ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 132 ออกศึก (1)

ตอนที่ 132 ออกศึก (1)

ตอนที่ 132 ออกศึก (1)

ข่าวจากชายแดนมีส่งมาตลอดทุกวัน สถานการณ์ภายในตำหนักว่าราชการก็หนักอึ้งขึ้นทุกวันเช่นกัน ทัพใหญ่ของซีหลิงบุกโจมตีอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาครึ่งเดือน ตีเมืองแตกไปได้ติดต่อกันสามเมืองและ ขยับเข้าใกล้เมืองซิ่นหยางขึ้นเรื่อยๆ

พอขึ้นเก้าค่ำเดือนเก้า ก็มีข่าวส่งมาว่า กองทัพหนึ่งแสนนายที่นำโดยเหลิ่งฉิงอวี่และหนานโหวซื่อจื่อถูกกองทัพห้าหมื่นนายที่นำโดยเจิ้นหนานหวังโจมตีระหว่างทาง เสียหายไปครึ่งหนึ่ง ทหารส่วนที่เหลือร่นถอยกลับไปรักษาเมืองซิ่นหยาง

ขึ้นสิบค่ำเดือนเก้า ซิ่นหยางถูกล้อม ในขณะเดียวกัน ทัพใหญ่ของซีหลิงก็แบ่งออกเป็นสามทาง เดินทางไปทางเหนือ ทางใต้ และตอนกลาง เมืองหน้าด่านทั้งหลายต่างส่งจดหมายขอกำลังเสริมโดยด่วนกันมาอย่างไม่ขาดสาย แต่ในยามนี้ กลับยังคงไม่เห็นแม้แต่เงาติ้งอ๋อง ที่คอยปกป้องต้าฉู่มาตลอดร้อยปี ยามนี้ตำหนักติ้งอ๋องจึงมีผู้คนเดินเข้าออกขวักไขว่กันประหนึ่งตลาดเลยทีเดียว

“พระชายา”

ภายในห้องหนังสือ เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นมองหัวหน้าพ่อบ้านม่อที่ยืนอยู่หน้าประตู แล้วเอ่ยถามว่า “มีผู้ใดมาขอพบอีกหรือ”

หัวหน้าพ่อบ้านม่อเอ่ยเสียงขรึมว่า “ฮว่ากั๋วกงและหนานโหวมาขอพบพ่ะย่ะค่ะ หนานโหวซื่อจื่อหายตัวไปกลางสมรภูมิรบพ่ะย่ะค่ะ”

“หายตัวไปหรือ! เป็นไปได้อย่าไร…” เยี่ยหลีขมวดคิ้วมุ่น นางพอรู้แล้วว่าฮว่ากั๋วกงและหนานโหวมาด้วยเหตุอันใด เพียงแต่คงมาด้วยเรื่องที่ทำให้นางลำบากใจเสียแล้ว

เยี่ยหนีถอนหายใจเบาๆ เอ่ยว่า “เชิญฮว่ากั๋วกงผู้เฒ่ากับหนานโหวเข้ามาเถิด”

ไม่นาน ฮว่ากั๋วกงและหนานโหวก็เดินมาถึงหน้าประตู เยี่ยหลีรีบลุกยืนเดินออกไปต้อนรับ พร้อมเอ่ยขัดทั้งสองที่เตรียมจะคารวะนาง “ที่นี่ไม่มีคนนอก ช่างพิธีพวกนี้เถิด กั๋วกงผู้เฒ่า หนานโหว เชิญนั่งก่อน”

ทั้งสองเอ่ยขอบคุณนางแล้วนั่งลง จนเมื่อมีสาวใช้ยกน้ำชาเข้ามาให้แล้ว เยี่ยหลีถึงได้เอ่ยถามว่า “กั๋วกงผู้เฒ่ากับหนานโหวมาพร้อมกันเช่นนี้ ด้วยเรื่องทางชายแดนใช่หรือไม่”

หนานโหวทอดถอนใจด้วยสีหน้าห่อเ**่ยว “ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ รบกวนพระชายาแล้ว”

เยี่ยหลีส่ายหน้า “ซื่อจื่อกับข้าไม่ถือเป็นคนอื่นคนไกลกัน ท่านโหวอย่าเพิ่งร้อนใจไป ข้าจะรีบสั่งคนให้ออกตามหาซื่อจื่อโดยทันที”

หนานโหวส่ายหน้า เอ่ยพร้อมทอดถอนใจว่า “ฉวนเอ๋อร์ไปเพื่อแสดงความกตัญญูต่อแผ่นดิน จะเป็นหรือตายก็สุดแท้แต่สวรรค์ เพียงแต่…พระชายา เชื่อว่าพระชายาน่าจะรู้ข่าวจากชายแดนเร็วกว่าพวกเรา เกรงว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป คงรอไม่ถึงยามที่ติ้งอ๋องกลับมา กองทัพหลายแสนนายที่ชายแดนคงถูกทำลายจนหมดสิ้น!”

เยี่ยหลีเองก็ถอนใจเบาๆ “เจิ้นหนานอ๋องแห่งซีหลิงเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่เป็นสิบปี ยามนี้กลับมาแข็งแกร่งขึ้นอีกครั้ง จะธรรมดาได้อย่างไร เพียงแต่ถึงแม้ตำหนักติ้งอ๋องจะส่งข่าวไปยังเป่ยหรงนานแล้ว แต่จนถึงทุกวันนี้ท่านอ๋องก็ยังไม่มีจดหมายอันใดส่งกลับมา ข้าเองก็…ไม่รู้จะทำเช่นไรดี…”

ฮว่ากั๋วกงถอนหายใจหนักๆ “แค่เพียงการส่งตัวเจ้าสาว เหตุใดฝ่าบาทถึงต้องส่งติ้งอ๋องไปด้วย หนำซ้ำในราชสำนักยามนี้ แม่ทัพที่สามารถนำทัพออกไปสู้ศึกได้ก็มีแต่แม่ทัพมู่หรงที่อยู่ไกลถึงหย่งโจว แม่ทัพจิ้งกั๋วก็รักษาการอยู่ที่ชายแดนเป่ยหรง ข้า…” ฮว่ากั๋วกงถอนใจยาวออกมาอีกครั้ง ก่อนหุนหันลุกขึ้นจะเดินออกไปด้านนอก “ข้าจะไปขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทเดี๋ยวนี้ ให้ส่งคนแก่ยังไม่ตายอย่างข้าออกไปทำศึก!”

เยี่ยหลีและหนานโหวรีบรั้งเขาไว้ หนานโหวยิ้มขื่น “กั๋วกงผู้เฒ่า ต่อให้ต้องนำทัพไปออกศึกก็ให้เป็นหน้าที่พวกเราเถิด จะให้ท่านไปลำบากอีกได้อย่างไร”

เยี่ยหลีมองชายชราทั้งสองที่อายุรวมกันน่าจะมากกว่าหนึ่งร้อยยี่สิบปีแล้วได้แต่หัวเราะอยู่ในใจ นางเข้าใจจุดประสงค์ในการมาของพวกเขา แต่ก็มิอาจจะกล่าวโทษอันใดพวกเขาได้ ด้วยเพราะพวกเขากับม่อจิ่งฉี เสนาบดีหลิ่ว และมู่หยางโหวนั้นไม่เหมือนกัน พวกเขาเป็นห่วงความปลอดภัยของทหารและชาวบ้านที่อยู่บริเวณชายแดนของต้าฉู่ด้วยใจจริง ด้วยเพราะพวกเขาก็เคยเป็นทหารคนหนึ่งมาก่อน แค่เพียงข้อนี้ นางก็มิอาจต่อว่าอันใดพวกเขาได้แล้ว

“กั๋วกงผู้เฒ่า ท่านโหว…”

ฮว่ากั๋วกงหันกลับไปมองดวงตาใสประหนึ่งมีเปลวเทียนอยู่ในแววตาของเยี่ยหลีแล้วก็ชะงักไป ก่อนกลับลงนั่งอีกครั้ง ฮว่ากั๋วกงเอ่ยด้วยความรู้สึกผิดว่า “พระชายาอย่าได้โทษคนแก่ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอย่างข้า ที่มารบกวนท่านเช่นนี้เลย จริงๆ ข้า…”

เยี่ยหลีส่ายหน้าเอ่ยว่า “กั๋วกงผู้เฒ่ากล่าวเกินไปแล้ว เยี่ยหลีเข้าใจดี”

ฮว่ากั๋วกงเอ่ยว่า “ยามนี้ซิวเหยาไม่อยู่ ท่านเป็นสตรีเพียงคนเดียวต้องรับผิดชอบตำหนักใหญ่อย่างตำหนักติ้งอ๋องนั้นก็ไม่ง่ายแล้ว คนแก่อย่างข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร เพียงแต่ทางชายแดนอยู่ในสถานการณ์คับขัน เกรงว่าคงรอให้ท่านอ๋องกลับมาไม่ทันแล้ว ความสามารถของพระชายานั้นข้าเคยได้ยินมาอยู่ไม่น้อย ขอพระชายาได้โปรดเห็นแก่ประชาชนชาวต้าฉู่และทหารทางชายแดน ช่วยเหลืออันใดสักหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ ที่ข้าพูดว่าจะนำทหารไปออกศึกเมื่อครู่นั้น มิได้พูดไปอย่างนั้น ความกังวลของพระชายา ข้าเข้าใจเป็นอย่างดี หากพระชายาเชื่อใจคนแก่อย่างข้า ข้าจะนำทัพไปด้วยตนเอง อย่างน้อยก็สามารถช่วยยื้อไปจนกว่าติ้งอ๋องกลับมาได้พ่ะย่ะค่ะ และต่อให้ฝ่าบาทร้อนพระทัยเพียงใด ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้ก็คงไม่มัวพะวงแต่กับการยึดอำนาจทหารของข้าหรอกพ่ะย่ะค่ะ หากรอจนติ้งอ๋องกลับมาแล้วรีบเดินทางไปบัญชาการทัพใหญ่ยังชายแดน ทุกอย่างก็คงพังพินาศหมดแล้ว พระชายาท่านเห็นว่าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”

เยี่ยหลียิ้มขื่น “กั๋วกงผู้เฒ่ามั่นใจเพียงนี้เชียวหรือว่าเยี่ยหลีจะสามารถสั่งเคลื่อนพลกองทัพตระกูลม่อได้”

คิ้วขาวของฮว่ากั๋วกงเลิกขึ้น สบตาเยี่ยหลีแล้วเอ่ยว่า “พระชายาสามารถสั่งเคลื่นอพลได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ หากพระชายาบอกไม่ได้ ข้าก็จะลุกออกไปเดี๋ยวนี้”

เยี่ยหลีนิ่งไปพักใหญ่ เงยหน้าขึ้นเอ่ยว่า “อำนาจทหารมิอาจให้กั๋วกงผู้เฒ่าได้ มิใช่เพราะเยี่ยหลีไม่เชื่อใจกั๋วกง เพียงแต่เกรงว่า ต่อให้ข้าให้ตราหทารแก่กั๋วกงไป ก็คงมิอาจสั่งเคลื่อนพลได้ง่ายเช่นนั้นอยู่ดี”

แววตาของฮว่ากั๋วกงและหนานโหวดูผิดหวัง แต่กลับได้ยินเยี่ยหลีเอ่ยต่อเรียบๆ ว่า “เช่นนั้นเยี่ยหลีเดินทางไปชายแดนด้วยก็แล้วกัน เพียงแต่กั๋วกงผู้เฒ่าอายุมากแล้ว เกรงว่าคงมิอาจเดินทางตรากตรำไกลๆ เช่นนั้นได้…”

หนานโหวเอ่ยด้วยความยินดีว่า “หากพระชายาเชื่อใจข้า ข้าจะรีบไปทูลขอให้ฝ่าบาททรงอนุญาตให้ข้านำทัพออกไปพ่ะย่ะค่ะ ไม่สิ ให้ข้าเป็นเพียงรองแม่ทัพก็พอ ส่วนตำแหน่งแม่ทัพนั้นจะเก็บไว้รอติ้งอ๋องกลับมาพ่ะย่ะค่ะ!”

ฮว่ากั๋วกงมองประเมินเยี่ยหลีด้วยท่าทีประหลาดใจ นัยน์ตามีแววชื่นชมพร้อมพยักหน้า “ดี ซิวเหยามีสายตาแหลมคมยิ่งนัก เรื่องครานี้คงต้องขอรบกวนพระชายาแล้ว”

เยี่ยหลีส่ายหน้าเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “กั๋วกงผู้เฒ่าอย่าเพิ่งดีใจเร็วจนเกินไปนัก ท่านกับข้าคิดหาวิธีกันดีเลิศเพียงใดก็มิแน่ว่าฝ่าบาทจะทรงเห็นด้วย”

ฮว่ากั๋วกงเอ่ยเสียงขรึมว่า “หากฝ่าบาทเป็นประมุขแห่งแคว้นที่แท้จริง ย่อมต้องรับปากอย่างแน่นอน”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ หนานโหวก็ถึงกับอึ้งไป เหลือบมองด้านนอกห้องหนังสือก่อนเอ่ยเสียงต่ำว่า “กั๋วกงผู้เฒ่า พูดเช่นนี้ไม่ได้นะ”

กั๋วกงผู้เฒ่าส่งเสียงหึเบาๆ แล้วมิได้พูดอันใดอีก

เมื่อส่งฮว่ากั๋วกงและหนานโหวกลับไปแล้ว เยี่ยหลีเดินกลับเข้าห้องหนังสืออีกครั้งก็เห็นเฟิ่งจือเหยายืนพลิกหนังสืออยู่ที่ข้างชั้นหนังสือ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของนางถึงได้หันกลับมาเอ่ยด้วยความเป็นกังวลว่า “พระชายารับปากกั๋วกงผู้เฒ่ากับหนานโหวเรื่องจะเดินทางไปชายแดนแล้วจริงหรือ”

“เจ้าได้ยินแล้วหรือ” เยี่ยหลีเอ่ยยิ้มๆ เดินกลับไปนั่งยังโต๊ะหนังสือ “ซีหลิงยกทัพมาอย่างดุดัน หากกองทัพตระกูลม่อคิดอยากจะนิ่งเฉยคงเป็นไปไม่ได้ ต่อให้ท่านอ๋องไม่อยู่ ข้าจะเก็บอำนาจทหารไว้ไม่ปล่อยไป ผู้คนอาจยังพอเข้าใจได้ แต่หากการศึกเกิดเลวร้ายลงไปกว่านี้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอันใดก็คงใช้ไม่ได้แล้ว คนทั้งใต้หล้าจะเห็นเพียงว่าต้าฉู่ถูกคนต่างเผ่าพันธุ์รุกราน แต่กองทัพตระกูลม่อกลับนิ่งดูดายทำเหมือนไม่เห็น อีกอย่าง ในเมื่อไม่ช้าหรือเร็วก็ต้องออกไปทำศึก เช่นนั้นยิ่งไปอยู่ในสนามรบเร็วเท่าใดก็ยิ่งควบคุมสถานการณ์ได้เร็วเท่านั้น อีกอย่าง…ถึงข้ารับปากไปแล้ว แต่ก็ไม่แน่ว่าท่านในวังจะรับปากด้วย”

เฟิ่งจือเหยายิ้มเยาะ “หากเขาไม่รับปาก ต่อไปหาคนทั้งใต้หล้าวิพากษ์วิจารณ์ถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ก็คงไม่เกี่ยวกับพวกเราแล้ว”

เยี่ยหลีพยักหน้า “ผ่านมาก็นานเช่นนี้แล้ว หากทางฝั่งท่านอ๋องผ่านไปได้ด้วยดี ทัพใหญ่ของพวกเราเดินทางไปถึงชายแดน ท่านอ๋องก็คงรีบตามกลับไปทัน”

เมื่อเอ่ยถึงม่อซิวเหยา เฟิ่งจือเหยาก็อดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ “เวลาล่วงเลยมานานเช่นนี้แล้ว เหตุใดถึงยังไม่มีข่าวจากท่านอ๋องอีก”

“บางทีอาจมีคนไม่อยากให้เขากลับมา ไม่มีข่าวเลยอย่างน้อยก็แสดงว่ายามนี้เขายังไม่เป็นอันใด เจ้าไปเตรียมตัวเถิด แล้วช่วยบอกหัวหน้าพ่อบ้านม่อด้วย หากชายารองหนานโหวซื่อจื่อมา ก็ให้เชิญกลับไปก่อน”

“พ่ะย่ะค่ะ” เฟิ่งจือเหยาพยักหน้า หยุดลังเลเล็กน้อย ก่อนเอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า “พระชายา ครานี้ให้ข้าเฟิ่งซานเดินทางไปชายแดนกับท่านด้วยเถิด”

เยี่ยหลีขมวดคิ้ว “ข้ากับท่านอ๋องไม่อยู่เมืองหลวง ถึงแม้ตำหนักติ้งอ๋องคงไม่มีเรื่องอันใด แต่ก็ต้องมีคนคอยอยู่ดูแลความเรียบร้อย”

เฟิ่งจือเหยาเอ่ยว่า “มีอาม่ออยู่ก็พอแล้ว ถึงแม้ตำหนักติ้งอ๋องจะมีการวางกำลังกันอย่างเข้มงวด แต่กับกองทัพตระกูลม่อนั้นก็ไม่ถือว่ามีประโยชน์อันใดมากนั้น อีกอย่างหัวหน้าพ่อบ้านม่อก็ดูแลจัดการเรื่องในตำหนักมาหลายสิบปีแล้ว อย่างไรก็เชี่ยวชาญกว่ามือสมัครเล่นอย่างข้ามากนัก”

เยี่ยหลีนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง “ข้ารู้แล้ว เจ้ากลับไปก่อนเถิด ไว้ข้าจะลองคิดดู ในเมื่อเจ้าเตรียมตัวจะไปออกศึกด้วยกันแล้ว คนที่ควรไปบอกลา ก็ไปลอกลาเสียเถิด”

เฟิ่งจือเหยาอึ้งไป ระบายยิ้มอย่างเจ็บปวด “ข้าเป็นเพียงชายโสด จะมีผู้ใดให้ต้องบอกลากัน…”

เยี่ยหลีอมยิ้มมองเขา “หลอกตัวเองไปก็ไม่มีประโยชน์ อย่าถึงเวลาแล้วมาเสียใจทีหลังก็แล้วกัน”

เฟิ่งจือเหยาใจลอยด้วยความมึนงง เมื่อพอตั้งสติกลับมาได้จึงเดินออกไปอย่างจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

ข้อเสนอของฮว่ากั๋วกงและหนานโหวนั้น ม่อจิ่งฉีไม่แม้แต่จะฟังให้จบ เอ่ยปฏิเสธกลางท้องพระโรงในทันที เยี่ยหลีมิได้ใส่ใจเรื่องนี้สักเท่าใด แต่กลายเป็นสวีหงเยี่ยนกับสวีชิงเจ๋อที่พากันมายังตำหนักติ้งอ๋องในทันที

สวีหงเยี่ยนมิได้พูดอันใดออกมาสักเท่าใด ถึงแม้เขาจะไม่ได้อยู่ในตำแหน่งสำคัญ แต่กลับมองเล่ห์เหลี่ยมทางการเมืองในราชสำนักได้อย่างทะลุปรุโปร่งเสียยิ่งกว่าคนที่อยู่ในสถานการณ์ด้วยตนเองเสียอีก เขาถอนหายใจยาวหลังจากเอ่ยเตือนนางไม่กี่ประโยค แล้วจึงหมุนตัวเดินกลับไป

สวีชิงเจ๋อนิ่งเงียบไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจาตามปกติ แต่ก่อนกลับถึงได้หันมาพูดกับนางว่า “หากเจ้ายืนยันที่จะไป วันพรุ่งนี้ข้าจะทูลขอฝ่าบาทเดินทางไปชายแดนกับเจ้าด้วย”

เยี่ยหลีคลี่ยิ้มบางๆ “พี่รองจะแต่งงานอยู่ในเร็ววันนี้แล้ว หากเพราะเรื่องของหลีเอ๋อร์ทำให้ต้องเลื่อนงานแต่งงานออกไป ท่านป้าฉินกับท่านป้าสะใภ้จะไม่โกรธข้าเอาหรือเจ้าคะ องครักษ์ในตำหนักติ้งอ๋องมีอยู่มากพอดู พี่รองวางใจเถิดเจ้าค่ะ”

สวีชิงเจ๋อขมวดคิ้ว “ไปด้วยกัน ท่านลุง ท่านพ่อและท่านปู่จะได้พอวางใจได้หน่อย” พูดจบเขาก็ไม่สนใจว่าเยี่ยหลีคิดจะพูดสิ่งใดอีก หมุนตัวเดินจากไปอย่างหัวเสียทันที

ข่าวร้ายจากชายแดนถูกส่งมาทุกวันไม่มีว่างเว้น ถึงแม้คนที่อยู่ไกลถึงเมืองหลวงจะไม่ได้เห็นหยาดเลือดที่สาดกระเซ็น แต่ข่าวการเสียเมืองและจำนวนคนที่บาดเจ็บและล้มตายนั้น กลับทำให้ผู้คนต่างรู้สึกตระหนกตกใจ

ผู้คนต่างเรียกร้องให้ตำหนักติ้งอ๋องออกไปทำศึกกันมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเพราะทุกคนต่างเคยชินกับการมีหน่วยทหารในชุดดำ ช่วยปกป้องคุ้มครองความปลอดภัยของพวกเขาไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดกันเสียแล้ว

แต่ในครั้งนี้ เกิดสงครามขึ้นมาได้เกือบหนึ่งเดือนแล้ว แต่กลับไม่ได้ยินข่าวจากตำหนักติ้งอ๋องหรือกองทัพตระกูลม่อเลยแม้แต่นิดเดียว ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ประชาชนหรือแม้กระทั่งข้าราชการและชนชั้นสูงทั้งหลายอดรู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมาไม่ได้ คนทั้งเมืองหลวงต่างวิตกกังวลและอยู่กันอย่างไม่เป็นสุข

จนเมื่อมีข่าวว่าติ้งอ๋องอยู่ไกลถึงเป่ยหรง และชายาติ้งอ๋องจะไปออกศึกแทนสามี แต่กลับถูกฮ่องเต้ปฏิเสธแพร่ออกไป ขุนนางในราชสำนักจึงต่างพูดไม่ออก และเริ่มเกิดการวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นในหมู่ประชาชน ซึ่งต่างเป็นไปในทางที่ไม่พอใจต่อการตัดสินพระทัยของฝ่าบาท

แต่ในขณะนี้ม่อจิ่งฉีกลับไม่มีกระจิตกระใจจะกลบข่าวนี้ จนทำให้ทั่วทั้งเมืองหลวงหรือแม้แต่ประชาชนในเมืองอื่นๆ มีหนังสือยื่นถึงฮ่องเต้กันอย่างไม่ขาดสาย ประหนึ่งสามารถท่วมห้องทรงพระอักษรไปได้แล้วเสียครึ่งหนึ่ง

สามวันให้หลัง ในที่สุดม่อจิ่งฉีก็มีราชโองการแต่งตั้งให้หนานโหวเป็นรองแม่ทัพ เดินทางไปรับศึกปราบผู้รุกรานจากซีหลิงพร้อมชายาติ้งอ๋อง ด้วยใบหน้าถมึงทึง

เมื่อเยี่ยหลีได้รับราชโองการ ก็นึกเบ้ปากในใจ ก่อนหมุนตัวเดินกลับเข้าห้องของตนไปเตรียมตัว

ข่าวการเตรียมเคลื่อนพลไปออกรบของกองทัพตระกูลม่อสร้างความยินดีให้กับคนทั้งเมืองหลวง ปานประหนึ่งแค่เพียงมีกองทัพตระกูลม่อออกไปทำศึก ก็จะทำให้ทัพใหญ่ของซีหลิงพ่ายแพ้อย่างราบคาบได้อย่างง่ายดายกระนั้น

เมื่อเยี่ยหลีเห็นเช่นนี้ก็อดทอดถอนใจด้วยความหดหู่ไม่ได้ ม่อซิวเหยาพูดไว้ไม่ผิดเลย หลายปีมานี้ความยิ่งใหญ่เกรียงไกรของตำหนักติ้งอ๋อง ทำให้แม่ทัพที่แท้จริงในต้าฉู่มีจำนวนน้อยเต็มที หากเกิดอันใดขึ้นกับตำหนักติ้งอ๋อง สถานการณ์ของต้าฉู่คงน่าสิ้นหวังมากเป็นแน่

ชายาเคียงหทัย

ชายาเคียงหทัย

Status: Ongoing

หลังถูกน้องสาวร่วมบิดาแทงข้างหลัง ทำให้ เยี่ยหลี คุณหนูสามแห่งจวนตระกูลเยี่ยถูกถอนหมั้นจาก ม่อจิ่งหลี ท่านอ๋องรูปงามแห่งเมืองหลวง แต่นางก็ยังมองโลกในแง่ดี หวังว่าตนจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปอีกสักสองสามปี ทว่าเหตุไฉนสามวันให้หลัง ฝ่าบาทถึงได้พระราชทานสมรสให้นางอีกครั้งเล่า!

การแต่งงานครั้งนี้แม้ฉากหน้าจะดูเหมือนเป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก แต่คนที่นางต้องอภิเษกสมรสด้วยกลับเป็น ม่อซิวเหยา ท่านอ๋องพิการไร้ประโยชน์ อีกทั้งยังมีรูปโฉมอัปลักษณ์ เล่าลือกันว่าเขาเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วถึงสองครา ทว่าหญิงสาวทั้งสองคนที่เขาสมรสด้วยกลับต้องมีอันเป็นไปภายหลังจากการแต่งงานได้ไม่นาน

แต่ช้าก่อน…บุรุษที่แสนอ่อนโยนและเก่งกาจตรงหน้านางนี้น่ะหรือคือม่อซิวเหยา บุรุษที่กล่าวกันว่าเป็นคนน่ากลัว ไร้ค่า ไม่ได้เรื่องได้ความคนนั้น นี่คงมีอะไรที่เข้าใจผิดไปแล้วกระมัง

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท