ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 168-1 ศึกตัดสิน
นอกเมืองหงโจว ยังคงมีเสียงรบราฆ่าฟันดังสะเทือนไปถึงฟ้า แต่ภายในเมือง ไม่มีผู้ใดที่จะรู้สึกตื่นตระหนกอีกแล้ว
เยี่ยหลีนั่งจิบชาสบายๆ อยู่ในโรงน้ำชาที่ว่างเปล่าไร้ผู้คน เมื่อเปิดหน้าต่างออกไป สามารถมองเห็นภาพการรักษาเมืองของทหารเหนือกำแพงเมืองได้พอดิบพอดี
พวกหลินหานและจั๋วจิ้งยื่นนิ่งอยู่ด้านหลังนาง มองไปยังกำแพงเมืองที่อยู่ไกลออกไปเช่นกัน ฉินเฟิงที่ตามปกติจะอยู่ติดข้างกายเยี่ยหลีไม่ยอมห่างแม้เพียงครึ่งก้าว มายามนี้กลับไม่เห็นเงาเขาแล้ว
ม่อหวาที่รับหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของเยี่ยหลี มองสตรีที่เอาแต่นั่งนิ่งไม่เอ่ยอันใดด้วยความลังเลใจ
“พระชายา เมืองทางด้านเหนือเกรงว่าจะต้านไว้ไม่อยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ” เว่ยลิ่นกระหืดกระหอบเข้ามาเอ่ยรายงานด้วยความเคารพ
เยี่ยหลีก้มหน้าลงนิ่งคิดเล็กน้อย ก่อนเอ่ยถามว่า “เตรียมพร้อมแล้วหรือยัง”
หลินหานพยักหน้า “พระชายาโปรดวางใจ ทุกอย่างเตรียมไว้พร้อมหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ ขอพระชายาได้โปรดรีบออกเดินทางไปจากหงโจวเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีเอ่ยเรียบๆ ว่า “ในเมื่อจัดเตรียมทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนไป จั๋วจิ้ง งานของเจ้าเล่า”
จั๋วจิ้งเอ่ยเสียงขรึมว่า “ถึงแม้เวลาจะสั้นไปสักหน่อย แต่คนที่เหลืออยู่ในเมืองล้วนเป็นทหารยอดฝีมือของกองทัพตระกูลม่อ และมีผลงานดีมาก พระชายาวางใจเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
คำว่ายอดฝีมือนี้ กลับทำให้สีหน้าเยี่ยหลีเปลี่ยนไปเล็กน้อย พักใหญ่ถึงได้ถอนใจออกมาเอ่ยว่า “จริงสิ…ล้วนเป็นยอดฝีมือของกองทัพตระกูลม่อ…”
หลินหานเหลือบมองนาง “หากปล่อยให้ทัพใหญ่ของซีหลิงเดินทางข้ามเมืองหงโจวไปได้ กองทัพตระกูลม่อที่รักษาซีเป่ยอยู่ก็คงฆ่าตัวตายเพื่อชดเชยความผิดอยู่ดี ดังนั้น…พระชายามิต้องรู้สึกผิดไปพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีบิดมุมปากขึ้น เป็นรอยยิ้มอันขมขื่น ต่อให้มีเหตุผลดีเลิศเพียงใด ก็ไม่อาจปิดบังเรื่องที่ว่านางเป็นหัวหน้าผู้บัญชาการทหารที่มีความสามารถไม่เพียงพอ หากเป็นผู้บัญชาการทหารที่มีความสามารถพอฟัดพอเหวี่ยงกับเจิ้นหนานอ๋องหรือแม้แต่เป็นเจิ้นหนานอ๋องมาอยู่ในตำแหน่งของนางนี้ เขาก็ไม่มีทางใช้วิธีการทำศึกเช่นนางอย่างแน่นอน…
สังหารศัตรูพันคน เสียทหารตนไปแปดร้อย แต่เช่นเดียวกัน นี่ส่วนหนึ่งเป็นเพราะธรรมเนียมปฏิบัติที่ไม่ถูกต้องและข้อบกพร่องของกองทัพตระกูลม่อ ภายในกองทัพใช่ว่าไม่มีผู้บัญชาการทหารที่เหมาะกับหน้าที่นี้มากกว่านาง เพียงแต่…ผู้บัญชาการทหารที่อยู่ใต้บังคับบัญชาเขาอาจไม่ยอมรับคนกลุ่มนี้ ประเพณีที่พวกเขาจะจงรักภักดีแต่กับติ้งอ๋อง ทำให้กองทัพตระกูลม่อตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ผู้บัญชาการทหารทั่วไปที่เชี่ยวชาญในการทำศึกนั้นมีอยู่ไม่น้อย เพียงแต่คนที่จะสามารถขึ้นมาเป็นหัวหน้าผู้บัญชาการทหารได้นั้น ช่างหาได้ยากนัก ซึ่งนี่ก็เป็นเหตุผลที่ว่าเหตุใดราชสำนักถึงได้เกรงกลัวกองทัพตระกูลม่อ ในแคว้นแคว้นหนึ่ง กองทัพที่เก่งกาจและเชี่ยวชาญในการทำศึกที่สุดมิใช่กองทัพของราชสำนัก แต่กลับเป็นกองทัพประจำตระกูลของตระกูลตระกูลหนึ่ง…
เยี่ยหลีดื่มชาอึกสุดท้าย ก่อนลุกขึ้นยืนมองธงประจำกองทัพตระกูลม่อที่โบกสะบัดอยู่เหนือกำแพงเมือง “ไปกันเถิด”
กลางวันของวันที่สิบหกเดือนหก หลังจากต้านทานการโจมตีของศัตรูมาสองวันสองคืนติดต่อกัน เมืองหงโจวก็ได้แตกลงในที่สุด
ครานี้ เมื่อตีเมืองหงโจวแตกเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว กองทัพใหญ่ของซีหลิงมิได้ผลีผลามเข้าไปยึดเมืองหงโจวเหมือนคราที่ทำกับซิ่นหยาง แต่เพียงส่งทหารจำนวนหนึ่งเข้าไปสำรวจเมืองก่อนเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าควกลัวโดนลูกไม้เดิมเล่นงานอีกครั้ง
ศึกที่เมืองซิ่นหยางนั้น จำนวนทหารที่ตายจากการสู้รบ น้อยกว่าทหารที่ถูกไฟครอกตายหรือสำลักควันตายในเมืองมากนัก
ทหารที่เข้าไปสำรวจพื้นที่ แบ่งเป็นกลุ่มๆ เข้าสำรวจตามถนนเส้นต่างๆ และก็พบว่าถนนในเมืองทุกสายมีเพียงความว่างเปล่า อย่าว่าแต่กองทัพตระกูลม่อเลย แม้แต่ชาวบ้านสักคนก็ยังไม่มี เมื่อตรวจสอบภายในเมืองเป็นที่เรียบร้อย และพบว่าไม่มีปัญหาอันใดแล้ว ถึงได้ให้ทหารเดินทางออกจากเมืองไปรายงาน
ด้านนอกเมือง เมื่อเจิ้นหนานอ๋องได้ยินที่ทหารมาเอ่ยรายงานก็ถึงกับขมวดคิ้ว “ในเมืองไม่มีผู้ใดอยู่สักคนเลยหรือ”
ทหารที่มารายงานเอ่ยว่า “เรียนท่านอ๋อง ไม่มีผู้ใดอยู่เลยจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ อีกทั้งสิ่งกอสร้างในเมืองหงโจวโดยมากโครงสร้างทำจากหิน เกรงว่ายากที่จะติดไฟ คนตงฉู่น่าจะไม่เล่นลูกไม้เดิมอีกพ่ะย่ะค่ะ”
คิ้วที่ขมวดมุ่นอยู่ของเจิ้นหนานอ๋องมิได้คลายออกแม้แต่น้อย การที่ตีเมืองหงโจวแตกได้นั้น เขาย่อมดีใจ แต่สถานการณ์ตรงหน้านั้นดูจะผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด หลังจากตีเมืองแตกได้แล้ว ต่อให้ทหารที่เคยอยู่รีบรุดถอนกำลังออกไป อย่างไรก็ต้องมีทหารที่บาดเจ็บและหนีออกไปไม่ทันหลงเหลืออยู่บ้าง แต่สถานการณ์ตรงหน้าสามารถอธิบายเรื่องหนึ่งได้ว่า อีกฝ่ายตั้งใจที่จะถอนกำลังออกไปแต่แรกแล้ว เมื่อดูจากการต้านทัพอย่างดุดัประหนึ่งไม่ตายก็จะไม่มีทางหยุดพัก กับเมืองที่ว่างเปล่าตรงหน้าก็ยิ่งทำให้สถานการณ์ดูมีพิรุธหนักขึ้นไปอีก เยี่ยหลี…เจ้ากำลังคิดทำสิ่งใดกันแน่?
“ท่านอ๋อง พวกเราเข้าเมืองไปก่อนดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” ผู้บัญชาการทหารนายหนึ่งเอ่ยถามขึ้น กว่าจะตีเมืองหงโจวแตกได้นั้นไม่ง่าย แต่ท่านอ๋องกลับเอาแต่ยืนเหม่ออยู่หน้าประตูเมืองเช่นนี้ ทำให้ทหารทั้งหลายต่างไม่เข้าใจ
เจิ้นหนานอ๋องนิ่งไปครู่ใหญ่ แล้วจึงเอ่ยเสียงขรึมขึ้นว่า “รีบเดินทางผ่านเมืองตามไปโจมตีทัพส่วนที่บาดเจ็บของกองทัพตระกูลม่อ เราจะหยุดอยู่ที่เมืองหงโจวไม่ได้!”
“เรื่องนี้…ท่านอ๋อง ทัพเสริมพร้อมเสบียงอาหารอย่างน้อยๆ ก็ต้องใช้เวลาสิบวันกว่าจะเดินทางมาถึง หากข้ามด่านไปแล้วเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น…” ผู้บัญชาการทหารที่ตามอยู่ด้านหน้าเอ่ยเกลี้ยกล่อมด้วยความระมัดระวัง
เมื่อทัพใหญ่ออกศึก เรื่องเสบียงอาหารจะต้องมาก่อน ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่พวกเขายามนี้มีทหารอยู่เพียงหนึ่งแสนนาย หากข้ามด่านไปเมื่อใดจำนวนทหารเพียงเท่านี้จะพออุดซอกฟันทหารที่รักษาการอยู่ในต้าฉู่หรือไม่ก็ยังไม่แน่ อีกทั้งเสบียงอาหารของพวกเขาอย่างมากก็สามารถอยู่ได้เพียงครึ่งเดือนเท่านั้น หากทิ้งห่างกับกองทัพที่ขนย้ายเสบียงอาหารมามากเกินไปนัก แล้วหากเสบียงอาหารเกิดมาไม่ทันการณ์…กองทัพจำนวนแสนนายนี้ คงไม่ต้องถึงมือศัตรู พวกเขาคงได้หิวตายกันเองเสียก่อน
เจิ้นหนานอ๋องขมวดคิ้วมุ่น เอ่ยเสียงขรึมว่า “เข้าเมือง!”
แล้วทัพใหญ่ก็เคลื่อนพลเข้าเมืองไปกันอย่างไม่ขาดสาย เจิ้นหนานอ๋องบังคับม้าอยู่นอกเมือง จ้องมองกำแพงเมืองที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า และยังคงรู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง ผู้บัญชาการทหารที่อยู่ข้างกาย เมื่อรู้ว่าท่านอ๋องอารมณ์ไม่ดีนัก ก็มิกล้าเอ่ยอันใดมากนัก
เมื่อกองทัพเคลื่อนพลเข้าเมืองไปแล้วกว่าครึ่ง ภายในเมืองก็เกิดเสียงดังกัมปนาทขึ้น ในใจเจิ้นหนานอ๋องนิ่งไปทันที รีบเอ่ยเสียงเข้มว่า “ไม่สิ! รีบถอยออกจากหงโจวเดี๋ยวนี้!”
เพียงแต่…เห็นได้ชัดว่าคงจะไม่ทันการณ์เสียแล้ว หลังจากเกิดเสียงดังกัมปนาทจนก้องฟ้าขึ้นหลายที ประตูเมืองก็เต็มไปด้วยฝุ่นตลบอบอวล จนเมื่อเริ่มมองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน ก็เห็นเพียงประตูเมืองที่เคยเปิดกว้างอยู่นั้นได้มลายหายไปเสียแล้ว ตรงหน้ามีเพียงเศษหินดินทรายที่ค่อยๆ กองพะเนินขวางปากประตูเอาไว้ ปากประตูเมืองที่มีความสูงขนาดเท่าสองคน ยามนี้เหลือเพียงด้านบนสุดที่กว้างไม่ถึงครึ่งคนเสียด้วยซ้ำ และเมื่อมองขึ้นไปเห็นกำแพงเมืองที่ถล่มลงมาเกือบครึ่ง ก็ทำให้รู้ว่ามีคนลอบเล่นไม่ซื่ออันใดไว้ก่อนแล้ว
“ท่านอ๋อง?!” ผู้บัญชาการทหารที่ติดตามอยู่ข้างกายถึงกับหน้าไร้สีเลือด มีทหารกว่าเจ็ดหมื่นนายเข้าเมืองไปก่อนแล้ว ยามนี้ทหารที่อยู่ด้านหลังมีอยู่ไม่ถึงสามหมื่นนายด้วยซ้ำ ทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้…เกิดขึ้นได้อย่างไรกัน ประหนึ่งเป็นการตอกย้ำประโยคที่ว่า โชคไม่มาพร้อมกันสองครั้ง และความซวยก็ไม่ได้มาเพียงครั้งเดียว
ในขณะที่เกิดเสียงสู้รบดังสนั่นขึ้นภายในเมืองนั้นเอง ก็มีลมพายุสีดำหลายสายพุ่งออกมาจากทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ และทิศทะวันตกเฉียงเหนือทันที และพุ่งตรงเข้าใส่ทหารซีหลิงที่ยังลนลานประหนึ่งพายุหมุน
ยามนี้ภายในเมือง กลับนองเลือดประหนึ่งสายน้ำไปเสียแล้ว ทั่วทั้งเมืองหงโจวมีหินวางทับซ้อนกัน จนกลายเป็นถนนที่ลึกบ้างตื้นบ้าง บนถนนใหญ่หลายสายมีทหารกองทัพตระกูลม่อปรากฏตัวออกมาจนทำให้ทหารวุ่นวายกันไปหมดแล้ว บนหลังคาบ้านทั้งสองฟากของถนนใหญ่ก็มีพลธนูในชุดสีดำจำนวนมากปรากฏตัวขึ้นทันทีเช่นกัน ไม่มีผู้ใดมองออกว่า คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนของหน่วยเฮยอวิ๋นฉีที่เป็นยอดฝีมือของกองทัพตระกูลม่อ
ว่ากันว่า นายทหารทุกคนในหน่วยเฮยอวิ๋นฉีล้วนเป็นยอดฝีมือด้านการยิงธนูอย่างหาตัวจับได้ยาก ห่าฝนธนูยิงเข้าใส่ทหารซีหลิงทั้งหลายบนถนนอย่างไร้ความปราณี นี่มิใช่การสู้รบ นี่อาจเรียกได้ว่าเป็นการสังหารหมู่แต่เพียงฝ่ายเดียว