ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 116-2 การฝึกซ้อมในหุบเขา

ตอนที่ 116-2 การฝึกซ้อมในหุบเขา

ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 116-2 การฝึกซ้อมในหุบเขา

เยี่ยหลีหันมองทหารที่เหลืออยู่ เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ไม่ต้องห่วงพวกเขาหรอก ข้าไม่มีทางส่งพวกเขาไม่ตายแน่ ยามนี้คนที่พวกเจ้าควรเป็นห่วงคือตัวพวกเจ้าเอง ต่อจากนี้สิ่งที่พวกเจ้าต้องเรียนรู้คือการฝึกอันหนักหน่วง ฝึกว่ายน้ำในชุดเครื่องแบบทหาร ฝึกการใช้ชีวิตอยู่ในป่า ฝ่าวงล้อม ตอบโต้การฝ่าวงล้อม หลบซ่อนและตอบโต้การหลบซ่อนตัว แล้วยังมีฝึกการแฝงตัว และการสืบหาข่าวด้วย หัวหน้าผู้ฝึกสอนของพวกเจ้าจะมาถึงพรุ่งนี้เช้า และการทดสอบครั้งสุดท้ายกำหนดไว้ในอีกสองเดือนต่อจากนี้ ข้าจะบอกให้พวกเจ้ารู้ถึงบททดสอบสุดท้ายไว้ก่อนเพื่อให้พวกเจ้าเตรียมใจรอเอาไว้ พกเสบียงอาหารหนักสี่สิบจินสำหรับการใช้ชีวิตอยู่ในป่าเป็นเวลาเจ็ดวัน เป้าหมายของภารกิจคือ ลอบโจมตีกองทัพหน่วยเฮยอวิ๋นฉีและองครักษ์ลับจำนวนหกร้อยนายที่ตั้งค่ายอยู่ห่างออกไปหนึ่งพันสองร้อยลี้ โดยมีเงื่อนไขคือ ระหว่างทางจะมีกองกำลังสองหน่วยออกค้นหาและลอบโจมตีพวกเจ้าได้ตลอดเวลา ไม่อนุญาตให้ขโมยเสบียงอาหาร วัวหรือม้าของชาวบ้านที่อาศัยอยู่ระหว่างทาง ไม่อนุญาตให้เปิดเผยตัวตน คนที่ถูกทหารหรือทหารที่ตั้งค่ายอยู่จับตัวได้จะต้องออกจากการทดสอบ ผู้ที่ถูกโจมตี จับตัวไปได้หรือได้รับบาดเจ็บสาหัสจะต้องออกจากการทดสอบ และผู้ที่ไม่สามารถปฏิบัติภารกิจได้ตามเวลาที่กำหนดก็ต้องออกจากการทดสอบเช่นกัน เข้าใจหรือไม่”

ทหารในลานฝึกทุกคนต่างหน้าถอดสี เดิมทีพวกเขาก็คิดว่าการฝึกของตนเองทรหดมากพออยู่แล้ว แต่คุณชายฉู่มักเข้าใจสรรหาวิธีมาทำให้พวกเขาย่ำแย่ลงกว่าเดิม หากเทียบกับสิ่งที่จะตามมาแล้ว การฝึกในยามนี้ช่างดูน่ารื่นรมย์กว่านัก

เยี่ยหลีเลิกคิ้วเหลือบมองพวกเขา “พวกเจ้าควรนึกขอบคุณที่ยามนี้มิใช่ฤดูหนาว มิเช่นนั้นพวกเจ้าคงต้องลำบากกว่านี้ แต่ไม่ต้องกังวลไป ฤดูหนาวปีนี้ข้าจะจัดการฝึกเสริมให้พวกเจ้า หรือว่า…จะเพิ่มการฝึกต้านทานแสงแดดที่แผดเผาด้วยดีหรือไม่นะ”

ไม่เอา…นี่เป็นเสียงที่ดังขึ้นในใจนายทหารทุกนาย เยี่ยหลีก็ไม่ทำให้พวกเขาลำบาก “อยู่ทางภาคเหนืออากาศเช่นนั้นก็มิได้มีประโยชน์อันใดนัก ปีนี้คาดว่าคงไม่มีโอกาสแล้ว ไว้รอให้พวกเจ้าผ่านการทดสอบก่อนแล้วปีหน้าหากมีโอกาสจะพาพวกเจ้าและเพื่อนทหารคณะใหญ่กว่านี้ลงไปฝึกทางใต้ก็แล้วกัน ยามนี้ เอาเท่านี้ก่อน ฉินเฟิง”

“ขอรับ คุณชาย!” ฉินเฟิงเดินขึ้นหน้าเข้ามา สิ่งที่เยี่ยหลีเอ่ยมาทั้งหมดนี้ เขาไม่รู้สึกตกใจมากนัก ด้วยเพราะหลายวันนี้เขาเกือบตายคามือขององครักษ์ลับสามมาแล้วหลายครั้ง และด้วยเพราะเช่นนี้ จึงทำให้เขานึกนับถือเยี่ยหลีขึ้นเรื่อยๆ ความจงรักภักดีต่อเยี่ยหลีก็ค่อยๆ มีมากขึ้นจนเกือบเทียบเท่าความจงรักภักดีที่เขามีต่อติ้งอ๋อง สำหรับฉินเฟิงแล้ว การได้ติดตามพระชายาถือเป็นเรื่องวิเศษมากทีเดียว เขาไม่มีทางล่วงรู้ว่าในหัวของชายาติ้งอ๋องมีความคิดแปลกประหลาดที่พิเศษอันใดซ่อนอยู่ เขาเห็นเพียงว่าชายาติ้งอ๋องใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งปีในการฝึกองครักษ์ลับข้างกายให้เก่งกาจขึ้นมาได้อย่างปัจจุบัน เพียงเท่านี้ก็รู้แล้วว่าพระชายาติ้งอ๋องเก่งกาจเพียงใด เมื่อคิดถึงความร้ายกาจขององครักษ์ลับสามแล้ว ฉินเฟิงที่เดินตามเยี่ยหลีเข้าไปในป่า ก็ได้แต่นึกไหว้พระขอพรให้พวกเขาเท่านั้น

“ตามข้ามา” เยี่ยหลีหันมาเอ่ยกับเขา ฉินเฟิงรับคำพร้อมเดินตามไป พร้อมลืมเรื่องนายทหารทั้งหลายที่มองมาที่ตนอย่างน่าสงสาร ยามนี้เขาเองก็ยังดิ้นรนอยู่ในน้ำมือของบุคคลอื่นเช่นเดียวกัน ไฉนเลยจะสามารถช่วยพวกเขาได้

ภายในป่าที่เต็มไปด้วยหลุมพราง หนองน้ำ แมลงมีพิษและหญ้ามีพิษนั้น เมื่ออยู่ใต้ฝ่าเท้าเยี่ยหลีแล้ว ประหนึ่งเป็นเพียงผืนดินเรียบๆ กระนั้น

ฉินเฟิงเดินตามเยี่ยหลีไปด้วยความระมัดระวัง กลับพบว่าพระชายามักว่องไวกว่าตนอยู่เสมอ ในขณะที่เขากำลังคิดที่จะฆ่างูบนกิ่งไม้กิ่งหนึ่งทิ้ง กลับได้ยินเพียงเสียงเล็กๆ ดังขึ้น ก่อนที่งูขนาดเจ็ดชุ่น ที่อยู่สูงขึ้นไปสองฉื่อ จะถูกลูกดอกลูกหนึ่งปักเข้าก่อนกระเด็นตกลงมาอยู่ที่พื้น

เยี่ยหลีเดินเข้าไปก้มลงดู ก่อนหันมาพูดกลั้วหัวเราะกับฉินเฟิงว่า “งูไป่ฮวาจิ่น ไม่มีพิษ สามารถใช้ประโยชน์และใช้เป็นยาได้ไม่เลว เก็บกลับไปให้ท่านเสิ่น ไม่แน่ว่าเขาอาจช่วยชี้แนะเรื่องการแยกแยะของมีพิษกับไม่มีพิษให้เจ้าได้ ช่วงนี้เจ้ามิได้กำลังศึกษาเรื่องนี้อยู่หรือ”

ฉินเฟิงพยักหน้า เดินเข้าไปเก็บงูที่แน่นิ่งไปแล้วขึ้นมาด้วยความระมัดระวัง ก่อนเอ่ยถามด้วยใบหน้าแดงก่ำอย่างละอายใจว่า “พระชายารู้จักงูทุกประเภทเลยหรือพ่ะย่ะค่ะ”

เยี่ยหลีเอ่ยโดยไม่ถ่อมตนแม้แต่น้อยว่า “ของมีพิษส่วนใหญ่ข้ารู้จักเกือบทั้งหมด อ่านหนังสือมากหน่อยก็รู้แล้ว ไม่ต้องกลัว ข้าสำรวจในป่านี้โดยละเอียดแล้ว มีงูมีพิษอยู่เพียงสองสายพันธุ์เท่านั้น อีกทั้งล้วนมิใช่พิษร้ายแรง ต่อให้โดนกัดก็ไม่ถึงแก่ชีวิต ไว้พวกเขาจะเข้ามาฝึกในนี้เมื่อไรข้าค่อยหาท่านหมอที่เก่งด้านวิชาการแพทย์ให้มาประจำอยู่ที่นี่”

ฉินเฟิงอยากเอ่ยว่าตนไม่กลัวออกไปมาก แต่เมื่อคิดถึงงู แมลง หนู มดสาระพัดประเภทในป่าแห่งนี้แล้ว จึงได้แต่รู้สึกว่าที่พระชายาเลือกสถานที่เช่นนี้ ช่างทำให้คนขนลุกได้จริงๆ

ระยะทางสิบลี้สำหรับทั้งสองที่ร่างกายแข็งแรงแล้วถือว่าไม่ไกลนัก ไม่นานทั้งสองก็มาถึงลานฝึกอีกด้านหนึ่งของหุบเขา สิ่งที่ทำให้ฉินเฟิงรู้สึกประหลาดใจก็คือ ลานฝึกที่เดิมทีเขาคิดว่าจะต้องเป็นสถานที่ที่ทรหดกว่าลานฝึกเดิมนั้น กลับมิได้เป็นอย่างที่เขาคิดเอาไว้ ลานฝึกแห่งนี้อยู่ติดกับชายแดนหุบเขาอีกด้านหนึ่ง ด้วยเพราะสภาพทางภูมิศาสตร์ทำให้ดูปลอดโปร่งและโล่งสบายกว่าลานฝึกก่อนหน้านี้ของพวกเขามากนัก แสงอาทิตย์ส่องเข้ามาได้อย่างเต็มที่ มีเรือนหลังหนึ่งตั้งอยู่ริมลำธาร คนที่ถูกคัดเลือกก่อนหน้านี้ยืนอยู่บนพื้นหญ้าบริเวณลานของเรือนรอให้พวกเขามาถึง

เยี่ยหลีกวาดตามางคนทั้งเจ็ด ถึงแม้บนใบหน้าและร่างกายของเขาจะมีบาดแผลเล็กๆ น้อยๆ อยู่บ้าง แต่ก็มิได้หนักหนาอันใด นางพยักหน้าด้วยความพอใจ “ดูท่าพวกเจ้าคงฝึกกันมาได้ไม่เลวทีเดียว ข้ารู้ว่าพวกเจ้านึกสงสัยที่ข้าคัดเลือกพวกเจ้าออกมาแยกฝึก แต่นั่นมิใช่เรื่องสำคัญ ที่ข้าทำเช่นนี้ด้วยเพราะแนวทางการฝึกของพวกเจ้าต่อจากนี้จะไม่เหมือนกับพวกเขา และเช่นเดียวกัน ภารกิจที่พวกเจ้าต้องทำก็จะไม่เหมือนพวกเขาเช่นกัน”

ทหารหนึ่งในนั้นก้าวออกมาถามว่า “มีอันใดไม่เหมือนกันหรือขอรับ”

เยี่ยหลีเอ่ยตอบอย่างใจเย็นว่า “ภารกิจในอนาคตของพวกเจ้าจะเป็นการทำศึกอย่างดุดันขนาดเล็ก อย่างเช่นการลอบโจมตี การช่วยเหลือ อารักขา ลอบสังหารเป็นต้น แต่พวกเจ้า…อาจไม่จำเป็นต้องลงไปในสนามรบ ที่ข้าต้องการมากกว่าคือมันสมองของพวกเจ้า ต่อไปสิ่งที่พวกเจ้าต้องทำคือการแฝงกายและหลบซ่อนตัว ค้นหาวิเคราะห์และคอยส่งข่าว แน่นอนว่าอาจหมายรวมถึงการลอบสังหารและการเป็นองครักษ์ด้วย

นายทหารทุกคนต่างขมวดคิ้ว หันมองสบตากัน “คุณชายฉู่อยากให้พวกเราเป็นคนสอดแนมหรือขอรับ”

“คนสอดแนมหรือ” เยี่ยหลีเลิกคิ้ว “จะว่าอย่างนั้นก็ได้ นั้นอาจเป็นหนึ่งในภารกิจของพวกเจ้าในอนาคต แต่ข้าชอบให้เรียกว่าหน่วยพิเศษหรือสายลับเสียมากกว่า เมื่อเทียบกับพวกเขาที่เน้นหนักไปทางการฝึกพละกำลังและการต่อสู้แล้ว สิ่งที่พวกเจ้าต้องเรียนรู้จะเป็นภาษาของแต่ละแคว้น หรือแม้แต่ภาษาถิ่นของแต่ละพื้นที่ การวิเคราะห์ความคิดคน ธรรมเนียมประเพณีและนิสัยของคนแต่ละแคว้น ศิลปะการปลอมตัว การสะกดรอยและการสะกดรอยซ้อนสะกดรอย การสร้างและการจัดการสายข่าว รวมถึงการใช้อุปกรณ์ต่างๆ มวยปล้ำ และวิธีการสังหารระยะประชิดเป็นต้น…พวกเจ้าเป็นคนที่ได้รับเลือกจากยอดฝีมือเหล่านั้น ไม่ว่าจะเรื่องพื้นเพครอบครัวหรือความรู้ความอ่านและมันสมอง ต่างเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม ถึงแม้พวกเจ้าจะไม่เหมือนกับพวกเขา แต่พวกเจ้าก็จะมีชื่ออยู่ในกองทัพตระกูลม่อเช่นเดียวกับพวกเขา คราก่อนเรื่องที่ข้าสัญญาไว้ทั้งหมดยังคงมีผลกับพวกเจ้าเช่นเดิม อีกอย่าง หากพวกเจ้าตายหรือบาดเจ็บในหน้าที่ เงินชดเชยและเงินในการตั้งตัวจะเพิ่มให้เป็นสามเท่า แน่นอนว่า พวกเจ้ามีสิทธิ์เลือกที่จะลาออก คนที่ลาออกสามารถกลับไปฝึกรวมกับคนทางฟากนู้นได้”

ทั้งหมดต่างนิ่งเงียบกันไปพักหนึ่ง ทหารเหล่านี้เป็นคนที่มีศักยภาพมากที่สุดในบรรดาทหารเหล่านั้น พวกเขาตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว ถึงแม้จะไม่รู้ว่าคุณชายฉู่ท่านนี้คือผู้ใด แต่พวกเขารู้สึกเพียงว่าเขาไม่เหมือนกับหัวหน้าคนอื่นๆ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาพูดล้วนเป็นสิ่งแปลกใหม่และเต็มไปด้วยแรงดึงดูด ประหนึ่งสามารถนำพาอนาคตที่แตกต่างจากเดิมมาให้พวกเขาได้กระนั้น เกิดเป็นลูกผู้ชาย มีผู้ใดบ้างที่ไม่อยากสร้างชื่อเสียงไม่อยากสร้างผลงามความสำเร็จเป็นของตนเอง เมื่อเทียบกับคนที่ไม่รู้หนังสือรู้จักแต่การทำตามคำสั่งเหล่านั้นแล้ว พวกเขามีความคิดอ่านที่ชัดเจนกว่ามากนัก

“เรียนคุณชาย พวกเราจะอยู่ที่นี่ขอรับ”

เยี่ยหลีเลิกคิ้ว ยิ้มน้อยๆ มองพวกเขา “พวกเจ้าไม่กลัวตายกันจริงๆ หรือ ข้าจะไม่หลอกพวกเจ้าหรอกนะ แต่พวกเจ้าน่าจะรู้ดีว่า ไม่ว่าจะเป็นสายลับหรือเป็นคนสอดแนมต่างก็มีความเสี่ยงสูงทั้งสิ้น หรือต่อให้ไม่มีอันตรายถึงชีวิต แต่ก็มีโอกาสที่จะไม่ได้กลับมาบ้านและไม่ได้พบหน้าคนในครอบครัวอีก”

“ข้าน้อยเข้าใจดี และเชื่อว่าท่านอ๋องและพระชายาจะดูและคนทางบ้านของพวกเราเป็นอย่างดีขอรับ”

ประโยคนี้พูดได้ไม่เลว อย่างน้อยหากเทียบกับกองทัพอื่นแล้ว ถือว่ากองทัพตระกูลม่อดูแลทหารเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี

เยี่ยหลีพยักหน้า “ดีมาก ไม่ว่าอย่างไรข้าขอรับประกันว่าคนทางบ้านของพวกเจ้าจะมีข้าวปลาอาหารและเสื้อผ้าใส่อย่างแน่นอน วันนี้พวกเจ้าพักผ่อนกันตามอัธยาศัยก่อน การฝึกจะเริ่มขึ้นวันพรุ่งนี้”

“ขอรับ คุณชาย!”

ชายาเคียงหทัย

ชายาเคียงหทัย

Status: Ongoing

หลังถูกน้องสาวร่วมบิดาแทงข้างหลัง ทำให้ เยี่ยหลี คุณหนูสามแห่งจวนตระกูลเยี่ยถูกถอนหมั้นจาก ม่อจิ่งหลี ท่านอ๋องรูปงามแห่งเมืองหลวง แต่นางก็ยังมองโลกในแง่ดี หวังว่าตนจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปอีกสักสองสามปี ทว่าเหตุไฉนสามวันให้หลัง ฝ่าบาทถึงได้พระราชทานสมรสให้นางอีกครั้งเล่า!

การแต่งงานครั้งนี้แม้ฉากหน้าจะดูเหมือนเป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก แต่คนที่นางต้องอภิเษกสมรสด้วยกลับเป็น ม่อซิวเหยา ท่านอ๋องพิการไร้ประโยชน์ อีกทั้งยังมีรูปโฉมอัปลักษณ์ เล่าลือกันว่าเขาเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วถึงสองครา ทว่าหญิงสาวทั้งสองคนที่เขาสมรสด้วยกลับต้องมีอันเป็นไปภายหลังจากการแต่งงานได้ไม่นาน

แต่ช้าก่อน…บุรุษที่แสนอ่อนโยนและเก่งกาจตรงหน้านางนี้น่ะหรือคือม่อซิวเหยา บุรุษที่กล่าวกันว่าเป็นคนน่ากลัว ไร้ค่า ไม่ได้เรื่องได้ความคนนั้น นี่คงมีอะไรที่เข้าใจผิดไปแล้วกระมัง

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท