ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 94-3 อาคันตุกะจากแคว้นซีหลิง
ที่พำนักชั่วคราวของพวกเขาเป็นจวนของคหบดีผู้หนึ่งในเมืองหย่งหลิน ซึ่งเจ้าของได้หนีขึ้นไปทางตอนเหนือของแม่น้ำตั้งแต่ก่อนที่เมืองหย่งหลินจะถูกล้อมไว้แล้ว คนมีเงินมักเกรงกลัวความตายมากกว่าคนทั่วไป
ห้องหนังสือของเรือนหน้ามีพื้นที่ค่อนข้างกว้าง และมีห้องนอนไว้สำหรับพักผ่อน ดังนั้นเมื่อคืนที่ม่อซวิเหยาพักผ่อนอยู่ที่ห้องหนังสือ เยี่ยหลีจึงมิได้นึกสนใจเท่าใดนัก เพราะถึงอย่างไรเขาก็เพิ่งเดินทางมาถึงหย่งหลิน เรื่องที่เขาต้องจัดการยังมีอีกมากนัก เพียงแต่หลังจากได้พบเฟิ่งจือเหยา เยี่ยหลีจึงเพิ่งนึกได้ว่า ตนยังไม่ได้พบหน้าม่อซิวเหยาอีกเลยตั้งแต่เมื่อคืนที่เดินทางกลับถึงหย่งหลิน จนตอนนี้ก็บ่ายคล้อยแล้ว อาหารเช้าและอาหารกลางวัน นางก็กินอยู่คนเดียว หากม่อซิวเหยายุ่งถึงเพียงนี้จริง ก็ไม่มีเหตุผลที่เฟิ่งจือเหยาจะเดินเรื่อยเปื่อยอยู่บนกำแพงเมือง อีกอย่างเมื่อยามที่อยู่เมืองหลวง ม่อซิวเหยาให้นางช่วยจัดการธุระนั่นนี่ เขาก็ดูไม่มีทีท่าละอายใจให้ได้เห็นแม้แต่น้อย
เมื่อก้าวเข้าไปในห้องหนังสือ ไม่มีคนอยู่จริงดังคาด เยี่ยหลีจึงเร่งฝึเท้าเดินไปยังห้องนอนที่อยู่ด้านหลังห้องหนังสือ ยังไม่ทันเข้าประตูก็ได้ยินเสียงของตกแตกดังมาจากด้านใน จึงรีบวิ่งเข้าไปด้านในทันที
เข้าประตูไป ภาพที่เห็นทำให้หัวใจเยี่ยหลีกระตุกขึ้นมาทันที บุรุษที่องอาจและสง่างามในสนามรบเมื่อวานนี้ กลับล้มอยู่กับพื้นอย่างน่าเวทนา ผ้าห่มบนเตียงถูกดึงทึ้งจนขาดเป็นเสี่ยงๆ มีเศษผ้ากระจายอยู่ทั้งบนเตียงและใต้เตียง ดอกไม้ที่วางอยู่ข้างเตียงกระจัดกระจายอยู่ตามพื้น ถัดไปยังมีเศษเครื่องเคลือบกระจายเกลื่อนอยู่ ดวงตาทั้งสองข้างของม่อซิวเหยาปิดสนิท ชุดที่สวมอยู่เปียกชื้นประหนึ่งเพิ่งขึ้นจากน้ำ นิ้วมือทั้งสิบนิ้วมีคราบเลือดปรากฏให้เห็น
“อาหลี ออกไป…” เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า ม่อซิวเหยามิได้เงยหน้าขึ้นมา เพียงเอ่ยเสียงเรียบขึ้นเท่านั้น
เยี่ยหลีชะงักฝีเท้า แต่กลับไม่หยุดเดินหรือหมุนตัวเดินจากไป เพียงเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปประคองเขาขึ้นมา “ดีขึ้นแล้วหรือไม่”
ม่อซิวเหยาพยักหน้าอย่างเหนื่อยอ่อน ยอมให้เยี่ยหลีประคองเขากลับขึ้นไปนอนบนเตียง แล้วจึงยิ้มขื่นพร้อมกล่าวว่า “อาหลี ดูเหมือนข้ามักจะให้เจ้าเห็นข้าในสภาพที่น่าเวทนา…”
เยี่ยหลีเอ่ยเรียบๆ ว่า “ครานี้เป็นเพราะท่านหาเรื่องใส่ตัวเอง พวกเรา…พวกเราเป็นสามีภรรยากันมิใช่คนแปลกหน้า ไม่มีทางที่จะเห็นแต่ด้านที่สมบูรณ์พร้อมของกันและกันไปได้ตลอดมิใช่หรือ”
ม่อซิวเหยาหลับตาลงยิ้มน้อยๆ “ควรกล่าวว่าเจ้าไม่เคยเห็นข้าในสภาพที่สมบูรณ์พร้อมมาก่อนถึงจะถูก” สภาพที่สมบูรณ์พร้อมของเขานั้น หายไปตั้งแต่ก่อนที่จะได้พบนางแล้ว
เยี่ยหลียื่นมือไปจับมือมือของเขาที่แข็งเกร็งด้วยความเจ็บปวด ยิ้มพร้อมเอ่ยถามเรียบๆ ว่า “เกิดอันใดขึ้น เมื่อวานยังดีๆ อยู่เลยมิใช่หรือ” นางก้มลองมองเล็บมือที่มีคราบเลือดแห้งๆ กับฝ่ามือที่มีรอยแผลปรากฏอยู่ แล้วจึงเอ่ยถามเสียงเบาว่า “เริ่มมีอาการตั้งแต่เมื่อใด”
ดูเหมือนความเจ็บปวดจะค่อยๆ ทำให้ม่อซิวเหยาว่าง่ายอย่างประหลาด ครู่หนึ่งจึงเอ่ยปากตอบว่า “เมื่อตอนใกล้ฟ้าสาง…”
มือเยี่ยหลีชะงักไป รู้สึกเจ็บปวดขึ้นที่หัวใจ นี่ก็ล่วงเข้าสู่ปลายยามเว่ยแล้ว เป็นมาตลอดเจ็ดชั่วยามเลยหรือ
“ไม่เจ็บแล้วก็นอนพักสักหน่อยเถิด”
ครานี้ม่อซิวเหยาไม่ได้พูดอันใดอีก ลมหายใจยาวสม่ำเสมอแสดงว่าเขาได้เข้าสู่นิทรารมณ์แล้ว ทว่าต่อให้แม้อยู่ในห้วงความฝัน คิ้วของเขาก็ยังขมวดเข้าหากันเล็กน้อย และบางครั้งก็มีสีหน้าเจ็บปวดปรากฏให้เห็น
เยี่ยหลีลุกขึ้นคิดอยากจะนำผ้าห่มผืนใหม่มาห่มให้เขา แต่กลับพบว่ามือของตนถูกมือของม่อซิวเหยาจับไว้แน่นจนไม่อาจขยับไปไหนได้ จึงได้แต่กลับนั่งลงอีกครั้ง ขมวดคิ้วมองชุดของเขาที่ยังคงเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ หวังว่านี่จะไม่ทำให้เขาเป็นหวัดไปอีก แต่นางก็มิอาจทำใจปลุกเขาให้ตื่นขึ้นมาตอนนี้ได้ ยิ่งเมื่อเห็นรอยคล้ำใต้ดวงตาของเขาแล้ว ก็รู้ว่าเขามิได้พักผ่อนดีๆ มานานแล้ว
จนเมื่อพระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า ม่อซิวเหยาจึงได้ตื่นขึ้นจากการหลับไหล ถึงแม้จะหลับไปเพียงไม่ถึงสองชั่วยาม แต่กลับรู้สึกดีขึ้นกว่าก่อนหน้านี้มาก ม่อซิวเหยาถอนหายใจออกมาโดยไม่รู้ตัว ครานี้ถือว่าผ่านไปแล้ว
“ท่านตื่นแล้วหรือ” เสียงของเยี่ยหลีดังลอยมาจากด้านนอก ม่อซิวเหยาเงยหน้าขึ้นก็เห็นเยี่ยหลีเดินถือถาดเข้ามา เมื่อวางถาดลงบนโต๊ะแล้วจึงได้เงยหน้าขึ้นมาพูดกับเขาว่า “ในเมื่อตื่นมาแล้วก็ไปอาบน้ำอาบท่าก่อน แล้วค่อยมากินข้าวเถิด”
ม่อซิวเหยาอึ้งไปเล็กน้อย “อาหลี เจ้า…”ภาพเหตุการณ์ก่อนที่เขาจะหลับไปค่อยๆ กลับเข้ามาในหัว ในช่วงที่เขากำลังมึนงงกับความเจ็บปวดที่ไม่ทุเลาลงเลยแม้สักนิด น้ำเสียงราบเรียบของเยี่ยหลีค่อยกลับเข้ามาในความทรงจำอย่างชัดเจน ช่วยปลอบประโลมจิตใจที่ใกล้จะแตกซ่านของเขาได้อย่างประหลาด จากนั้นเขาจึงค่อยๆ หลับไปท่ามกลางเสียงที่ราบเรียบนั้น
เมื่อเยี่ยหลีเห็นว่าเขาเอาแต่มองนางโดยไม่พูดอันใด จึงเดินเข้าไปถามด้วยความเป็นห่วงว่า “เป็นอันใดไป ยังมีตรงใดไม่สบายหรือเปล่า ข้าให้คนไปเชิญท่านหมอมาดีหรือไม่”
ม่อซิวเหยาจับมือนางไว้ “ไม่เป็นไร เพียงแค่นอนนานไปจึงยังสลึมสลืออยู่เท่านั้น ตอนนี้ยังเรียกท่านหมอเข้ามาไม่ได้”
เยี่ยหลีไม่เชื่อคำโกหกตื้นๆ ของเขา เกรงว่าแม้แต่ในยามฝันก็ไม่มียามนี้ที่ม่อซิวเหยาสลึมสลือไปได้ “เช่นนั้นไปอาบน้ำอาบท่าก่อนก็แล้วกัน ข้าจะให้คนไปเตรียมให้” ม่อซิวเหยาก้มหน้าลงมอง ก็พบว่าตนสมควรที่จะไปอาบน้ำอาบท่าแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อนจริงๆ
ม่อซิวเหยาอาบน้ำแต่งตัวเสร็จอย่างรวดเร็วแล้วจึงพาตัวเองที่เต็มไปด้วยกลิ่นสะอาดสะอ้านออกมา เยี่ยหลีลุกเดินไปหา เมื่อเห็นว่าเขาใส่ชุดบางๆ เพียงชั้นเดียว จึงหันไปหยิบเสื้อคลุมมาห่มคลุมให้
ม่อซวิเหยามองนางอย่างช่วยไม่ได้ “อาหลี ข้ายังมิได้อ่อนแอขนาดโดนลมไม่ได้เลยนะ” เยี่ยหลีพยักหน้า เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ใช่แล้วเพคะ แค่โดนลมไม่ได้เมื่อเทียบกับท่านแล้วยังถือว่าเบาไปด้วยซ้ำ นั่งลง กินข้าวเถิด” เยี่ยหลียัดโจ๊กข้นๆ หอมๆ ใส่มือเขา แล้วนั่งมองเขากิน
ม่อซิวเหยาจึงจำต้องก้มหน้าลงชิมคำหนึ่ง ไม่เพียงกลิ่นเท่านั้นที่หอมเตะจมูก เมื่อกินเข้าไปรสชาติก็ดีมากเช่นกัน ม่อซิวเหยาที่ไม่ได้กินอันใดเลยมาตั้งแต่เมื่อคืนวานรู้สึกอุ่นท้องขึ้นมาทันที ความอยากอาหารที่หายไปจากความเหนื่อยล้าและความเจ็บปวดก็ค่อยๆ กลับมา “ไม่เหมือนที่พวกเขาเคยทำเลย”
เจ้าของจวนแห่งนี้ไม่ได้อยู่ที่นี่เสียนานแล้ว บ่าวไพร่ก็ย่อมไม่อยู่ที่นี่ด้วย เมื่อม่อซิวเหยากัยเยี่ยหลีมาอยู่ที่นี่ก็มิอาจใช้คนนอกที่ไม่เคยรู้ประวัติมาก่อนได้ ดังนั้นเรื่องที่พักและข้าวปลาอาหารจึงเป็นหน้าที่ขององครักษ์ลับ ถึงแม้องครักษ์ลับของตำหนักติ้งอ๋องจะผ่านการฝึกฝนมามากมาย แต่อาหารที่ทำออกมาก็อยู่ในระดับที่พอกินได้เท่านั้น
เยี่ยหลีเท้าคางมองเขากินอาหาร “ข้าทำเอง ไม่อร่อยหรือเพคะ”
ม่อซิวเหยาชะงักมือไปเล็กน้อย ส่ายหน้าพร้อมยิ้มน้อยๆ “ไม่เลย อร่อยมาก”
เยี่ยหลีพยักหน้าด้วยความพอใจ ฝีมือการทำครัวของนางมิได้ดีนัก แต่หากเป็นอาหารพื้นๆ หรือต้มโจ๊กนั้นนางพอทำได้ โจ๊กไก่ชามนี้ต้มอยู่หนึ่งชั่วยามเต็มๆ นางชิมเองแล้วก็รู้สึกว่ารสชาติพอใช้ได้จริงๆ
“อาหลีมีเรื่องอันใดจะคุยกับข้าหรือ” เมื่อเห็นว่าเยี่ยหลีเอาแต่จ้องตนเขม็ง ม่อซิวเหยาจึงวางถ้วยโจ๊กในมือลงแล้วเอ่ยถามขึ้น
เยี่ยหลีรับถ้วยโจ๊กมาตักให้เขาเพิ่มอีกถ้วยหนึ่ง พร้อมเอ่ยว่า “ส่วนตัวข้าเห็นว่า ไม่ว่าเรื่องใดก็ตามไม่ควรที่ผู้ใดผู้หนึ่งจะแบกรับไว้คนเดียว อีกทั้งนั่นมิใช่การปฏิบัติตัวต่อกันระหว่างสามีภรรยา ท่านอ๋องเห็นว่าอย่างไรหรือ”
ม่อซิวเหยาได้แต่รับถ้วยโจ๊กที่นางจับยัดใส่มือเขามา แล้วถอนหายใจเบาๆ “เจ้ารู้แล้ว…อาหลี เรื่องนี้ไม่ใช่เป็นเพราะเจ้า…เจ้ารู้ดี ตอนนี้พิษในกายข้ายังมิอาจถอนออกไปได้ ไม่ช้าก็เร็วอย่างไรวันนี้ก็ต้องมาถึง”
“จะเป็นเพราะข้าหรือไม่ แต่อย่างไรเรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้วมิใช่หรือ ที่ข้าจะพูดคือ…ท่านอ๋องที่ท่านขังตนเองอยู่ในห้องคนเดียวเช่นนี้ไม่กลัวว่าท่านจะเกิดรับไม่ไหวแล้วตายไปหรือ” เยี่ยหลีเลิกคิ้วถามขึ้น
“ข้าไม่หรอก” ม่อซิวเหยาตอบ “ข้าไม่ตายหรอก หญ้าเฟิ่งหวงเอาชีวิตข้าไปไม่ได้ ท่านเสิ่นก็เคยพูดไว้ มันเพียงทำให้ข้าเจ็บปวดขึ้นบ้างเท่านั้น”
เพียงเจ็บปวดขึ้นบ้าง…เยี่ยหลีอดคิดอยากที่จะเอาสมองเขามาผ่าออกดูว่าข้างในมีอันใดอยู่เสียให้ได้
“อาหลี เจ้ารู้ดีว่านี่เป็นสถานการณ์ที่ดีที่สุดในตอนนี้แล้ว หากท่านเสิ่นนำหญ้าเฟิ่งหวงกลับมาไม่ได้…” เช่นนั้นเขาก็คงนำทัพมาช่วยเมืองหย่งหลินไม่ทัน ด่านซุ่ยเสวี่ยคงถูกตีแตก คนของหนานจ้าวคงได้ผ่านเข้ามาในด่าน อาหลี…
“ต่อไปข้าจะอยู่เป็นเพื่อนท่าน” เยี่ยหลีเอ่ยขึ้นเรียบๆ
“…ตกลง”