ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 87-3 ตัวตนถูกเปิดเผย
เมื่อเห็นเยี่ยหลีเดินประสานมือเข้ามาด้วยท่าทีสบายๆ แววตาบัณฑิตขี้โรคก็เป็นประกายขึ้นทันที “เจ้ามาจริงๆ เสียด้วย”
เยี่ยหลีค่อยๆ เดินเข้ามาด้วยสีหน้าเป็นปกติ นางกวาดสายตามองหานหมิงซีรอบหนึ่ง แล้วจึงค่อยๆ หันมองบัณฑิตขี้โรค “ท่านหัวหน้าหน่วยสาม พอข้ามแม่น้ำได้แล้วก็ทำลายสะพานทิ้งมิใช่นิสัยที่ดีเอาเสียเลยนะ”
บัณฑิตขี้โรคหรี่ตาลงเล็กน้อย ส่งเสียงเหอะพร้อมยิ้มอย่างโหดเ**้ย “ข้ามแม่น้ำแล้วทำลายสะพานทิ้งอย่างนั้นหรือ หากจะโทษก็ต้องโทษที่เจ้าละโมบเกินไป”
เยี่ยหลีเคาะพัดพับลงบนฝ่ามือพร้อมถอนหายใจ “ศีลธรรมของคนยุคนี้…ช่างไม่เหมือนกับในอดีตเอาเสียเลยจริงๆ เอาเถิด ถือเสียว่าคราวนี้ข้าโชคไม่ดีเองก็แล้วกัน บอกมาเถิด เจ้าจะทำเช่นไร แต่ไม่ว่าอย่างไร เจ้าปล่อยหานหมิงซีเสียก่อนดีหรือไม่ ข้ารู้ว่าเจ้าไม่กลัวหานหมิงเย่ว์ แต่ข้าคิดว่า…หลิงเถี่ยหานคงไม่ชอบนักที่เจ้าจะทำให้เทียนอี้เก๋อโกรธ”
“เจ้า…ใจกล้านักนะ ถึงขั้นคิดเอาพี่ใหญ่มาข่มขู่ข้า”
เยี่ยหลียิ้มพร้อมโบกพัดในมือ “เปล่าเลย เพียงแค่พอดีว่าข้ามีพี่ชายท่านหนึ่งที่เป็นสหายรักกับท่านเจ้าสำนักหลิงพอดี และที่พอดีไปกว่านั้นคือ ก่อนที่ข้าจะมาที่นี่ข้าได้บอกเขาเอาไว้แล้ว หากเกิดอันใดขึ้นกับพวกเราที่นี่ เขาจะได้กลับไปแจ้งข่าวการตายของข้ากับตระกูล และแน่นอนว่าจะไม่ลืมไปแจ้งข่าวนี้แก่คุณชายเฟิงเย่ว์และท่านเจ้าสำนักหลิงด้วย ท่านคิดว่าอย่างไร ศัตรูคู่แค้นเช่นนี้ มีน้อยไปสักคนก็เป็นเรื่องดีมิใช่หรือ”
บัณฑิตขี้โรคเหลือบมองหานหมิงซีที่อยู่ที่พื้น แล้วหันกลับมามองเยี่ยหลี “ได้ หานหมิงซีไปได้ ส่วนเจ้าอยู่ที่นี่”
เยี่ยหลีพยักหน้า “ไม่มีปัญหา”
หานหมิงซียังคงนั่งกับพื้นไม่ขยับไปไหน เยี่ยหลีจึงขมวดคิ้วถามว่า “เป็นอันใดไป บาดเจ็บหนักหรือ”
หานหมิงซีขมวดคิ้วพร้อมส่งเสียงเหอะทีหนึ่ง ผ้าบริเวณขาซ้ายมีสีแดงเข้ม เห็นได้ชัดว่าได้รับบาดเจ็บหนักพอสมควร เยี่ยหลีก้าวขึ้นหน้าไปสอบถามด้วยความเป็นห่วงว่า “หมิงซี ท่านเป็นอันใดมากหรือไม่”
หานหมิงซีเลยหน้าขึ้นมอง แล้วส่ายหน้า “ไม่เป็นไร…จวินเหวย เจ้าไม่ต้องสนใจข้า รีบไปเสีย”
เยี่ยหลียิ้มพร้อมส่ายหน้า “ท่านทำให้บัณฑิตขี้โรคโกรธเพราะข้า ข้าจะทิ้งท่านแล้วหนีไปก่อนได้อย่างไร หมิงซี ก่อนหน้านี้ข้าโกหกท่าน ถือว่าข้าทำไม่ถูก ท่านเรียกข้าด้วยชื่อที่แท้จริงเถิด ชื่อจวินเหวยนี้…อันที่จริงข้าก็ไม่ค่อยคุ้นชินกับมันนัก”
สีหน้าหานหมิงซีมีแววประหลาด ก่อนจะพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว”
เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “ข้าจะพยุงท่านลุกขึ้น…”
หานหมิงซีพยักหน้า ยกมือขึ้นยื่นไปทางมือเยี่ยหลีที่ยื่นมาให้
“อย่า!” การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในชั่วพริบตานั้นเอง ในขณะที่มือของหานหมิงซีกำลังจะจับเข้ากับมือของเยี่ยหลีนั้น ก็มีมือพุ่งเข้ามาหาเยี่ยหลีอย่างรวดเร็วประหนึ่งกรงเล็บเหยี่ยว ขณะที่เยี่ยหลียอบตัวลงต่ำพร้อมถอยไปด้านหลังนั้น มือที่เดิมเคยถือพัดอยู่นั้นก็มีประกายจากแผ่นเงินส่องแสงวาบขึ้น และเกือบจะพร้อมๆ กันนั้น ก็มีร่างๆ หนึ่งพุ่งตรงออกมาจากในถ้ำตรงเข้าหาเยี่ยหลีประหนึ่งสายฟ้าฟาด เยี่ยหลีขมวดคิ้วก่อนขว้างกริชในมือออกไปทันที
“แค่กๆ…” คนที่พุ่งตัวเข้าหาเยี่ยหลีนั้นหน้าตาเหมือนหานหมิงซีที่อยู่อีกด้านหนึ่งอย่างกับแกะ เพียงแต่ในเวลานี้สภาพเขาดูย่ำแย่เป็นอย่างมาก และมีรอยเลือดไหลออกมาจากมุมปาก “จวินเหวย…จวินเหวยเจ้าไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่”
เยี่ยหลีผลักคนที่อยู่บนตัวออกไป แล้วพูดเสียงเย็นด้วยความโกรธว่า “ข้าไม่เป็นไร คนที่จะเป็นคือเจ้าต่างหาก เจ้าโง่!” เมื่อครู่ฝ่ามือของคนที่อยู่ตรงข้ามกระแทกเข้ากลางแผ่นหลังเขาเข้าพอดี เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นกวาดสายตาคมประหนึ่งคมดาบไปยังร่างของอีกฝ่าย “คุณชายหมิงเย่ว์ ตอนนี้ท่านคงพอใจแล้วสินะ”
บนหัวไหล่ของหานหมิงซี…หานหมิงเย่ว์ มีกริชปักอยู่เล่มหนึ่ง ชุดสีแดงเข้มมีคราบของเหลวปรากฏขึ้น เขาจ้องมองคนที่เยี่ยหลีประคองอยู่ สายตาเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว “หานหมิงซี เจ้าชั่ว เจ้ากำลังทำอันใด ใครให้เจ้าออกมา”
หานหมิงซีทิ้งตัวพิงเยี่ยหลีอย่างไม่มีแรง ร่างของเยี่ยหลีที่เดิมทีก็ไม่สูงอยู่แล้ว เมื่อต้องมาเป็นหลักให้กับคนที่ร่างสูงโปร่งจึงดูทะลักทุเลไม่น้อย
หานหมิงซีเองก็กำลังจ้องชายหนุ่มที่รูปร่างหน้าตาเกือบเหมือนกับตัวเขาอย่างกับแกะอยู่เช่นเดียวกัน เขายิ้มอย่างยั่วโมโหพร้อมกล่าวว่า “ข้าบอกแต่แรกแล้ว ฝีมือการแสดงห่วยๆ ของเจ้ายังคิดอย่างจะแสดงเป็นข้า ตบตาจวินเหวยไม่ได้หรอก อีกอย่าง… ต่อให้ข้าชั่วอย่างไร ข้ากำไม่ชั่วเท่าเจ้าหรือ”
“บังอาจ! เจ้าคิดจะทิ้งชีวิตเพื่อคนที่เพิ่งรู้จักได้ไม่กี่วันนี่น่ะหรือ เจ้ารู้หรือไม่ว่านางคือผู้ใด” หานหมิงเย่ว์เอ่ยเสียงเย็น
หานหมิงซีอึ้งไป กัดฟันตอบว่า “ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็เป็นเพื่อนของข้า! ต่อให้เพิ่งรู้จักกันได้ไม่กี่วัน แต่ก็ดีกว่าท่าน อย่างน้อยจวินเหวยก็มาช่วยข้า เจ้าล่ะ…ทำอันใดอย่างเอาเป็นเอาตาย นอกจากข้าแล้วผู้ใดจะสนใจว่าเจ้าจะอยู่หรือตาย!”
เมื่อได้ฟังน้องชายที่กำลังโกรธเคืองพูดแล้ว หานหมิงเย่ว์ดูอึ้งไปไม่น้อย สีหน้าที่มองทั้งสองคนเต็มไปด้วยความสับสน เขาเรียกสติกลับมาได้อย่างรวดเร็ว หันมองเยี่ยหลีพร้อมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “พี่สะใภ้ รบกวนท่านช่วยปล่อยน้องชายข้าก่อน”
หานหมิงซีตัวเกร็งขึ้นทันที ก้มลงจ้องหน้าเยี่ยหลีด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ เขาจ้องหน้านางประหนึ่งอยากมองให้รู้ว่านางมีตรงใดที่ทำให้หานหมิงเย่ว์เรียกนางว่าพี่สะใภ้ได้
พักใหญ่จึงได้ฝืนยิ้มขึ้นอย่างยากลำบากแล้วพูดว่า “พี่ใหญ่ คมมีดคงมิได้ทำให้สมองท่านเลอะเลือนไปหรอกกระมัง เจ้าอย่าได้เที่ยวนับญาติไปทั่ว ข้ามิได้มีพี่ชายอีกคนเสียหน่อย”
หานหมิงเย่ว์หัวเราะเสียงเย็นขึ้น ชี้ไปทางเยี่ยหลี “หานหมิงซี เบิกตาเจ้าแล้วดูให้ดีๆ คนที่อยู่ตรงหน้าเจ้านั่นเป็นชายหรือ หรือว่าเจ้าเที่ยวเล่นอยู่ข้างนอกจนแยกหญิงชายไม่ออกแล้ว”
เยี่ยหลีพยุงหานหมิงซีไปนั่งลงอีกด้านหนึ่ง แล้วจึงค่อยๆ ถอยตัวออกมามองหานหมิงซีด้วยสายตาขอโทษ “พี่หาน ขอโทษด้วย ข้าโกหกท่าน”
หานหมิงซีจ้องหน้าเยี่ยหลีอยู่พักใหญ่แล้วจึงเบ้ปากด้วยความไม่เต็มใจ “เอาเถิด ข้ารู้แล้วว่าเจ้าเป็นหญิง เห็นแก่ที่พวกเราร่วมเป็นร่วมตายกันมา อย่างน้อยเจ้าก็ควรบอกข้าว่าเจ้าเป็นพี่สะใภ้คนใดใช่หรือไม่ ข้าไม่อยากฟังเจ้าสารเลวนั่นพูด!”
เยี่ยหลีหันหน้าไปมองบัณฑิตขี้โรคที่กำลังจ้องมองนางด้วยความโกรธแค้น กับหานหมิงเย่ว์ที่เอาแต่ทำหน้านิ่งอย่างไม่รู้กำลังคิดสิ่งใดอยู่ แล้วจึงเอ่ยเสียงต่ำขึ้นว่า “ข้าชื่อเยี่ยหลี”
“เยี่ยหลี…สวีชิงเฉินเป็นพี่ใหญ่ของเจ้า…ใช่แล้ว สวีชิงเฉินเป็นพี่ใหญ่ของเจ้าจริงๆ เจ้าคือคุณหนูสามตระกูลเยี่ย เจ้า…เจ้าคือ…!” หานหมิงซีจ้องหน้านางนิ่ง สีหน้าเขาดูย่ำแย่ประหนึ่งกลืนแมลงวันลงไป
คุณหนูสามตระกูลเยี่ยเขาเคยพบหน้ามาก่อน…แต่คำถามคือ ชายหนุ่มที่ดูหล่อเหลาตรงหน้านี้ เหมือนกับคุณหนูชนชั้นสูงที่แสนจะเจ้าเล่ห์และชอบวางท่าวางทางสง่างามผู้นั้นกันที่ตรงใดกัน! เขาได้สาบานไว้แล้วว่าจะอยู่ให้ห่างจากหญิงสาวผู้นั้น เหตุใดหลายวันนี้ยังคอยวนอยู่รอบตัวนางได้ “เจ้าหลอกข้า!” หานหมิงซีชี้หน้านาง
เยี่ยหลีได้แต่เอ่ยด้วยความเสียใจว่า “ขอโทษด้วย”
“ขอโทษก็พอแล้วหรือ ข้าต้องการการชดเชย ซวินหย่าเก๋อ ข้าต้องการอีกส่วนหนึ่ง!”
เยี่ยหลีพยักหน้าด้วยความยินดี “ไม่มีปัญหา”
หานหมิงซีหรี่ตาลง แล้วเอ่ยเงื่อนไขของตนต่อว่า “อย่างน้อยต้องมีน้ำหอมกลิ่นใหม่สี่ขวดทุกปี”
เยี่ยหลีลังเลเล็กน้อย แต่ก็พยักหน้า “ได้”
หานหมิงซีเอียงคอ มองหน้านางประหนึ่งกำลังประเมินว่าคำพูดของนางเชื่อได้หรือไม่ พักใหญ่จึงได้เชิดหน้าขึ้นพูดอย่างเย่อหยิ่งว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าจะฝืนใจยอมยกโทษเรื่องที่เจ้าโกหกข้าก็ได้ และจะยอมรับว่าเจ้า เยี่ยหลี เป็นสหายของข้า หานหมิงซี”
เยี่ยหลีไม่รู้จะยิ้มหรือร้องไห้ดี ได้แต่พูดออกไปว่า “ขอบคุณพี่หานที่ใจกว้างเช่นนี้”
หานหมิงซียังคงส่งเสียงเหอะๆ ด้วยความไม่พอใจ ก่อนหันไปปรายตามองหานหมิงเย่ว์ด้วยความดูแคลนว่า “เห็นแล้วใช่หรือไม่ ยังมีหน้ามาพูดว่าตนเองหาเงินเก่งอีก หากตระกูลหานหวังพึ่งเจ้า คงได้หิวตายกันโขยงใหญ่”
หานหมิงเย่ว์จ้องหน้าหานหมิงซีด้วยสีหน้าบึ้งตึง “พูดจาไร้สาระจบหรือยัง หากพูดจบแล้วก็ไสหัวหลบไปเสีย”
หานหมิงซีกลอกตาใส่เขา “เจ้าบื้อไปแล้วหรือ หญิงผู้นี้เป็นสหายของข้า เป็นคู่ค้าในอนาคตของข้า เจ้าลองทำอันใดนางดูสิ”
“หานหมิงซี!” หานหมิงเย่ว์เอ่ยเสียงดุดัน
“ข้ารู้ว่าข้าชื่ออะไร” หานหมิงซีเอนหลังพิงเนินเขาพร้อมเอามือแคะหูด้วยท่าทีเกียจคร้าน
“คุณชายหาน…พวกท่านรื้อฟื้นอดีตกันพอหรือยัง หากยังไม่ลงมือ อีกเดี๋ยวคนของตำหนักติ้งอ๋องมาถึงก็คงสายไปแล้ว” เสียงไม่พอใจของบัณฑิตขี้โรคดังขึ้นที่ด้านหลัง