ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 174-1 แขกตระกูลสวี
ต้าฉู่ เดือนสิบ รัชสมัยจิ่งตี้ ปีที่สิบสอง ภายหลังจากที่ชายาติ้งอ๋องสามารถเอาชนะเจิ้นหนานอ๋องแห่งซีหลิงได้ติดต่อกันถึงสองครั้งสองครา และหลังจากที่ชายาติ้งอ๋องหายตัวไป ปลายเดือนนั้นเอง ทหารกองทัพตระกูลม่อที่เดิมทำศึกอยู่กับซีหลิง หนานจ้าวและหลีอ๋องในพื้นที่ต่างๆ ก็ถอนทัพกลับไปเงียบๆ ทิ้งให้บรรดาทหารที่ประจำการอยู่ที่เหลือได้แต่อ้าปากค้าง ผู้มีอำนาจสั่งการของกองกำลังพันธมิตรทั้งสามฝ่ายต้องตกอยู่ในภวังค์สงสัยว่าแท้จริงแล้ว นี่เป็นกับดักหรือว่ากองทัพตระกูลม่อถอนกำลังออกไปแล้วจริงๆ
จนเมื่อมั่นใจแล้วว่า กองทัพตระกูลม่อได้ถอนกำลังทั้งหมดออกไปจากสมรภูมิรบแล้วจริง กองกำลังพันธมิตรทั้งสามฝ่ายต่างก็ดีใจประหนึ่งบ้าคลั่ง และพุ่งเข้าใส่ผืนแผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์ของต้าฉู่อย่างไม่ลังเลทันที
แม้แต่กองทัพซีหลิงที่ทำศึกในซีเป่ยพ่ายแพ้ติดต่อกัน ก็ยังระดมกำลังมาเสริมทัพที่ตงฉู่อีกครั้งอย่างไม่ลังเล เพียงแต่ครานี้ พวกเขาหลีกเลี่ยงพื้นที่ในเขตซีเป่ยที่กองทัพตระกูลม่อจำนวนหลายแสนนายควบคุมอยู่อย่างระมัดระวัง โดยได้เคลื่อนทัพอ้อมลงใต้ไปข้ามด่านแล้วจากนั้นค่อยเดินทางขึ้นเหนือ
ขณะเดียวกัน ทัพใหญ่ของเป่ยหรงที่อยู่ชายแดนทางตอนเหนือก็เริ่มมีความเคลื่อนไหวเช่นกัน หากมิใช่ด้วยเพราะฤดูหนาวมิใช่ฤดูที่เหมาะกับการทำศึกและคิดอยากคอยดูท่าทีของกองทัพตระกูลม่อแล้ว เกรงว่าควันไฟทางตอนใต้ของต้าฉู่ยังไม่ทันดับดี ก็คงจะเกิดศึกขึ้นที่ทางตอนเหนือเสียแล้ว
แน่นอนว่า ฮ่องเต้ย่อมโกรธเกรี้ยวอย่างหนัก ในวันนั้นเอง ได้มีราชโองการออกมาอีกฉบับหนึ่งประกาศให้ทั้งใต้หล้าได้รู้ว่า “ติ้งจวินอ๋อง ม่อซิวเหยา ไม่รู้สำนึก จิตใจเต็มไปด้วยความคิดแค้น ถอนกำลังทหารออกโดยพลการ ไม่สนใจการปกป้องแผ่นดินต้าฉู่ จึงสั่งปลดออกจากยศถาบรรดาศักดิ์ทั้งหมดและให้จับตัวกลับเมืองหลวง เพื่อรอลงอาญาต่อไป”
กับราชโองการฉบับนี้ ม่อซิวเหยาเพียงยิ้มรับบางๆ ก่อนขยำเป็นก้อน แล้วโยนทิ้งไปที่ใดก็มิรู้ได้
กองทัพตระกูลม่อเชื่อฟังคำสั่งท่านอ๋องเป็นอย่างดี พุ่งเข้าโจมตีเมืองทั้งหมดภายในด่านเฟยหงอย่างรวดเร็วประหนึ่งสายฟ้าฟาด ทหารต้าฉู่ที่ประจำการอยู่ในแต่ละเมืองย่อมไม่กล้าปล่อยให้เมืองตกเป็นของผู้อื่นโดยละม่อม ทำให้เกิดการต่อต้านกันเกิดขึ้น
สงครามในเขตซีเป่ยของต้าฉู่ ลุกลามจากนอกด่านเข้าไปยังในด่าน เพียงแต่คราก่อน กองทัพตระกูลม่อที่รักษาดินแดนของต้าฉู่ สู้รบกับทหารซีหลิงที่รุกรานเข้ามา แต่ครานี้ เปลี่ยนเป็นหันมาสู้รบกับทหารของต้าฉู่ด้วยกันเอง
ม่อจิ่งฉีมีราชโองการกล่าวโทษม่อซิวเหยาออกมาหลายฉบับ บ้างว่าก้าวล่วงอำนาจแห่งประมุข บ้างว่าคิดคดทรยศแผ่นดิน เป็นต้น จนกลายเป็นที่กล่าวขวัญไปทั่วใต้หล้าในเวลาอันรวดเร็ว
แต่บุคคลผู้ที่อยู่ท่ามกลางลมพายุหมุน ยามนี้กลับยืนอยู่ริมหน้าผาบนเทือกเขาถิงอวิ๋น ทอดสายตามองไกลไปยังความเวิ้งว้างว่างเปล่า ทิศทางที่เขามองไปนั้นเป็นจุดที่ไฟแห่งสงครามปะทุขึ้นไปทั่ว เต็มไปด้วยเลือดที่กำลังสาดกระเซ็น แต่ในแววตาที่นิ่งเรียบคู่นั้นกลับไม่มีความเห็นใจหรือความเมตตาแม้แต่น้อย
“ท่านอ๋อง”
สวีชิงเจ๋อและเฟิ่งจือเหยาเดินออกมาจากป่า ทำความเคารพบุรุษที่ยืนใจลอยอยู่ริมหน้าผา
ม่อซิวเหยาหันกลับมา เมื่อเห็นสวีชิงเจ๋อ ก็ให้เกิดความวูบไหวในแววตาเล็กน้อย “ชิงเจ๋อ…มีข่าวอาหลีบ้างหรือไม่”
บนใบหน้าเรียบเฉยของสวีชิงเจ๋อมีประกายเศร้าหมอง เอ่ยเสียงต่ำว่า “ยามนี้ยังไม่มี…”
ม่อซิวเหยาพยักหน้า มิได้ถามอันใดต่อ เพียงเอ่ยว่า “ตามหาต่อไป ลำบากท่านแล้ว”
เยี่ยหลีตกหน้าผาไปได้หนึ่งเดือนเต็มๆ แล้ว แต่พวกเขาไม่มีผู้ใดลดละความพยายามในการค้นหา หลังจากที่ม่อซิวเหยาสั่งลงโทษหัวหน้าสองนายที่รับหน้าที่นำทหารออกไปค้นหาตัวเยี่ยหลีแล้ว สวีชิงเจ๋อก็วางภาระหน้าที่ในมือที่ตนจำเป็นต้องสะสางลง และเสนอตัวรับอาสาทำหน้าที่นี้แทน พวกเขาต่างรู้ดีว่า สวีชิงเจ๋อไม่มีทางละเลยการค้นหาตัวเยี่ยหลีอย่างแน่นอน เพียงแต่หากยังไม่พบ…ของเยี่ยหลี พวกเขาไม่มีทางยอมรับความจริงที่พวกเขาไม่อยากยอมรับอย่างแน่นอน
เฟิ่งจือเหยาเอ่ยเสียงขรึมว่า “ตีด่านเฟยหงมาให้ได้ภายในปีนี้ ยังไม่ต้องสนใจเรื่องอื่น”
“แต่ว่า…” เฟิ่งจือเหยาเอ่ยอย่างไม่เห็นด้วย “หากเป็นเช่นนี้ เกรงว่าชื่อเสียงของตำหนักติ้งอ๋องในสายตาของชาวบ้านคงได้รับผลกระทบอย่างหนักนะพ่ะย่ะค่ะ เมื่อครู่เพิ่งได้รับข่าวจากองครักษ์ลับ บอกว่าชาวบ้านในหลายพื้นที่ของเมืองหลวง ดูเหมือนจะถูกราชโองการของม่อจิ่งฉีทำให้สับสนกันไปไม่น้อย และมีอคติต่อท่านอ๋องและกองทัพตระกูลม่ออย่างมากทีเดียวพ่ะย่ะค่ะ”
ม่อซิวเหยายิ้มเยาะ “เช่นนั้นแล้วอย่างไร ความเห็นของชาวบ้าน…ก็เป็นเพียงสิ่งที่ผู้มีอำนาจนำมาใช้เป็นเครื่องมือกันตามใจชอบเท่านั้น ม่อจิ่งฉีไม่ได้เห็นตำหนักติ้งอ๋องเป็นอุปสรรคขัดขวางปณิธานการเป็นประมุขผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคของเขาหรอกหรือ ยามนี้ ข้าให้โอกาสเขาในการกำจัดตำหนักติ้งอ๋องและกองทัพตระกูลม่อที่เป็นอุปสรรคอยู่แล้ว ดูซิว่าเขามีความสามารถอันใดที่จะพลิกวิกฤตจนกลายเป็นผลงานอันยิ่งใหญ่ และกลายเป็นผู้มีอำนาจเหนือผู้อื่นได้!”
เฟิ่งจือเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย “ท่านอ๋อง เช่นนั้นพวกเรา…”
ม่อซิวเหยายกมุมปากขึ้นยิ้มเล็กน้อย “กองทัพตระกูลม่อ…หยุดอยู่ที่ด่านเฟยหงเป็นการชั่วคราว ฤดูใบไม้ผลิปีหน้า…ระดมพลบุกโจมตีทางทิศตะวันตก เฟิ่งซาน ข้าจะให้ทั้งใต้หล้า…ต้องวุ่นวายไปให้ทั่ว พวกมันไม่ได้ชอบรบกันหรอกหรือ เช่นนั้นผู้ใดก็อย่าคิดจะได้อยู่อย่างสบายๆ เลย!”
เฟิ่งจือเหยาถึงกับใจสั่น จู่ๆ ก็นึกถึงคำพูดราบเรียบและไร้ความรู้สึกของบุรุษที่ผมกลายเป็นสีขาวไปทั้งศีรษะเมื่อเช้ามืดวันนั้น เขาคิดจะให้ทั้งใต้หล้านี้ตกอยู่ภายใต้ไฟแห่งสงครามจริงๆ ใช้ทั้งแผ่นดินมาเซ่นไหว้…การจากไปของสตรีผู้แสนอ่อนหวานผู้นั้น เกรงว่าเรื่องนี้คงกลายเป็นรอยแผลเป็นในใจของท่านอ๋องที่มิอาจลบเลือนได้ไปตลอดกาล
ตั้งแต่ฤดูหนาว รัชสมัยจิ่งตี้ ปีที่สิบสอง กองทัพตระกูลม่อยึดด่านเฟยหงไว้ได้ และได้ขับไล่ทหารต้าฉู่ที่ประจำการอยู่ภายในด่านเฟยหงออกไปทั้งหมด ผู้ใดขัดขืนล้วนถูกสังหารสิ้น
ฤดูใบไม้ผลิ รัชสมัยจิ่งตี้ ปีที่สิบสาม ทหารม้าของเป่ยหรงเริ่มมีความเคลื่อนไหว ที่บริเวณใกล้ๆ ชายแดนต้าฉู่
ม่อซิวเหยาที่ยามนี้อยู่ในเมืองหรู่หยางกลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ทั้งสิ้น แต่กลับมีคำสั่งอีกคำสั่งหนึ่งออกมา ให้หลี่ว์จิ้นเสียน จางฉี่หลันเป็นหัวหน้าแม่ทัพทัพซ้ายและขวา นำทัพคนละสองแสนนายไปบุกโจมตีชายแดนซีหลิง
ข่าวนี้ ประหนึ่งเป็นการส่งสัญญาณให้แก่ทหารตามเส้นทางต่างๆ
ต้นเดือนสอง ทหารม้าเป่ยหรงจำนวนสามแสนนาย เข้ามาเคาะประตูชายแดนต้าฉู่อย่างเป็นทางการ หนานจ้าว ระดมทัพเสริมจำนวนสามแสนนายเข้ากดดันต้าฉู่อีกครั้ง
แคว้นซีหลิงเองก็กำลังร้อนรนกับการตัดสินใจกระทำการเช่นนี้ของกองทัพตระกูลม่อ แต่ถึงอย่างไร ซีหลิงก็เป็นแคว้นที่แข็งแกร่งพอที่จะสู้กับต้าฉู่ได้ กับเหตุการณ์นี้ เจิ้นหนานอ๋องได้มีบัญชาให้เสริมทัพไปยังชายแดนอีกห้าแสนนาย ส่วนทัพซีหลิงในเขตแดนต้าฉู่ที่นำทัพโดยเจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อ เหลยเถิงเฟิง ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะถอยร่นออกจากต้าฉู่แต่อย่างใด เห็นได้ชัดว่าเขา ไม่ยินยอมที่จะสละผลประโยชน์ในต้าฉู่ที่ได้มาไว้ในมือแล้วไป
ชั่วระยะเวลาเพียงสั้นๆ ทั่วทั้งใต้หล้าก็ดูจะวุ่นวายกันไปทั่วจริงๆ เสียแล้ว
ผู้คนในช่วงเวลานั้น เมื่อต้องอยู่ในเหตุการณ์ ก็ยากที่จะมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างกระจ่างชัด จนเมื่อหลายต่อมา เมื่อประวัติศาสตร์ในช่วงเวลานี้ฝุ่นจับตัวหนาขึ้น นักประวัติศาสตร์และนักวรรณคดีที่จุ้นจ้านทั้งหลายถึงได้ค้นพบเรื่องที่น่าประหลาดใจ ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในยามนั้น ดูเหมือนจะมีความเกี่ยวข้องกับบุรุษผู้ที่ตัดสินใจยกทัพไปตีแคว้นซีหลิงอยู่ไม่มากก็น้อย และสิ่งที่ทุกคนกระจ่างแจ้งแก่ใจยิ่งกว่านั้นคือ ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ เป็นผลมาจากการเสียชีวิตของทหารต้าฉู่เจ็ดพันนายที่ตีนเขาถิงอวิ๋น และในวันเดียวกันนั้นเอง ชายาติ้งอ๋องที่บัญชาการกองทัพตระกูลม่อขนาดสองแสนนายและปราบทัพใหญ่ของซีหลิงจนสิ้นซาก ทั้งยังสามารถขัดขวางการเคลื่อนทัพเสริมของซีหลิงอีกสามแสนนายไว้ได้นั้น ได้ตกหน้าผาบนภูเขาอวิ๋นถิงและหายตัวไป
นักวรรณคดีทั้งหลายต่างประพันธ์บนกลอนและร้อยเรียงเป็นงานเขียนเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ขึ้นมากมาย ชาวบ้านเองต่างก็ปั้นแต่งเรื่องราวขึ้นเป็นนิยายอันแสนหวาน ถ่ายทอดต่อกันไปจำนวนนับไม่ถ้วน ยิ่งไปกว่านั้น มีคนจัดให้ชายาติ้งอ๋องเป็นหนึ่งในหญิงงามเมืองแห่งยุค และตั้งให้เยี่ยหลีสตรีในตำนานเพียงผู้เดียวที่ได้เป็นทั้งวีรสตรี สตรีประหลาด หญิงงาม สตรีทรงคุณธรรม และหญิงงามเมืองในเวลาเดียวกัน
ศึกครานี้ยืดเยื้ออยู่หลายปี สงครามที่แผ่ขยายไปทั้งสี่แคว้น มีต้นเหตุมาจากการที่เจิ้นหนานอ๋องแห่งซีหลิงพ่ายแพ้ที่เมืองหงโจว จนทำให้การศึกครานี้ ถูกเรียกขานว่า กบฏเมืองหงโจว ส่วนเรื่องราวที่เล่าขานสืบต่อกันในหมู่ชาวบ้าน เป็นมีชื่อตำนานที่ไพเราะยิ่งกว่านั้น…นั่นคือกบฏหญิงงามเมือง ส่วนเรื่องราวภายในเกี่ยวกับความรัก ความแค้น ความซาบซึ้งใจที่แต่งเติมเสริมเข้าไปนั้น ยิ่งมากมายเสียจนนับไม่ถ้วน
ทัพใหญ่จากทั้งสามแคว้นเคลื่อนพลประชิดเข้ามากดดัน หนึ่งในนั้นยังมีทัพที่เจียงหนานของม่อจิ่งหลีที่คอยจ้องตาเป็นมันรวมอยู่ด้วย ถึงแม้ม่อจิ่งฉีจะโกรธแค้นม่อซิวเหยาเพียงใด แต่ในยามนี้ก็มิอาจแบ่งกำลังกายใจไปเล่นงานเขาได้แม้แต่เล็กน้อย ทุกวันยามราตรีม่อจิ่งฉีถึงขั้นนึกเสียใจที่ตนผลีผลามเกินไป จนทำให้ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก จะเดินหน้าต่อก็ไม่ได้ จะถอยกลับก็ยากลำบากนักเยี่ยงนี้ ในใจเขายิ่งเข้าใจดีว่า ตนได้บีบกองทัพตระกูลม่อและม่อซิวเหยาจนถึงขีดสุดแล้วจริงๆ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป กองทัพตระกูลม่อจะไม่ใช่ป้อมปราการและผู้ปกป้องที่แข็งแกร่งที่สุดของต้าฉู่อีกต่อไป แต่กลับกัน…จะกลายเป็นศัตรูที่อันตรายที่สุด
แต่ในยามนี้ เขาไม่สามารถไปจัดการอันใดม่อซิวเหยาได้ ด้วยเพราะเขาเองก็แทบเอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว ด้วยความเป็นประมุข ตัวเขาไม่ใช่ไม่รู้ว่าความหิวกระหายของแคว้นเพื่อนบ้าน มิใช่เพียงตัดแบ่งเมืองๆ หนึ่งหรือพื้นที่ส่วนหนึ่งไปแล้ว พวกเขาจะสามารถอิ่มได้ เพียงแต่ก่อนหน้านี้เขาคิดมาตลอดว่า ขอเพียงไม่มีตำหนักติ้งอ๋อง เขาก็จะสามารถทำให้ต้าฉู่รุ่งเรืองถึงขีดสุดได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว แล้วจากนั้นค่อยจัดการกับแคว้นรอบๆ ที่เหลือ แต่กระนั้น เมื่อตำหนักติ้งอ๋องถอนกำลังออกไปเข้าจริง เขาถึงได้รู้ว่า…แคว้นอื่นไม่เปิดโอกาสให้เขาได้รุ่งเรืองมาตั้งแต่ต้นแล้ว
“ส่งราชโองการไปถึงม่อจิ่งหลี บอกเขาว่า ข้าตกลงให้เขาแบ่งพื้นที่ทางตอนล่างของแม่น้ำไปปกครองได้ อีกอย่าง…ให้เขาแยกแยะให้ดีว่า ผู้ใดกันแน่ที่เป็นศัตรูที่แท้จริง!”
“กระหม่อมรับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ”