ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 134 ออกศึก (3)

ตอนที่ 134 ออกศึก (3)

ตอนที่ 134 ออกศึก (3)

ห่างจากเมืองซิ่นหยางไปสิบลี้ ทหารซีหลิงหลายแสนนายจับจ้องกำแพงเมืองที่ตั้งอยู่ห่างไปไม่ไกลอย่างตาเป็นมัน กำแพงเมืองนี้มีแรงดึงดูดและมีความหมายกว่ากำแพงเมืองด่านธรรมดาทั่วไปอยู่มากนัก ด้วยเพราะในนั้นมีเสบียงอาหารและสิ่งของที่จำเป็นทางการทหารอยู่อย่างมหาศาล และเป็นเมืองใหญ่ที่ร่ำรวยและรุ่งเรืองอันดับหนึ่งในเขตตะวันตกเฉียงเหนือ ณ ที่นั้น จะกลายเป็นก้าวแรกที่ทำให้พวกเขาสามารถยึดครองต้าฉู่ได้

ภายในกระโจมใหญ่ของหัวหน้าผู้บัญชาการทหาร เจิ้นหนานอ๋องที่อายุเกือบห้าสิบปี นั่งอยู่หลังโต๊ะหนังสือ มือข้างหนึ่งถือฎีกาที่ผู้ใต้บังคับบัญชาเพิ่งส่งขึ้นมาให้อ่านอยู่พักหนึ่ง ก่อนวางลงกับโต๊ะโดยแรงและหัวเราะอย่างบ้าคลั่งออกมา

ผู้บัญชาการทหารต่างหันมองหน้ากัน อย่างไม่รู้ว่าเรื่องอันใดที่ทำให้ท่านอ๋องยินดีเช่นนี้ รอจนเขาหัวเราะจนหนำใจแล้ว เขาถึงได้เอ่ยขึ้นเสียงดังว่า “ม่อหลิวฟาง! เจ้าเองก็มีวันนี้เช่นกัน! หากเจ้ายังมีชีวิตอยู่ แล้วต้องมาเห็นว่าตำหนักติ้งอ๋องของเจ้าต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ เจ้าจะเสียใจหรือไม่!”

ผู้บัญชาการทหารทั้งหลายต่างลอบสบสายตากัน คนหนึ่งที่ยืนอยู่ในแถวหน้า เดินออกจากแถวมาเอ่ยถามว่า “ท่านอ๋อง มีข่าวดีอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”

เจิ้นหนานอ๋องยื่นฎีกาในมือส่งไปให้ พร้อมเอ่ยกลั้วหัวเราะกับทุกคนว่า “ยามนี้ตำหนักติ้งอ๋องไร้ผู้สืบทอดเสียแล้ว ถึงขนาดต้องให้สตรีนางหนึ่งมีอำนาจบัญชาการทหาร!”

สีหน้าผู้บัญชาการทหารที่ได้อ่านฎีกาดูแปลกไปเล็กน้อย เอ่ยว่า “หนานโหวเป็นรองหัวหน้าผู้บัญชาการ ชายาติ้งอ๋องเป็นผู้สังเกตการณ์อย่างนั้นหรือ ตงฉู่หมายความเช่นไรกัน”

เจิ้นหนานอ๋องส่งเสียงหึเบาๆ “คงไม่มีทางเลือกน่ะสิ หนานโหวผู้นี้ข้าพอเคยได้ยินชื่อเสียงมาบ้าง วางตัวเป็นกลางมาโดยตลอดไม่สนใจเรื่องการเมือง เป็นผู้บัญชาการทหารก็ยังพอว่า แต่หากจะให้บัญชาการกองทัพตระกูลม่อ ยังห่างชั้นอีกไกลนัก อีกอย่าง อำนาจทางการทหารของกองทัพตระกูลม่อก็มิได้ใช้กันได้ง่ายเช่นนั้น”

“หรือว่ายามนี้ อำนาจในการบัญชาการกองทัพตระกูลม่ออยู่ในมือชายาติ้งอ๋องผู้นั้นพ่ะย่ะค่ะ” ผู้บัญชาการทหารนายหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยความตกใจ

เจิ้นหนานอ๋องพยักหน้า หัวเราะอย่างมีเลศนัย “ถูกต้อง ม่อซิวเหยาอยู่ไกลถึงเป่ยหรง คงกลับมาไม่ทัน ในตำหนักติ้งอ๋อง เมื่อม่อซิวเหยาไม่อยู่ ก็ไม่มีผู้ใดสามารถนำทัพออกศึกได้อีก ยามนี้ อำนาจทางการทหารกลับตกมาอยู่ในมือเด็กสาวอายุเพียงสิบหกปีที่ยังไม่รู้เดียงสา”

ผู้บัญชาการทหารภายในกระโจมอดตื่นเต้นยินดีขึ้นมาไม่ได้ หันไปกระซิบกระซาบกันอยู่พักหนึ่ง ถึงได้มีคนเดินออกมากล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้น ท่านอ๋อง พวกเราก็สามารถใช้จังหวะนี้ในการกวาดล้างกองทัพตระกูลม่อ จะได้ขัดขวางไม่ให้พวกมันได้กลับมารวมตัวกับติ้งอ๋องแล้วสร้างปัญหาในการยึดครองตงฉู่ของพวกเราได้น่ะสิพ่ะย่ะค่ะ!”

เจิ้นหนานอ๋องหรี่ตาลงเล็กน้อย ยกมือขวาขึ้นลูบแขนเสื้อข้างซ้ายที่ว่างเปล่าอย่างใจลอย “ถึงแม้ข้าจะอยากประมือกับม่อซิวเหยาสักครั้ง แต่ด้วย…ฐานะหัวหน้าผู้บัญชาการทหารจึงไม่อาจทำศึกตามแต่ใจได้ ครานี้ สวรรค์ได้ประทานโอกาสที่ดีที่สุดให้กับข้าแล้ว หากสามารถทำลายทัพใหญ่นี้ให้สิ้นซากได้ ตำหนักติ้งอ๋องคงสิ้นฤทธิ์เสียที!”

“น้อมรับบัญชาท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ!” ทุกคนต่างเอ่ยขึ้นพร้อมกัน การคิดหาทางกำจัดตำหนักติ้งอ๋อง ทำให้ในใจทุกคนต่างอดตื่นเต้นขึ้นไมได้

เจิ้นหนานอ๋องพยักหน้าด้วยความพอใจ “ดีมาก รีบบุกโจมตีเมืองซิ่นหยาง ภายในสามวันจะต้องยึดเมืองซิ่นหยางให้ได้! จากนั้นเดินทัพต่อไปยังเจียงซย่า กำจัดกองทัพตระกูลม่อให้สิ้นซาก!”

”รับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!”

“เรียนพระชายา มีข่าวส่งมาจากหมายเลขสองแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ภายในค่ายกองทัพตระกูลม่อ เยี่ยหลีนั่งอยู่ในกระโจมใหญ่ อาศัยจังหวะที่ทหารทั้งหมดกำลังตั้งค่าย หันมาปรึกษาหารือกับหนานโหว

จั๋วจิ้งเดินเข้ามาพร้อมจดหมายในมือ เยี่ยหลีไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมอง เพียงเอ่ยเรียบๆ ว่า “แปลออกมาให้ข้า”

จั๋วจิ้งพยักหน้า เดินไปยังโต๊ะหนังสือที่ตั้งอยู่มุมหนึ่งภายในกระโจม ยกพู่กันขึ้นมาแปลจดหมายฉบับนั้น

เยี่ยหลีเอ่ยกับหนานโหวต่อว่า “ต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อยเจ็ดวัน กว่าพวกเราจะเดินทางไปถึงเจียงซย่า ที่หนานโหวเอ่ยว่าให้เร่งเคลื่อนทัพนั้น เกรงว่าคงจะลำบากไม่น้อย”

หนานโหวขมวดคิ้วเอ่ยว่า “เหตุใดหรือพ่ะย่ะค่ะ กองทัพตระกูลม่อเคลื่อนพลได้รวดเร็วยิ่งนัก ข้าจำได้ว่า หนึ่งวันเคยเคลื่อนพลได้เร็วที่สุดถึงหนึ่งร้อยลี้…”

เยี่ยหลีส่ายหน้า เอ่ยว่า “ท่านอ๋อง นั่นเป็นกองทัพขนาดเล็ก พวกเรามีกำลังพลเกือบสามแสนนาย หากเส้นทางที่ต้องใช้เวลาเดินทางสิบวัน สามารถลดเหลือห้าวันได้ ท่านคิดว่าต่อให้พวกเราสามารถไปถึงชายแดนได้ทัน นายทหารสามแสนนายนี้จะยังมีกำลังพอไปทำศึกหรือไม่ เกรงว่า คนซีหลิงคงไม่ให้เวลาพวกเราได้พักผ่อน หากพวกเราไปถึงเจียงซย่าเมื่อใด สิ่งที่รอพวกเราอยู่คงมีเพียงศึกที่ดุเดือดเท่านั้น”

หนานโหวถอนหายใจหนักๆ “สิ่งที่พระชายาเอ่ยมานั้นมิใช่ว่าข้าไม่รู้ เพียงแต่ข้าเป็นกังวลกับเมืองซิ่นหยางยิ่งนัก…”

เยี่ยหลีส่ายหน้า เอ่ยเสียงต่ำว่า “ซิ่นหยางคงรักษาไว้ไมได้แล้ว ด้วยความสามารถของหนานโหว หากต้องเผชิญหน้ากับเจิ้นหนานอ๋อง จะสามารถรักษาเมืองซิ่นหยางไว้ได้สักกี่วันหรือ”

หนานโหวนิ่งคิดพักหนึ่ง “เมืองซิ่นหยางไม่ขาดแคลนเรื่องยุทธปัจจัย หากเป็นข้า สามารถรักษาไว้ได้หนึ่งเดือนพ่ะย่ะค่ะ”

เยี่ยหลีเอ่ยว่า “แม่ทัพเหลิ่งสามารถต้านไว้ได้ครึ่งเดือน ท่านโหวลองนับดูว่านี่เป็นวันที่เท่าไรแล้ว ต่อให้พวกเราติดปีกบินก็ไปรักษาเมืองซิ่นหยางไว้ได้ไม่ทัน อีกอย่าง เมืองซิ่นหยางใช่ว่าจะไม่ขาดแคลนสิ่งใดเลย เมืองซิ่นหยางขาดน้ำ!”

สีหน้าทุกคนเปลี่ยนไปเล็กน้อย หากว่าขาดเสบียงอาหาร ยังพอสามารถยื้อไปได้อีกพอสมควร แต่หากขาดน้ำคงไม่มีอันใดต้องพูดถึงแล้ว หนำซ้ำเมืองซิ่นหยางยังตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นเขตที่ขาดแคลนน้ำอยู่แล้ว เมื่อถูกซีหลิงปิดล้อมไว้ อย่างไรก็คงหนีไม่พ้นต้องขาดน้ำอยู่ดี

“ต่อให้พวกเรารีบเพียงใด เจิ้นหนานอ๋องก็คงไปรอพวกเราอยู่ที่เจียงซย่าอยู่ดี” เยี่ยหลีเอ่ยพร้อมทอดถอนใจ

มู่หยางขมวดคิ้วเอ่ยถามว่า “หากเจียงซย่าเกิดถูกตีแตกด้วยล่ะพ่ะย่ะค่ะ”

คิ้วคมของหลี่ว์จิ้นเสียนเลิกขึ้น “มู่ซื่อจื่อวางใจเถิด ผู้บัญชาการที่ประจำการอยู่ที่เมืองเจียงซย่าคือแม่ทัพหยวนเผย ถึงแม้จะมีกำลังทหารอยู่เพียงไม่กี่หมื่นนาย แต่เจียงซย่าแตกต่างกับเมืองซิ่นหยางที่เป็นพื้นที่ราบอย่างสิ้นเชิง จะรักษาเมืองไว้สักสิบวันหรือครึ่งเดือน ย่อมไม่เป็นปัญหา ต่อให้เจิ้นหนานอ๋องใช้กำลังทหารจำนวนมากเข้าบีบ ขอเพียงเจียงซย่ายังมีทหารอยู่เพียงนายเดียว ก็ไม่มีทางให้คนซีหลิงก้าวเข้ามาได้แม้สักครึ่งก้าวแน่นอน!”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ หนานโหวและมู่หยางต่างอดรู้สึกร้อนขึ้นที่ใบหน้าขึ้นมาไม่ได้ กองทัพตระกูลม่อประจำการอยู่บริเวณชายแดนมากว่าร้อยปี มิเคยมีสักครั้งที่จะให้ศัตรูจากต่างแคว้นก้าวข้ามเข้ามาภายในอาณาเขตของต้าฉู่ แต่ในยามนี้ ด้วยเพราะความหวาดระแวงของฮ่องเต้ที่มีต่อตำหนักติ้งอ๋อง จนสั่งย้ายทหารกองทัพตระกูลม่อ เริ่มทำศึกมายังไม่ทันถึงหนึ่งเดือนดี ทัพใหญ่ของซีหลิงก็สามารถตีเมืองแตกได้อย่างต่อเนื่อง และเดินทัพเข้ามาได้กว่าสามสี่ร้อยลี้แล้ว

หนานโหวพยักหน้า “พระชายามีแผนในใจก็ดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

เยี่ยหลีคลี่ยิ้มบางๆ “ข้ารู้ว่าท่านโหวเองก็เป็นกังวลเรื่องการศึก ท่านโหววางใจเถิด แม่ทันซุนเหยียนได้ส่งหน่วยเฮยอวิ๋นฉีให้เร่งเดินทางทั้งวันทั้งคืน ล่วงหน้าไปยังเมืองเจียงซย่าก่อนแล้ว”

“พระชายา” อีกด้านจั๋วจิ้งแปลจดหมายเสร็จพอดี จึงเดินมาส่งให้เยี่ยหลี เยี่ยหลีก้มหน้าลงอ่านอยู่พักใหญ่ ขมวดคิ้วพร้อมส่งจดหมายฉบับนั้นให้หนานโหว “ท่านโหวและแม่ทัพทุกท่านเห็นว่าอย่างไรบ้าง”

หนานโหวกวาดตาอ่าน ก่อนหันมองจั๋วจิ้งที่ยืนสีหน้าเรียบเฉยอยู่ข้างกายเยี่ยหลีด้วยสีหน้าตื่นตกใจ ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “จู่ๆ เจิ้นหนานอ๋องก็เริ่มบุกโจมตีเมือง หรือว่าคิดจะยึดเมืองเจียงซย่าให้ได้ก่อนที่พวกเราจะไปถึง ไม่สิ! พระชายา ไม่ได้การแล้ว”

หลี่ว์จิ้นเสียนและเฟิ่งเจือเหยาเมื่อเห็นหนานโหวหน้าถอดสี จึงรีบดึงจดหมายในมือมาอ่านโดยไม่ทันสนใจเรื่องลำดับก่อนหลัง แล้วก้มลงอ่านพร้อมกัน ทั้งสองยิ่งอ่านยิ่งขมวดคิ้วแน่น เจิ้นหนานอ๋องส่งคนเข้าบุกโจมตีเมืองซิ่นหยางอย่างดุเดือด อีกด้านก็แบ่งกำลังพลให้ไปโอบล้อมจากด้านข้าง แม้แต่ทัพใต้ที่อยู่ห่างจากพวกเขาไปไม่ไกล ก็แบ่งกำลังพลให้เดินทางขึ้นเหนือมาทางนี้…

“พระชายา…” เฟิ่งจือเหยาขมวดคิ้ว

หนานโหวเอ่ยเสียงขรึมว่า “เจิ้นหนานอ๋องบุกโจมตีเมืองซิ่นหยางไปพลาง ก็แบ่งกำลังพลให้เดินทางอ้อมเข้ามา เกรงว่าคงคิดจะปิดทางถอยของแม่ทัพหยวนพ่ะย่ะค่ะ”

คิ้วเรียวของเยี่ยหลีขมวดมุ่น พักใหญ่ ถึงได้เอ่ยขึ้นว่า “หยิบแผนที่มาที”

ในยามเช่นนี้ถึงได้รู้ถึงข้อบกพร่องในการส่งข่าวที่ไม่ลื่นไหล ไม่ว่าในยามนี้พวกเขาจะวิเคราะห์สิ่งใดออก ก็มิอาจส่งข่าวไปยังผู้บัญชาการทัพหน้าได้ทันท่วงที ทำได้เพียงหวังให้ผู้บัญชาการทัพหน้ามองเห็นเจตนาของฝ่ายตรงข้ามออกอย่างที่พวกเขาเห็น และสามารถคิดหาทางรับมือที่จำเป็นได้เท่านั้น โชคดีที่ข้อบกพร่องเช่นนี้ในหลายๆ ครั้ง มักเป็นสิ่งที่ต่างฝ่ายต่างมีเช่นกัน

จั๋วจิ้งหันหลังกลับไปหยิบกระดาษที่พับอยู่ออกมาจากด้านหลัง ก่อนค่อยๆ คลี่กระดาษแผ่นนั้นออกเผยให้เห็นสัญลักษณ์ลายเส้นอันลดเลี้ยวเคี้ยงคดที่เป็นสัญลักษณ์แทนเส้นทางแม่น้ำและภูเขาต่างๆ ของชายแดนต้าฉู่จากภาคใต้ไปถึงภาคเหนือ

เยี่ยหลีหยินพู่กันบนโต๊ะขึ้นมา ทำสัญลักษณ์ในจุดที่เมื่อครู่เอ่ยถึงเส้นทางการเคลื่อนทัพของแต่ละกองทัพของซีหลิน ขมวดคิ้วก่อนเงยหน้าขึ้นเอ่ยว่า “แผนที่โดยละเอียดของเขตตะวันตกเฉียงเหนือส่งกลับมาแล้วหรือยัง”

จั๋วจิ้งหมุนตัวกลับไปหยิบกระดาษชุดหนึ่งออกมาจากสัมภาระ “มาถึงเมื่อเช้าวันนี้พ่ะย่ะค่ะ กำลังคิดจะเอาให้พระชายาดูอยู่พอดีพ่ะย่ะค่ะ”

เยี่ยหลีจัดการกับของบนโต๊ะ ก่อนกางแผนที่ออกแล้วหันไปพูดว่า “ให้ข้าดูจะมีประโยชน์อันใด ข้าเองก็ไม่เคยไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ ท่านโหว แม่ทัพหลี่ว์ พวกท่านมาช่วยดูที”

ทุกคนต่างนึกสงสัยแผนที่ที่กางอยู่ตรงหน้านานแล้ว เมื่อได้ยินเยี่ยหลีเอ่ยเช่นนี้ จึงเข้าไปรุมล้อมดูทันที บนโต๊ะมีแผนที่ที่หน้าตาคล้ายคลึงกันวางอยู่สองแผ่น แผ่นหนึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นแผนที่ทางชายแดนเขตตะวันตกของต้าฉู่ ส่วนอีกแผ่นหนึ่งดูจะมีรายละเอียดเยอะกว่ามาก แต่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเขตตะวันตกเฉียงเหนือนี่เท่านั้น และเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน

หลี่ว์จิ้นเสียนเอ่ยชื่นชมว่า “ของดีนัก ตัวข้าอยู่ที่ชายแดนทางตะวันตกเฉียงเหนือตั้งแต่อายุยี่สิบปี ก็เกือบยี่สิบปีแล้ว ยังมิอาจพูดได้ว่าข้ารู้จักพื้นที่ได้ดีกว่าแผนที่ฉบับนี้”

หนานโหวพยักหน้า ชี้นิ้วไปยังจุดหนึ่งบนแผนที่ “แม่ทัพหลี่ว์เอ่ยได้ถูกต้องแล้ว สมัยก่อนข้าก็ไปที่เขตตะวันตกเฉียงเหนืออยู่หลายครา แผนที่ฉบับนี้ของพระชายาวาดได้…ละเอียดยิ่งนัก”

เยี่ยหลีระบายยิ้มอย่างพอใจ จะไม่ละเอียดได้หรือ คนกลุ่มที่เพิ่งผ่านการฝึกมาทั้งหมดถูกส่งออกไปสำรวจ บวกกับแผนที่ประเภทต่างๆ ที่เคยมีอยู่ หากยังไม่สามารถศึกษาพื้นที่เขตตะวันตกเฉียงเหนือได้อย่างละเอียด เช่นนั้นก็ถือว่าคนกลุ่มนี้เรียนมาเสียเปล่าแล้ว

เยี่ยหลีจับจ้องแผนที่ทั้งสองฉบับอยู่เป็นนาน ก่อนหยิบพู่กันขึ้นวาดเส้นทางเส้นหนึ่งขึ้นบนแผนที่ แล้วเอ่ยเสียงขรึมว่า “รีบถ่ายทอดคำสั่งไปยังชายทางใต้ ทหารที่อยู่ใกล้ทัพใต้ของซีหลิงทั้งหมด ให้เดินทางไปรวมตัวกันที่ฝั่งตะวันตก ขวางกำลังทหารจากทัพใต้ที่จะแบ่งกำลังออกไปไว้!”

จั๋วจิ้งพยักหน้ารับคำ เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้นคิด ก่อนระบายยิ้มบางๆ ก้มลงหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาเขียนตัวอักษรตัวหนึ่งลงไป แล้วยื่นส่งให้จั๋วจิ้งพร้อมเอ่ยถามว่า “ฉินเฟิงอยู่ที่ใด”

จั๋วจิ้งก้มหน้าลงคิดเล็กน้อย เอ่ยว่า “ใกล้ๆ ด่านหลินพ่ะย่ะค่ะ ยามนี้น่าจะกำลังเตรียมตัวเดินทางขึ้นเหนือมาสมทบกับพวกเราพ่ะย่ะค่ะ”

เยี่ยหลีก้มหน้าลงมองตำแหน่งที่ตั้งของด่านหลิน เอ่ยว่า “บอกเขาว่าไม่ต้องกลับมาแล้ว นำสิ่งนี้ไปให้เขา เป็นแผนการขั้นต่อไป”

จั๋วจิ้งรับกระดาษนั้นมาโดยไม่แม้แต่จะมอง หมุนตัวเดินออกไปทันที

“พระชายามีแผนอันใดหรือ” มู่หยางเลิกคิ้วขึ้นถาม

เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “ก็ไม่ถือว่าเป็นแผนอันใดหรอก แค่เพียงเตรียมการไว้ก่อนเท่านั้น เผื่อเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น”

มู่หยางรู้ว่านางไม่คิดที่จะบอกเขา จึงเพียงมองนางด้วยสายตาหลากหลายแต่มิได้ถามอันใดต่อ

ร้อยปีมานี้ กองทัพตระกูลม่อเชื่อฟังคำสั่งการเคลื่อนพลของตำหนักติ้งอ๋องมาโดยตลอด หลายปีมานี้พวกเขามีความรู้สึกต่อฮ่องเต้ที่ไม่สู้ดีเท่าไรนัก เขาซึ่งเป็นคนที่ฮ่องเต้ยัดเยียดเข้ามา หนำซ้ำในตระกูลยังมีคนที่ฮ่องเต้ทรงไว้วางพระทัยอย่างที่สุดอยู่อีก ยามนี้เขาจึงย่อมอยู่ในฐานที่กระอักกระอ่วนเป็นธรรมดา ยังโชคดีที่มู่หยางเองก็เป็นคนที่รู้ว่าควรวางตัวเช่นไร

หนานโหวหันมองเยี่ยหลี ก่อนหันมองมู่หยาง ประหนึ่งไม่รับรู้ถึงคลื่นใต้น้ำระหว่างทั้งสองคน เขายกมือขึ้นลูบเครายิ้มพร้อมเอ่ยว่า “พระชายามีแผนในใจก็ดีแล้ว ยามนี้พวกเราอยู่ห่างไกลเป็นร้อยลี้ จะทำอันใดก็ไม่มีผู้ใดคอยช่วยเหลือ อย่างไรการรีบเร่งเดินทางไปช่วยเหลือยังสนามรบก็เป็นเรื่องสำคัญที่สุด”

เยี่ยหลีและมู่หยางต่างพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

หนานโหวถึงได้หัวเราะออกมา เขาปรึกษาหารือกับเยี่ยหลีและคนอื่นๆ อยู่อีกพักหนึ่งก็ลุกขึ้นขอตัวกลับไปพักยังกระโจมของตน

มู่หยางเมื่อเห็นหนานโหวเดินออกไปแล้ว ต่อให้เขานึกอยากอยู่ฟังบนสนทนาของทุกคนต่อ แต่ก็ทำได้เพียงลุกขึ้นขอตัวตามออกไปอีกคนเท่านั้น

ชายาเคียงหทัย

ชายาเคียงหทัย

Status: Ongoing

หลังถูกน้องสาวร่วมบิดาแทงข้างหลัง ทำให้ เยี่ยหลี คุณหนูสามแห่งจวนตระกูลเยี่ยถูกถอนหมั้นจาก ม่อจิ่งหลี ท่านอ๋องรูปงามแห่งเมืองหลวง แต่นางก็ยังมองโลกในแง่ดี หวังว่าตนจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปอีกสักสองสามปี ทว่าเหตุไฉนสามวันให้หลัง ฝ่าบาทถึงได้พระราชทานสมรสให้นางอีกครั้งเล่า!

การแต่งงานครั้งนี้แม้ฉากหน้าจะดูเหมือนเป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก แต่คนที่นางต้องอภิเษกสมรสด้วยกลับเป็น ม่อซิวเหยา ท่านอ๋องพิการไร้ประโยชน์ อีกทั้งยังมีรูปโฉมอัปลักษณ์ เล่าลือกันว่าเขาเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วถึงสองครา ทว่าหญิงสาวทั้งสองคนที่เขาสมรสด้วยกลับต้องมีอันเป็นไปภายหลังจากการแต่งงานได้ไม่นาน

แต่ช้าก่อน…บุรุษที่แสนอ่อนโยนและเก่งกาจตรงหน้านางนี้น่ะหรือคือม่อซิวเหยา บุรุษที่กล่าวกันว่าเป็นคนน่ากลัว ไร้ค่า ไม่ได้เรื่องได้ความคนนั้น นี่คงมีอะไรที่เข้าใจผิดไปแล้วกระมัง

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท