าตามมาเล่นงานถึงที่ตำหนักองค์หญิงนี้ได้”
องครักษ์ลับสองขมวดคิ้ว “เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะมีคนรู้ถึงฐานะของพวกเราแล้วขอรับ”
เยี่ยหลีส่ายหน้า “ไม่ถูก หากมีคนรู้ฐานะของพวกเรา ก็คงไม่ส่งผู้บุกรุกที่ฝีมือไม่ได้เรื่องสามสี่คนนี้มาหรอก เรื่องในคืนนี้ดูเหมือนเป็นการข่มขู่หรือไม่ก็…เพื่อยั่วยุองค์หญิงอันซี”
“ข่มขู่…ยั่วยุองค์หญิงอันซีหรือขอรับ เช่นนั้นจะด้วยเพราะคุณชายชิงเฉินหรือขอรับ” องครักษ์ลับสองเอ่ยคาดเดาขึ้น
เยี่ยหลีพยักหน้า พูดด้วยสีหน้าครุ่นคิดว่า “ข้าก็คิดเช่นนั้น ในหนานเจียงนี้ฐานะของฉู่หลิวอวิ๋นมีความเกี่ยวข้องกับพี่ใหญ่เพียงคนเดียวเท่านั้น เพียงแต่ การยั่วยุเช่นนี้ไม่ได้ทำให้เดือดร้อน จะมีประโยชน์อันใด เทียบกันแล้วมาจับตัวข้าเพื่อข่มขู่พี่ใหญ่น่าจะมีประโยชน์เสียกว่ากระมัง หากพี่ใหญ่อยู่ในมือของอีกฝ่ายล่ะก็”
“ด้วยความสามารถของผู้บุกรุกสามสี่คนนี้ ต่อให้ไม่มีข้าน้อย พวกมันก็ไม่มีทางพาใครออกไปจากตำหนักองค์หญิงได้อยู่ดี” ยังไม่ทันเข้าถึงเรือนแขกก็ทำให้องครักษ์ขององค์หญิงรู้ตัวเสียแล้ว ผู้บุกรุกเช่นนี้ฆ่าคนยังไม่ได้ เรื่องลักพาตัวยิ่งไม่ต้องพูดถึง “คุณหนูพอเดาได้ว่าผู้ใดเป็นคนทำหรือขอรับ”
เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “ตอนแรกก็ไม่รู้หรอก แต่ตอนนี้พอมีคนในใจแล้ว พรุ่งนี้ลองทดสอบความสามารถในการทรมานของเจ้าดู ถือโอกาสพิสูจน์ความคิดของข้าด้วย”