ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 151 ข่าวอันน่าตกใจ
เมื่อส่งหนานโหวกลับไปแล้ว หนานโหวซื่อจื่อก็พุ่งตัวออกมาจากห้องด้านในทั้งน้ำตานองหน้า จั๋วจิ้งและหลินหานที่เดินตามออกมาต่างไม่รู้จะทำเช่นไร หากพวกเขาไม่ดึงตัวหนานโหวซื่อจื่อไว้ เขาคงพุ่งตัวออกมาเสียนานแล้ว
เมื่อเห็นหนานโหวซื่อจื่อออกมาแล้วแล้วคิดจะพุ่งออกไปทางประตู เยี่ยหลีก็ลุกขึ้นเอ่ยว่า “เจ้าจะไปไหน”
หนานโหวซื่อจื่อชะงักไป จั๋วจิ้งและหลินหานเข้าปิดทางขวางเอาไว้อย่างรวดเร็ว
หนานโหวซื่อจื่อหันไปเอ่ยว่า “ด้วยความเป็นบุตร และความเป็นบิดา จะให้ข้าทนเห็นบิดามารดา ภรรยาและลูกเข้าไปทุกข์ทรมานอยู่ในคุกได้อย่างไร อีกอย่างเรื่องทั้งหมดนี้ก็เกิดขึ้นเพราะข้าเป็นต้นเหตุ”
เยี่ยหลีเดินไปหยุดตรงหน้าเขา เอ่ยเรียบๆ ว่า “เจ้าผลีผลามออกไปยามนี้จะมีประโยชน์อันใด นอกเสียจากจะมีคนถูกจับเข้าคุกและต้องรับโทษประหารเพิ่มอีกหนึ่งคน? หรือเจ้าคิดจะไปอธิบายต่อหน้าพระพักตร์ เจ้าคิดว่าฝ่าบาทจะให้โอกาสนั้นแก่เจ้าหรือ”
หนานโหวซื่อจื่อเอามือปิดหน้าด้วยความเจ็บปวด ที่เยี่ยหลีเอ่ยมานั้นมีหรือเขาจะไม่รู้ เพียงแต่ยามนี้ นอกจากเขาเดินทางกลับไปพร้อมกับบิดาและร่วมเผชิญสิ่งเหล่านี้ไปพร้อมกับทุกคนในตระกูลแล้ว เขายังทำอันใดได้อีก?
“ที่หนานโหวไปครานี้ ก็ไม่แน่ว่าจะไม่มีทางรอด” ม่อซิวเหยาขมวดคิ้วเอ่ยเรียบๆ
หนานโหวซื่อจื่อหันมองม่อซิวเหยาด้วยความตื่นเต้นยินดี
ม่อซิวเหยาขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ในมือฮว่ากั๋วกงมีหนังสือเถี่ยเจวี่ยนตานที่ฮ่องเต้เกาจงพระราชทานให้แก่ตระกูลฮว่า ถึงแม้จะเป็นโทษตายก็สามารถละเว้นได้”
“แต่ว่า…” หนานโหวซื่อจื่อลังเล เขาเคยได้ยินเรื่องหนังสือเถี่ยเจวี่ยนตานอยู่ เพียงแต่ในราชวงศ์นี้ มีเพียงตระกูลฮว่าที่เคยทำคุณช่วยชีวิตฮ่องเต้เกาจงไว้เท่านั้นที่ได้รับพระราชทาน แม้แต่ตำหนักติ้งอ๋องที่ปกป้องคุ้มครองแผ่นดินมาทุกยุคทุกสมัยก็ยังไม่เคยได้รับสิ่งนี้ แต่ของสำคัญยิ่งเช่นนี้ จวนฮว่ากั่วกง…
ม่อซิวเหยาหลุบตาลงเอ่ยว่า “ฮว่ากั๋วกงไม่มีทางเสียดายของชิ้นนี้ แต่ข้าเพียงเกรงว่า…” เกรงว่าม่อจิ่งฉี เมื่อตัดสินจะเอาชีวิตหนานโหวแล้ว ต่อให้หนังสือเถี่ยเจวี่ยนตานช่วยชีวิตเขาไว้ได้ ก็เกรงว่าคงหนีความตายไม่พ้นอยู่ดี
เยี่ยหลีดูจะเข้าใจถึงความกังวลของม่อซิวเหยา นางพยักหน้าน้อยๆ ผินหน้าไปเอ่ยกับหลินหานว่า “ส่งจดหมายไปถึงม่อหวา พยายามรักษาความปลอดภัยของหนานโหวไว้ให้ได้”
หนานโหวซื่อจื่อก็ค่อยๆ สงบลง หันมาคารวะทั้งสอง “หนานจวิ้นเฟยขอบพระคุณท่านอ๋องและพระชายาพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีส่ายหน้า “ซื่อจื่อไม่ต้องมากพิธี”
หนานโหวซื่อจื่อฝืนยิ้มเอ่ยว่า “ข้าน้อยมีชื่อว่าจวิ้นเฟย ต่อไปท่านอ๋องและพระชายาเรียกชื่อข้าตรงๆ เลยเถิดพ่ะย่ะค่ะ ยามนี้ข้าหาใช่ซื่อจื่ออีกต่อไปไม่”
“เรียนท่านอ๋อง พระชายา เมื่อครู่ใต้เท้าโจวทิ้งจดหมายไว้ให้พระชายาฉบับหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ” ด้านหน้าประตู มีองครักษ์นำจดหมายปิดผนึกมาส่งให้ฉบับหนึ่ง
เยี่ยหลีเลิกคิ้ว รับจดหมายมาตรวจสอบดูด้วยความประหลาดใจ “ใต้เท้าโจวหรือ”
องครักษ์พยักหน้า “เมื่อครู่ก่อนพวกเขาจะไป ใต้เท้าโจวลอบส่งจดหมายฉบับนี้ให้ข้าน้อย และบอกให้ข้าน้อยนำมาให้ท่านอ๋องและพระชายาพ่ะย่ะค่ะ”
ม่อซิวเหยาขมวดคิ้วเอ่ยว่า “อาหลีรู้จักโจวอวี้หรือ” เมื่อครู่ยามที่โจวอวี้เดินเข้ามานั้น สีหน้าเยี่ยหลีดูประหลาดใจเล็กน้อย ถึงแม้จะเป็นเพียงชั่วแวบเดียว แต่ม่อซิวเหยาที่คอยสังเกตนางอยู่ก็ยังทันได้เห็น
เยี่ยหลีส่ายหน้า “น่าจะเป็นจิ้นซื่อของการสอบครานี้กระมัง เมื่อปีที่แล้วเคยได้พบหน้าเขาครั้งหนึ่ง” ความจำของเยี่ยหลี ถึงแม้จะไม่ถึงกับแค่เพียงเห็นก็จำได้ไม่ลืม แต่ก็ไม่ได้แย่กว่านั้นสักเท่าไร เพียงแค่โจวอวี้เอ่ยปากนางก็นึกออกทันที เขาคือบัณฑิตผู้นั้นที่มาขายภาพวาดที่พบที่ร้านเซิ่นเต๋อเซวียน ไม่นึกว่าเขาจะไม่เพียงสอบได้เป็นจิ้นซื่อ แต่ยังได้เป็นจู่ปู้ของกรมอาญาอีกด้วย ถึงแม้ตำแหน่งจะไม่ใหญ่นัก แต่ก็เป็นตำแหน่งที่มีศักยภาพพอดู ขอเพียงความสามารถและโชควาสนาของเขาไม่แย่จนเกินไป ต่อไปจะต้องมีอนาคตที่ไม่เลวอย่างแน่นอน
เยี่ยหลีเปิดจดหมายออกก้มลงอ่าน สีหน้าเปลี่ยนไปทันที ก่อนส่งจดหมายฉบับนั้นให้ม่อซิวเหยาเงียบๆ
เมื่อม่อซิวเหยาได้อ่าน สีหน้าที่เดิมก็ไม่ยินดีสักเท่าไรนัก ก็ยิ่งบึ้งตึงหนักขึ้นไปอีก ตบโต๊ะพร้อมเอ่ยเสียงเข้มว่า “ใครก็ได้! ไปตามตัวหนานโหวกลับมาเดี๋ยวนี้ ผู้ใดกล้าขวาง สังหารให้สิ้น!”
จั๋วจิ้งและหลินหานสีหน้าเคร่งขรึม เอ่ยรับคำขึ้นพร้อมกัน ก่อนสาวเท้าเร็วๆ ออกไปทันที
หนานจวิ้นเฟยเองรู้ว่าคงเกิดเรื่องขึ้นแล้ว เขาหน้าเปลี่ยนสีก่อนวิ่งตามจั๋วจิ้งและหลินหานออกไป
ภายในห้องโถงใหญ่เหลือเพียงม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีอยู่สองคน บรรยากาศยิ่งหนักอึ้งขึ้นไปอีก เมื่อเห็นสีหน้าบึ้งตึงของม่อซิวเหยา เยี่ยหลีจึงมิได้พูดอันใดมาก นั่งมองเขาอยู่เงียบๆ ครู่ใหญ่ ในที่สุดม่อซิวเหยาก็ดูประหนึ่งตื่นขึ้นมาจากความโกรธจัด สีหน้าเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและไม่รู้จะทำเช่นไรดี
ม่อซิวเหยาหยิบจดหมายที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาอีกครั้ง ฝืนยิ้มมองเยี่ยลี “อาหลี ข้าเหนื่อยเหลือเกิน…”
เยี่ยหลีซบลงกับบ่าเขาเงียบๆ ตบบ่าเขาเบาๆ
ม่อซิวเหยายื่นมือไปโอบนางให้เข้ามานั่งข้างเขา ซึมซับไออุ่นจางๆ ที่แผ่ออกมาจากตัวนาง แต่อย่างไรก็ไม่สามารถกลบความหนาวเหน็บในก้นบึ้งของหัวใจได้อยู่ดี เขามองตัวอักษรบนกระดาษที่เขียนด้วยลายมือคุ้นตา ตำหนักติ้งอ๋องเป็นที่โกรธแค้นถึงเพียงนี้แล้วจริงหรือ เพียงแต่ฮ่องเต้…ที่ทรงทำเช่นนี้ ไม่กลัวเลยหรือว่าแผ่นดินของต้าฉู่จะล่มสลายลงตั้งแต่ยามนี้
ในจดหมาย มิใช่สิ่งที่โจวอวี้เขียนขึ้น แต่เป็นลายมือของฮว่ากั๋วกงผู้เฒ่า ไม่มีผู้ใดรู้ว่าฮว่ากั๋วกงผู้เฒ่าทำเช่นไรถึงได้ค้นพบโจวอวี้ที่เพิ่งเข้าไปเป็นขุนนางชั้นผู้น้อยยังไม่ทันถึงหกเดือนเข้าได้ สถานการณ์ที่เอ่ยถึงในจดหมาย ดูสมจริงเสียจนทำให้คนอ่านรู้สึกหนาวเหน็บ
ม่อจิ่งฉีรับปากว่าจะยกพื้นที่ในซีเป่ยทั้งสามเขต รวมสิบเอ็ดเมืองให้แก่เคว้นซีหลิง โดยมีเงื่อนไขว่าแคว้นซีหลิงจะต้องให้ความร่วมมือในการกำจัดกองทัพตระกูลม่อทั้งหมดให้สิ้นซาก ผู้ที่ร่วมอยู่ในแผนการนี้ยังมีม่อจิ่งหลีที่คุมพื้นที่ทางตอนใต้อยู่และแค้วนหนานจ้าวอีกด้วย ซึ่งนั่นหมายความว่า เป็นไปได้มากที่ในยามนี้…หนานจ้าวได้ยกกำลังทหารเข้ามาในด่านซุ่ยเสวี่ยแล้ว
“ม่อจิ่งฉีบ้าไปแล้ว” เยี่ยหลีเอ่ยขึ้นเบาๆ การร่วมมือกับทั้งสามแคว้นเพื่อล้มกองทัพตระกูลม่อ บางทีอาจเป็นไปได้ แต่ม่อจิ่งฉีเคยคิดบ้างหรือไม่ หากวันใดที่กองทัพตระกูลม่อถูกกำจัดจนหมดสิ้นลง ซีหลิงและหนานจ้าวจะถอนกำลังกลับไปตามที่ได้ให้สัญญาไว้หรือไม่ หากพวกเขายอมทำเช่นนั้นจะต่างอันใดกับการคายเนื้อที่คาบอยู่ในปากแล้วหรือ
ม่อซิวเหยาเอ่ยเสียงขรึมว่า “เขาบ้าไปแล้วจริงๆ อาหลี ดูเหมือนเจ้าจะได้แต่งงานกับสามีที่มีแต่เรื่องไม่ได้หยุดได้หย่อนเข้าให้เสียแล้ว”
เยี่ยหลียิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “มารู้เอาตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว”
คณะของหนานโหวกลับมาถึงอย่างรวดเร็ว ยามที่จั๋วจิ้งและหลินหานไปถึงตัวพวกเขานั้น คณะของเขาเพิ่งออกจากประตูเมืองไปได้ไม่เท่าไร ชั่วเวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งเค่อ ก็กลับมาอยู่ที่จวนผู้ว่าการอีกครั้งหนึ่งเสียแล้ว
สีหน้าหวังจิ้งชวนดูไม่สบอารมณ์นัก เอ่ยเสียงขรึมว่า “ท่านติ้งอ๋อง นี่ท่านหมายความเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ”
หนานโหวเองก็มองม่อซิวเหยาด้วยสีหน้าฉงนสงสัยเช่นกัน แต่เขารู้ดีว่าหากไม่มีเหตุอันใดแล้ว ติ้งอ๋องไม่มีทางให้คนไปขวางพวกเขากลับมาอย่างเด็ดขาด
ม่อซิวเหยามองหวังจิ้งชวนด้วยสีหน้าเรียบเย็น เอ่ยถามเรียบๆ ว่า “ใต้เท้าหวังยังมีเรื่องอันใดที่ลืมบอกข้าอีกหรือไม่”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หวังจิ้งชวนก็ถึงกับตกใจ ไม่รู้เพราะเหตุใด จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่า ติ้งอ๋องในยามนี้ที่มีสีหน้าเรียบเฉย กลับดูน่าเกรงกลัวเสียยิ่งกว่าเมื่อครู่ที่ตั้งใจแสดงท่าทีข่มขู่ออกมาเสียอีก เขาฝืนยิ้มเอ่ยว่า “ท่านอ๋องหมายความเช่นไรกัน โปรดอภัยให้ความโง่เขลาของข้าน้อยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ม่อซิวเหยาหัวเราะเยาะหยัน “โง่เขลาได้ดีจริงเชียว ข้าไม่ยักรู้ว่า ฮ่องเต้จะส่งคนที่โง่เขลามายังซีเป่ย ในเมื่อใต้เท้าหวังจำไม่ได้ ข้าก็จะช่วยเตือนความจำให้ใต้เท้าหวังเอง เช่นว่า…ให้จัดการสังหารหนานโหวระหว่างทางกลับเมืองหลวงอย่างไร เชื่อว่าใต้เท้าหวังคงไม่ลืมเรื่องนี้กระมัง หื้อ?”
หวังจิ้งชวนเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ ราชโองการลับฉบับนั้น เขาเพิ่งได้รับต่อหน้าพระพักตร์ของฮ่องเต้ก่อนเขาออกเดินทางจากเมืองหลวงเพียงหนึ่งเค่อ จะว่าในโลกนี้นอกจากเขาแล้ว ก็มีเพียงฮ่องเต้ที่ทรงรู้เรื่องนี้ หลังจากรับราชโองการมาแล้ว เขาก็ขึ้นม้าเร็ว เร่งรุดมายังซีเป่ยทันที หวังจิ้งชวนคิดไม่ออกจริงๆ ว่าหากสายลับของตำหนักติ้งอ๋องมิได้มีความสามารถล่วงรู้ถึงสวรรค์ จะสามารถรู้ข่าวที่มีความลับสุดยอดเช่นนี้ได้อย่างไร
เมื่อได้ยินม่อซิวเหยาเอ่ยเช่นนั้น หนานโหวก็อึ้งไป ก่อนระบายยิ้มอย่างฝืดเฝื่อน แต่หนานจวิ้นเฟยที่ยืนอยู่ด้านหลังเขากลับตาเป็นประกายคมกล้า หากไม่มีหลินหานคอยดึงไว้ เกรงว่าเขาคงได้พุ่งเข้าไปฉีกร่างหวังจิ้งชวนเป็นชิ้นๆ เสียแล้ว
หวังจิ้งชวนเองก็รู้ดี เมื่อตกอยู่ในมือของติ้งอ๋อง ก็คงไม่อาจหนีไปที่ใดได้อีกแล้ว เขาตัวอ่อนลงไปคุกเข่าลงกับพื้นทันที “ท่านอ๋องโปรดอภัยด้วย ข้าน้อยเพียงทำตามราชโองการของฝ่าบาท ท่านอ๋องได้โปรดไว้ชีวิตด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ม่อซิวเหยาคร้านจะมองเขา เยี่ยหลีจึงโบกมือเอ่ยว่า “เอาตัวออกไปเถิด”
หวังจิ้งชวนถูกองครักษ์สองนายลากออกไปอย่างรวดเร็ว เยี่ยหลีหันมองไปทางโจวอวี้ที่ยืนอยู่ด้วยสีหน้าสงบนิ่ง เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ใต้เท้าโจว ท่านไม่กลัวหรือ”
โจวอวี้สีหน้าสบายๆ ประสานมือเอ่ยว่า “ข้าน้อยเชื่อว่าพระชายามิใช่คนที่จะฆ่าผู้บริสุทธิ์พ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลียิ้มบางๆ พยักหน้าเอ่ยว่า “เรื่องนี้อย่างไรก็ต้องขอบคุณใต้เท้าโจวมาก เพียงแต่ที่ใต้เท้าโจวทำเช่นนี้…เมื่อกลับไปเมืองหลวงแล้ว เกรงว่าคงจะกลับไปรายงานได้ลำบากเสียแล้ว”
ข่าวที่ฮ่องเต้ทำข้อตกลงกับซีหลงนั้น เป็นสิ่งที่ฮว่ากั๋วกงขอให้โจวอวี้นำมาส่งให้พวกเขา เพียงแต่เรื่องเกี่ยวกับหนานโหวนั้น กลับเป็นสิ่งที่โจวอวี้คิดวิเคราะห์และเขียนเพิ่มเข้ามาในตอนท้าย
หวังจิ้งชวนที่คิดว่าตนปิดข่าวได้สนิทแล้วนั้น กลับไม่รู้เลยว่า โจวอวี้ที่อยู่ข้างกายเขาตลอดหลายวันนี้ คาดเดาสิ่งที่ฮ่องเต้ต้องการจัดการกับตระกูลหนานโหวเอาจากท่าทีและสีหน้าของเขาเท่านั้น
โจวอวี้นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “เมื่อปีก่อน โชคดีที่ได้พระชายาช่วยเหลือ ทำให้ข้าน้อยได้เงินไปเชิญท่านหมอให้มารักษามารดาของข้าได้ทันการณ์ หลายวันก่อนมารดาฆ่าได้เสียชีวิตลงแล้ว เดิมทีข้าน้อยควรอยู่ไว้อาลัยให้กับมารดาเพื่อเป็นการแสดงความกตัญญู แต่กลับถูกส่งให้มาติดตามใต้เท้าหวังเดินทางมายังซีเป่ย ดูท่าโชคชะตาคงต้องการให้ข้าน้อยได้ตอบแทนความกรุณาของพระชายา ยามนี้ข้าน้อยก็เหลือเพียงตัวคนเดียวแล้ว จึงมิได้มีห่วงอันใดพ่ะย่ะค่ะ”
ม่อซิวเหยาพยักหน้าอย่างใช้ความคิด “ถ้าเช่นนั้น ใต้เท้าโจวจะยอมละทิ้งตำแหน่งแล้วอยู่ที่ซีเป่ยเป็นการชั่วคราวหรือไม่”
โจวอวี้อึ้งไป ถึงแม้เขาจะไม่กลัวตาย แต่ก็ยังไม่คิดอยากรนหาที่ตาย ที่ติ้งอ๋องทำเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าทำเพื่อความปลอดภัยของตัวเขาเอง เขาเหลือบมองเยี่ยหลีที่นั่งอมยิ้มมองมาที่ตน โจวอวี้ตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว “ขอบพระคุณท่านอ๋องที่รับตัวข้าน้อยไว้พ่ะย่ะค่ะ”
“หนานโหวกับใต้เท้าหวังนี้ ควรทำเช่นไรดี ท่านอ๋องมีความคิดอันใดหรือไม่เพคะ” เยี่ยหลีอมยิ้มเอ่ยถาม
ม่อซิวเหยาเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ที่อาหลีถามเช่นนี้ แสดงว่ามีคิดไว้แล้วใช่หรือไม่”
เยี่ยหลีคลี่ยิ้ม “ซีเป่ยกำลังอยู่ระหว่างการศึกอันวุ่นวาย คนซีหลิงออกระรานไปทั่ว ระหว่างที่ใต้เท้าหวังเดินทางมานี้ จะโชคไม่ดีพบการดักปล้นหรือเจอพื้นที่ที่ทหารซีหลิงยึดครองอยู่ ก็คงมิใช่เรื่องแปลกอันใด ท่านอ๋องคิดว่าอย่างไรเพคะ”
ม่อซิวเหยาเอ่ยชื่นชมว่า “ที่อาหลีว่านั้นจริงนักเชียว”
หนานโหวก้าวขึ้นมาคารวะขอบคุณ “ขอบพระคุณท่านอ๋อง พระชายา”
เยี่ยหนีส่ายหน้า “ท่านโหวอยู่ที่นี่ให้สบายใจเถิด แต่คงต้องทำให้ท่านโหวลำบากสักช่วงหนึ่งแล้ว จวนหนานโหวนั่น…”
หนานโหวยิ้มอย่างเศร้าสร้อย “แล้วแต่สวรรค์จะโปรดเถิด หวังเพียงเมื่อฮ่องเต้ได้รู้ข่าวว่าพวกเราสองคนพ่อโลกถูกฆ่าตายแล้ว จะทรงเมตตาละเว้นผู้เฒ่าผู้แก่และเด็กๆ ของตระกูลบ้าง”
เมื่อส่งพ่อลูกหนานโหวไปพักแล้ว หลินหานก็ได้รับคำสั่งให้ไปสร้างสถานการณ์ว่าคณะเดินทางของหวังจิ้งชวนประสบเหตุร้าย ถึงแม้พ่อลูกหนานโหวและโจวอวี้จะเป็นตัวปลอม แต่อย่างน้อยก็มีหวังจิ้งชวนที่เป็นตัวจริงเสียงจริง
หลินหานเองก็เป็นยอดนักแปลงโฉมที่เยี่ยหลีอบรมสั่งสอนมาเองกับมือ จึงย่อมไม่มีพิรุธอันใดเหลือไว้ในที่แห่งนั้นอย่างแน่นอน เพียงแต่พ่อลูกหนานโหวหนีไม่พ้นต้องปิดบังชื่อแซ่ให้ได้ภายในระยะเวลาอันสั้น เรื่องเหล่านี้ในยามนี้ยังถือเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ความสนใจทั้งหมดของเยี่ยหลีและม่อซิวเหยาต่างพุ่งไปที่จดหมายลับที่ฮว่ากั๋วกงส่งมา
เมื่อได้รับข่าว แม้แต่เฟิ่งจือเหยาที่มักมีท่าทีเรื่อยเจื้อยไม่สนใจอันใดอยู่เป็นนิจ ยังอดเป็นเดือดเป็นแค้นขึ้นมาไม่ได้ เขาถลึงตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ หมายจะยกทัพกลับไปยังเมืองหลวงเสียเดี๋ยวนี้ แต่กลับถูกม่อซิวเหยาเรียกเอาไว้ก่อน
เฟิ่งจือเหยาเอ่ยตัวใบหน้าบึ้งตึงว่า “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ท่านอ๋องจะยังปกป้องม่อจิ่งฉีอีกหรือ ยังจะปกป้องต้าฉู่อีกหรือ แผ่นดินนี้แม้แต่ม่อจิ่งฉีก็ยังไม่สนใจ แล้วพวกเราจะสนใจไปไย”
ม่อซิวเหยาหน้านิ่ง เอ่ยเสียงขรึมว่า “สิ่งที่กองทัพตระกูลม่อต้องปกป้องมิใช่แผ่นดินอันกว้างใหญ่ของต้าฉู่ แต่เป็น…ประชาชนทั้งหลายที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินผืนนี้ เฟิ่งซาน การแตกหักกับม่อจิ่งฉีในยามนี้ ยังไม่ต้องสนใจซีหลิง หนานจ้าวหรือเป่ยหรงเลย แค่ต้าฉู่เองก็จะเกิดสงครามและความวุ่นวาย จนทำให้ไฟสงครามลุกลามไปทั่ว”
เฟิ่งจือเหยาเอ่ยเยาะหยันว่า “เช่นนี้ยามนี้จะทำเช่นไร ต่อให้พวกเราไม่มีท่าทีอันใด ม่อจิ่งฉีจะปล่อยให้ผ่านไปเช่นนี้หรือ หากแนวหน้าพวกเราต่อสู้กับซีหลิง ท่านอ๋องรับรองได้หรือว่า เขาจะไม่ลอบแทงเราข้างหลัง”
ม่อซิวเหยานิ่งไป เขาก็ไม่อาจรับประกันในเรื่องนั้น ที่ม่อจิ่งฉีตกลงทำสัญญาเช่นนี้กับซีหลิง นั่นหมายความว่า ตัวเขาเองเตรียมพร้อมที่จะแทงข้างหลังกองทัพตระกูลม่อไว้ตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่ในยามนี้… มือเรียวยาวคู่หนึ่ง เอื้อมมากจับมือเขาไว้เบาๆ ม่อซิวเหยาเงยหน้าขึ้นมองเยี่ยหลีที่อมยิ้มมองเขาอยู่
เยี่ยหลีหันมองเฟิ่งจือเหยาที่เกรี้ยวกราดอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน “ยามนี้ไม่เปิดเผยออกไป ถือเป็นเรื่องถูกแล้ว ยามนี้พวกเราไม่มีหลักฐาน หลายปีนี้ที่ม่อจิ่งหลีซ่อมสุมกำลังไว้ก็มีจำนวนไม่น้อย กองทัพตระกูลม่อทั้งหมดก็มีเพียงเจ็ดแสนนาย เฟิ่งซานยังจำได้หรือไม่ว่าต้าฉู่มีทหารอยู่ทั้งหมดมากน้อยเพียงใด”
เฟิ่งจือเหยาอึ้งไป แล้วค่อยๆ สงบลง นิ่งคิดเล็กน้อยก่อนเอ่ยว่า “มากกว่าสองล้านนาย อีกอย่าง…ม่อจิ่งฉีเป็นฮ่องเต้ อาจมีกองกำลังทหารลับส่วนพระองค์ที่พวกเราไม่รู้อยู่ก็เป็นได้”
เยี่ยหลีพยักหน้า “หากแตกหักกันเมื่อใด เอาเข้าจริงชาวบ้านส่วนใหญ่ ต่างเชื่อมั่นในราชวงศ์มากกว่าอยู่แล้ว ต่อให้ชาวบ้านธรรมดาเชื่อพวกเรา…ในระยะยาวอาจฟังดูมีประโยชน์ แต่ในช่วงเวลาสั้นๆ นี้หาได้มีประโยชน์อันใดไม่ ส่วนพวกเรา กลับเป็นไปได้มากที่จะต้องเผชิญกับกองทัพขนาดมากกว่าสองล้านนาย กองทัพตระกูลม่อ…ต่อให้เก่งกาจและเชี่ยวชาญการรบเพียงใด ก็มิอาจเป็นต่อได้เมื่อต้องเผชิญหน้ากับทหารจำนวนมากเช่นนี้”
เฟิ่งจือเหยาเอ่ยอย่างไม่ยินยอมว่า “หรือว่าเราต้องทนอยู่เช่นนี้หรือ”
เยี่ยหลีส่ายหน้า “มิใช่ต้องทนอยู่เช่นนี้ แต่พวกเราต้องการเวลา”
เฟิ่งจือเหยานิ่งไปครู่ใหญ่ ก่อนเอ่ยขึ้นว่า “ข้าเข้าใจแล้ว เพียงแต่ ท่านอ๋อง พระชายา ข้าต้องกลับไปเมืองหลวงสักหน่อย”
ม่อซิวเหยาขมวดคิ้วเอ่ยว่า “เจ้ากลับไปเมืองหลวงแล้วจะทำอันใดได้”
เฟิ่งจือเหยาฝืนยิ้ม “ท่านอ๋อง ยามนี้ ข่าวเช่นนี้แม้แต่องครักษ์ลับในเมืองหลวงก็ยังไม่ล่วงรู้ ข่าวนี้รั่วออกมาได้เช่นไร ท่านและข้าต่างรู้ดีแก่ใจ ข้าไม่วางใจ…”
ม่อซิวเหยาเอ่ยว่า “เจ้ากลับไปมีแต่จะยิ่งเป็นอันตรายต่อนาง เฟิ่งซาน แต่ไหนแต่ไรมาเจ้ามิใช่คนที่มีความอดทน”
เฟิ่งจือเหยาเอ่ยอย่างดื้อรั้นว่า “ถูกแล้ว…หลายปีนี้หากมิใช่เพราะท่านอ๋องห้ามข้าไว้ ข้า…”
ม่อซิวเหยามองเขา เลิกคิ้วเอ่ยว่า “เจ้ากำลังโทษข้า?”
เฟิ่งจือเหยาฝืนยิ้มส่ายหน้า “มิได้ ข้ารู้ดี…ไม่ว่าข้าจะทำเช่นไร นางก็ไม่มีทางหนีมากับข้า ท่านอ๋อง…ช่วยชีวิตพวกเราสองคนไว้”
ม่อซิวเหยาเอ่ยว่า “ทำใจให้สงบแล้วอยู่ที่ซีเป่ยนี่ล่ะ ข้ารับรองว่า ต่อให้คนทั้งเมืองหลวงตายจนหมด นางก็จะยังมีชีวิตอยู่”
เฟิ่งจือเหยาเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ มองม่อซิวเหยาด้วยสายตาซาบซึ้ง “ท่านอ๋องมีจัดคนไว้…”
ม่อซิวเหยาเอ่ยว่า “พวกเราอย่างไรก็ถือว่าโตมาด้วยกันตั้งแต่เล็กๆ อีกอย่างหลายปีมานี้นางก็ช่วยตำหนักติ้งอ๋องไว้ไม่น้อย ข้าจะไม่สนใจความเป็นความตายของนางได้อย่างไร”
เฟิ่งจือเหยามีสายตาวางใจ กลับนั่งลงอีกครั้ง “ขอบพระคุณท่านอ๋อง”
ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ ว่า “ข้าไม่ได้ทำเพื่อเจ้า”
เฟิ่งจือเหยายิ้ม “ข้ารู้ ข้าขอบคุณท่านอ๋องเพื่อตัวข้าเอง”