ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 95-1 แม่ทัพใหญ่ผิงโค่ว
ใต้ต้นไม้ใหญ่ในเรือนเล็ก ม่อซิวเหยานั่งเอนหลังพิงต้นไม้สบายๆ สายตาทอดมองไปยังหญิงสาวรูปร่างบอบบางที่ฝึกปรือฝีมืออยู่กลางเรือน กริชประกายวาววัวในมือของเยี่ยหลีปรากฏให้เห็นบ้างไม่เห็นบ้าง เห็นเพียงร่างกายที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วไปตามต้นไม้ด้วยท่าทางต่างๆ ชั่วเวลาเพียงพริบตา ลำต้นที่เปรียบเสมือนลำคอและหัวใจที่เป็นจุดตายของร่างกาย ก็ปรากฏรอยฟันขึ้นอย่างชัดเจน
การฝึกฝนของเยี่ยหลีมิใช่การแสดงที่น่าดูนัก แต่เป็นการฝึกฝนที่เต็มไปด้วยรังสีสังหารอันดุดัน ทว่าในสายตาของทุกคนที่มองอยู่นั้น กลับน่าจับจ้องกว่าการร่ายรำใดๆ ในใต้หล้า องครักษ์ลับที่ซ่อนตัวอยู่ต่างยกมือลูบลำคอของพวกตนโดยไม่รู้ตัว พร้อมใคร่ครวญว่าพวกตนสามารถหลบหลีกคมกริชของพระชายาได้หรือไม่
เฟิ่งจือเหยาที่น้อยนักจะมีเวลาว่างก็ตัวเกร็งแข็งไปเช่นเดียวกัน ลอบมองม่อซิวเหยาที่นั่งมองนางด้วยสีหน้าราบเรียบจนเกือบเรียกได้ว่าอ่อนโยนอยู่ใต้ต้นไม้ คุณหนูชนชั้นสูงมีตั้งมากตั้งมาย แต่ดันมาเลือกพระชายาที่โหดร้ายเช่นนี้ให้ท่านอ๋อง ฝ่าบาท สายพระเนตรของท่านย่ำแย่เพียงใดกัน ที่หลีอ๋องชิงถอนหมั้นไปก่อนนันถือว่าทำถูกต้องแล้ว มิเช่นนั้นไม่ช้าก็เร็วเขาคงถูกพระชายาฆ่าตายเป็นแน่
เยี่ยหลีเก็บกริชในมือ ขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความไม่พอใจ แล้วจึงหมุนตัวเดินไปทางต้นไม้ที่ม่อซิวเหยานั่งอยู่
“ถึงแม้กำลังภายในของอาหลีจะพอใช้ได้ ทว่าวิทยายุทธการต่อสู้ระยะใกล้นั้นถือว่าวิเศษทีเดียว” ม่อซิวเหยาพยักหน้ายิ้มน้อยๆ เพียงแต่กำลังภายในนั้นมิใช่สิ่งที่สามารรถเพิ่มเติมได้ในเวลาอันสั้น ด้วยฐานะของเยี่ยหลี ศัตรูยอดฝีมือที่จะต้องให้นางลงมือด้วยตนเองนั้นมีอยู่ไม่มาก อย่างน้อยตอนนี้ฝีมือของเยี่ยหลีก็เก่งกาจกว่าที่ตนคาดไว้มากนักแล้ว
เยี่ยหลีขมวดคิ้วพยักหน้าน้อยๆ “หากกำลังภายในอ่อนด้อยเกินไปถือเป็นจุดอ่อน ข้าจะหาวิธีอื่นอีก หากเกิดต้องประมือกับยอดฝีมือขึ้นมา…ไว้ข้าจะลองกลับไปคิดดู”
เฟิ่งจือเหยามองนางด้วยความหวาดเกรง “พระชายามิได้กำลังจะบอกข้าว่า ฝีมืออย่างพระชายายังต้องคิดหาทางไว้เผื่อต้องประมือกับยอดฝีมือหรอกกระมังพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีเอามือเท้าคาง “นั่นคงต้องดูว่าฝีมือจะยอดเยี่ยมเพียงใด หากเพียงฝ่ามือเดียวก็สามารถพังห้องที่มีขนาดสิบจั้งได้แล้ว เช่นนั้นก็คงลำบากสักหน่อย”
เฟิ่งจือเหยากลอกตามองขึ้นฟ้า “มีผู้ใดเคยพบคนที่มีฝีมือพิสดารเช่นนั้นกันหรือ ไม่มีทางที่จะมีคนเก่งกาจถึงเพียงนั้นเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ” นางคิดว่าความสามารถคืออันใดกัน หนึ่งฝ่ามือที่สามารถตัดต้นไม้ต้นใหญ่ๆ ให้ขาดได้ ก็ถือเป็นกำลังภายในขั้นสุดยอดแล้ว จะให้พังห้องขนาดสิบจ้างอันใดกัน
เยี่ยหลีพยักหน้าด้วยความจริงจัง “ข้าก็คิดว่าไม่น่าจะมีคนที่มีความสามารถเช่นนั้นอยู่” เฟิ่งจือเหยาถามด้วยความใคร่รู้ว่า “ถ้าเช่นนั้นพระชายาอยากจะรับมือกับยอดฝีมืออย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีกะพริบตาปริบ ก่อนเอ่ยเรียบๆ ว่า “ด้วยความสามารถของข้า…หากต้องประมือกับยอดฝีมืออย่างท่านอ๋องแล้ว คงลำบากไม่น้อย แต่หากหวังเพียงให้รอดกลับมาโดยครบสามสิบสอง ก็คงมิใช่ปัญหา” ระหว่างพูด เยี่ยหลีอดไม่ได้ที่จะหันไปมองประเมินม่อซิวเหยา คนที่พิการมาเกือบสิบปี ต่อให้วิทยายุทธของม่อซิวเหยาไม่ถดถอยลง อย่างน้อยๆ ฝีมือของเขาก็ควรหยุดอยู่เท่ากับช่วงอายุสิบเจ็ดปีเท่านั้น แต่หลายวันนี้นางค้นพบแล้วว่า วิทยายุทธของม่อซิวเหยายังคงล้ำลึกยากจะคาดเดา อย่างน้อยหากต้องประมือกับเขา ตนคงไม่มีโอกาสชนะได้ ซึ่งข้อนี้ทำให้เยี่ยหลีที่ค่อนข้างมั่นใจในฝีมือของตนมาโดยตลอดรู้สึกหดหู่ไม่น้อย
เฟิ่งจือเหยาไม่รู้ว่าควรจะทำหน้าเช่นใดดี สีหน้าหดหู่และผิดหวังนั้นมันเรื่องอันใดกัน นางคิดว่าคนที่ต้องเผชิญหน้ากับท่านอ๋องแล้วสามารถรอดกลับไปได้อย่างครบสามสิบสองมีมากนักหรือ
“หากเป็นเช่นนั้น ฝีมือของพระชายาก็น่าจะเพียงพอแล้วพ่ะย่ะค่ะ เพราะถึงอย่างไร…ในใต้หล้ายามนี้คนที่มีวิทยายุทธพอฟัดพอเหวี่ยงกับท่านอ๋องก็มีอยู่ไม่เกินสามคนเท่านั้น” เฟิ่งจือเหยาเอ่ย
“สามคนไหนหรือ” เยี่ยหลีนึกสงสัย
เฟิ่งจือเหยาลูบจมูกพลางเอ่ยว่า “เจ้าสำนักเยี่ยนอ๋อง หลิงเถี่ยหาน เจิ้นหนานอ๋องแห่งแคว้นซีหลิง อีกคนคือยอดฝีมืออันดับหนึ่งของต้าฉู่ มู่ฉิงชัง เพียงแต่ในปีนั้นเจิ้นหนานอ๋องเสียแขนข้างหนึ่งไปในสนามรบ ไม่แน่ว่าวิทยายุทธอาจถดถอยลงได้ เพียงแต่คนเหล่านี้คงไม่ลงมือกับพระชายา ดังนั้นพระชายามิต้องเป็นกังวลไปพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีกลอกตาใส่เขา “ข้ามิได้เป็นโรคกลัวคนมาทำร้ายเสียหน่อย ที่ข้าต้องการพัฒนาฝีมือตนเองก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่จะมีคนมาทำร้ายข้า” เฟิ่งจือเหยายดมือขึ้นปาดเหงื่ออย่างอดไม่ได้ อย่างท่านยังต้องพัฒนาฝีมืออีกหรือ
“ต้องการอันใดให้คนไปจัดการได้เลย หากต้องการคนไปคัดจากองครักษ์ลับหรือเฮยอวิ๋นฉีก็ยังได้” ม่อซิวเหยาเอ่ยเสียงเบาขึ้น ในเมื่ออนาคตได้ถูกกำหนดไปแล้วว่าคงไม่สงบ เขาจึงไม่คัดค้านที่เยี่ยหลีจะใช้วิธีการใดก็ตามเพื่อพัฒนาฝีมือของนาง ต่อให้เพียงเพื่อป้องกันตนเองก็เถิด หากมีความสามารถเพิ่มขึ้นก็รับประกันความปลอดภัยได้อีกหนึ่งส่วน
เฟิ่งจือเหยาหันมองม่อซิวเหยาด้วยความตกใจ แล้วลอบยักคิ้ว ดูท่าท่านอ๋องคงจะให้ความสำคัญกับพระชายามากจริงๆ อย่างน้อย อำนาจที่เขาให้แก่พระชายาก็เป็นอำนาจที่นอกจากชายาติ้งอ๋องคนแรกแล้วชายาติ้งอ๋องคนอื่นๆ ไม่เคยมีผู้ใดได้มาก่อน ไม่สิ บางทีอาจไม่น้อยไปกว่าที่ชายาติ้งอ๋องรุ่นแรกได้ เสียด้วย เพราะดูเหมือนท่านอ๋องจะให้อำนาจบัญชาการหน่วยเฮยอวิ๋นฉีแก่พระชายาแล้ว
“เรียนท่านอ๋อง พระชายา ท่านแม่ทัพมู่หรงขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ และ…กองหนุนจากราชสำนักมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ที่รักษาการอยู่ที่หน้าประตูเอ่ยรายงานขึ้น
เฟิ่งจือเหยาเลิกคิ้ว “มาได้ไม่ช้าเท่าไรนี่ แม่ทัพท่านใดนำทัพมาหรือ”
องครักษ์รายงานว่า “ท่านแม่ทัพหลิว หลิวจิ้งอวิ๋นที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็นท่านแม่ทัพใหญ่ผิงโค่วขอรับ”
ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ ว่า “ให้พวกเขาเข้ามาเถิด” องครักษ์ลังเลเล็กน้อยก่อนกล่าวว่า “ท่านแม่ทัพหลิวยังมิได้เข้าเมืองมาเลยขอรับ”
“ต้องให้ข้าออกไปรับเขาด้วยตนเองหรือ” ม่อซิวเหยาเอ่ยถามเสียงใส แต่กลับทำให้คนฟังรู้สึกถูกบางสิ่งบางอย่างกดทับไว้
องครักษ์ผู้นั้นรีบคารวะพร้อมเอ่ยว่า “ข้าน้อยรับพระบัญชา!” แล้วจึงหมุนตัวรีบร้อนเดินออกไป จะให้ท่านอ๋องออกไปรับด้วยตนเองหรือ ล้อกันเล่นหรือไร
“หลิวจิ้งอวิ๋นนี่ผู้ใดกัน?” เฟิ่งจือเหยายกมือกุมขมับคิดหนัก หรือว่าหลายปีนี้ที่เขาเป็นหัวหน้าองครักษ์ลับนี่จะใช้การไม่ได้เอาเสียเลย เพราะแม้แต่แม่ทัพที่ฮ่องเต้ให้ความไว้วางพระทัยผู้นี้ยังไม่รู้ ม่อซิวเหยาเอ่ยเสียงเรียบ “ลูกชายสายรองของบุตรชายคนที่สี่ของเสนาบดีหลิ่วที่เสียชีวิตไปแล้ว เป็นทายาทลำดับที่สิบเอ็ดของตระกูลหลิ่ว ปีนี้น่าจะอายุยี่สิบเจ็ดปี”
เฟิ่งจือเหยาขมวดคิ้วเอ่ยว่า “หลานชายของหลิ่วกุ้ยเฟยหรือ ฝ่าบาทคงมิได้ถูกม่อจิ่งหลีทำให้โกรธจนเสียพระสติไปแล้วจริงๆ กระมัง ในราชสำนักใช่ว่าจะไม่มีคนแล้วสักหน่อย ถึงต้องส่งคนที่ไม่เคยแม้แต่จะออกรบมาปราบกบฏเช่นนี้ ต่อให้เชิญท่านฮว่ากั๋วกงผู้เฒ่ามาด้วยตนเองก็ยังดีกว่าส่งคนที่ทำอันใดไม่เป็นมานะ”
ม่อซิวเหยาส่ายหน้า “ฝ่าบาทไม่มีทางใช้คนตระกูลฮว่าให้ทำงานสำคัญ”
เฟิ่งจือเหยายิ้มเยาะอย่างดูแคลน “ดังนั้นพระองค์จึงใช้ตระกูลหลิ่วให้ทำงานใหญ่หรือ” เขาย่อมรู้ดีว่าฝ่าบาทคิดจะกดอำนาจตระกูลฮว่าไว้ มิเช่นนั้น เหตุใดฮองเฮาที่เป็นถึงบุตรสาวสายหลักคนโตของตระกูลหลิ่วจึงมีพระธิดาเพียงองค์เดียว ตอนนี้ตระกูลฮว่าอยู่ในยุคที่รุ่งเรืองที่สุดแล้ว หนำซ้ำในอดีตฮว่ากั๋วกงผู้เฒ่ามีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับม่อหลิวฟาง เช่นนี้แล้วฝ่าบาทจะไม่คิดกดตระกูลหลิ่วลงได้อย่างไร
“ในสายพระเนตรของฝ่าบาทแล้ว ตระกูลหลิ่วมีความภักดีต่อพระองค์มากกว่าตระกูลฮว่า และทรงสามารถควบคุมได้มากกว่า” ม่อซิวเหยาเอ่ยข้อเท็จจริงด้วยสีหน้าราบเรียบ
เฟิ่งจือเหยาพยักหน้า เอ่ยแดกดันขึ้นว่า “เป็นเช่นนั้นแน่ หากตระกูลหลิ่วมิได้จงรักภักดีต่อฝ่าบาท หลายปีมานี้จะเป็นที่โปรดปรานไม่ลดน้อยลงเลยได้อย่างไร” เรื่องขายบุตรสาวแลกเกียรติยศอันใดพวกนี้…ตระกูลฮว่าเทียบกับตระกูลหลิ่วไม่ได้เลยจริงๆ
“ฮ่องเต้ไม่มีทางให้คนที่ไม่รู้อันใดสักอย่างมานำทัพใหญ่จำนวนหลายแสนนายอย่างแน่นอน หลิ่วจิ้งอวิ๋นก็เป็นเพียงหมากที่มาออกหน้าเท่านั้น ในเมื่อตอนนี้ม่อจิ่งหลีคิดก่อกบฏ ฮ่องเต้ไม่มีทางไว้ใจตระกูลเยี่ยได้อีก จึงต้องหนุนหลังตระกูลหลิ่วเป็นธรรมดา เพียงแต่…ฝ่าบาทควรอาศัยช่วงเวลานี้ในการหนุนหลังขุมอำนาจใหม่เพื่อมาคานอำนาจกับตระกูลหลิ่ว” ม่อซิวเหยาเอ่ยขึ้นอย่างใจลอย ประหนึ่งมิได้นำเรื่องการศึกของเมืองหย่งหลินมาใส่ใจแล้ว “รอจนกองหนุนเดินทางมาถึง พวกเราก็จะไปจากหย่งหลินทันที ในเมื่อฝ่าบาทชอบถ่วงเวลานักก็ให้พระองค์ถ่วงเวลาไปเถิด ศึกครานี้คงไม่เสร็จสิ้นภายในสามหรือห้าเดือนเป็นแน่”
“มู่หรงเซิ่นคารวะท่านอ๋อง พระชายา” มู่หรงเซิ่นเดินเร่งฝีเท้าเข้ามาทำความเคารพ
ม่อซิวเหยาพยักหน้า “เชิญท่านแม่ทัพนั่งลงพูดธุระเถิด ท่านมาในยามนี้ด้วยมีเรื่องสำคัญอันใดหรือไม่”
มู่หรงเซิ่นพยักหน้าด้วยความลำบากใจ หันมองม่อซิวเหยาแล้วกล่วว่า “ได้ยินว่าท่านอ๋องจะไปจากเมืองหย่งหลินในวันนี้ ไม่รู้ว่า…ท่านอ๋องมีความเห็นเช่นไรต่อสถานการณ์ศึกในปัจจุบันของหย่งหลินบ้างพ่ะย่ะค่ะ”
ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วขึ้นยิ้ม “นี่ท่านแม่ทัพหมายความเช่นไร ในเมื่อกองหนุนจากราชสำนักมาถึงแล้ว ด่านซุ่ยเสวี่ยก็ย่อมปลอดภัยมิมีอันตราย”
มู่หรงเซิ่นได้แต่ทอดถอนใจ จ้องหน้าม่อซิวเหยาตรงๆ “ข้าน้อยเป็นคนตรงไปตรงมามาแต่ไหนแต่ไร ท่านอ๋องได้โปรดอย่าถือโทษ หากมีท่านอ๋องคอยช่วยเหลือ ข้าน้อยเชื่อว่าจะสามารถจัดการความวุ่นวายที่หลีอ๋องสร้างไว้ได้ภายในหนึ่งเดือน เพียงแต่เหตุใดท่านอ๋องถึง…”
ม่อซิวเหยาอมยิ้มส่ายหน้า “ท่านแม่ทัพ ประโยคที่ว่าเมื่อแม่ทัพอยู่ในสนามรบ ไม่จำเป็นต้องฟังพระบัญชา ท่านและข้าต่างเข้าใจเป็นอย่างดี เพียงแต่ฮ่องเต้ที่ยอมรับประโยคนี้ได้ ในประวัติศาสตร์มีอยู่เพียงไม่กี่พระองค์เท่านั้น แม่ทัพใหญ่ที่มีชื่อเสียงเหล่านั้น หากไม่ฟังพระบัญชาของฝ่าบาท สุดท้ายจะมีจุดจบเช่นไร เชื่อว่าท่านแม่ทัพคงรู้ดี”
“หลายวันนี้ทัพใหญ่ของหลีอ๋องเอาแต่ปักหลักเฉยอยู่ ข้าน้อยเป็นกังวลว่า หลีอ๋องจะเคลื่อนพลไปทางตะวันออก ถึงตอนนั้นเกรงว่าชาวบ้านในเขตตะวันออกเฉียงใต้คงต้องเข้าสู่ศึกสงคราม” มู่หรงเซิ่นเอ่ยขึ้นด้วยความหนักใจ ตัวเขาเป็นนักรบ จึงเข้าใจเรื่องการบริหารแคว้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ดังนั้นจึงคิดไม่ตกว่าเหตุใดทั้งๆ ที่มีวิธีการแก้ปัญหาที่ดีกว่า แต่กลับเลือกที่จะถ่วงเวลา ซึ่งกลับจะยิ่งทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน
ม่อซิวเหยาส่ายหน้าถอนหายใจ “สายไปแล้ว…ม่อจิ่งหลีแบ่งกำลังเป็นสองฝ่ายออกเคลื่อนพลไปทางตะวันออกเสียแล้ว อันที่จริงหลายวันนี้ที่ม่อจิ่งหลีเอาแต่ปักหลักไม่ยอมเคลื่อนพลไปที่ใด ก็ด้วยเพราะเกรงว่าตอนนี้ม่อจิ่งหลีคงจะไม่อยู่ในกองทัพแล้ว”
มู่หรงเซิ่นตกใจเป็นอย่างมาก “ถ้าเช่นนั้น เหตุใดท่านอ๋องถึงไม่ขวางไว้หรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านแม่ทัพ…” รอยยิ้มของม่อซิวเหยามีแววขมขื่น พอมู่หรงเซิ่นกล่าวเช่นนี้ออกมาก็รู้สึกเสียใจขึ้นทันที ในสายพระเนตรของฮ่องเต้แล้ว ตำหนักติ้งอ๋องน่าเกรงกลัวเสียยิ่งกว่ากองทัพกบฏของหลีอ๋องเสียอีก แล้วพระองค์จะทรงอนุญาตให้ติ้งอ๋องยื่นมือเข้ามายุ่งในเรื่องของหลีอ๋องได้อย่างไร เกรงว่าแค่เพียงกองทัพตระกูลม่อเคลื่อนพล ฮ่องเต้คงได้อ้างเหตุผลเรื่องการขัดพระบัญชามาพระราชทานโทษให้กับติ้งอ๋องเป็นแน่ ถึงตอนนั้น…กองทัพตระกูลม่อหลายแสนนาย…มู่หรงเซิ่นอดรู้สึกหนาวสะท้านขึ้นมาไม่ได้ จนมิกล้าคิดต่อ
“ศึกทางฝั่งตะวันออกเฉียงใต้คงเกิดขึ้นแน่แล้ว ท่านแม่ทัพเพียงรักษาการอยู่ที่ด่านซุ่ยเสวี่ย อย่าให้กองทัพหนานจ้าวข้ามด่านมารวมกับหลีอ๋องได้เป็นใช้ได้ ส่วนกองทัพใหญ่ของหลีอ๋องที่เขตหย่งโจว ไม่เกินหนึ่งเดือนจะต้องผละออกจากหย่งโจวเป็นแน่”