ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 174-2 แขกตระกูลสวี
เมืองหรู่หยาง
เฟิ่งจือเหยามองสีหน้าชายหนุ่มตรงหน้าที่เรียบเฉยและดูสบายๆ ในดวงตาเขาปรากฏแววเป็นกังวล นี่ก็ผ่านมาสี่เดือนแล้ว ม่อซิวเหยาดูเหมือนจะค่อยๆ ทำใจเรื่องจากการหายตัวไปของพระชายาได้แล้ว อย่างน้อยก็ไม่เหมือนสองเดือนก่อนที่มักเหม่อลอยเป็นประจำ แต่เช่นเดียวกัน สีหน้าที่ดูนิ่งสงบขึ้นทุกวันนั้นกลับทำให้เฟิ่งจือเหยารู้สึกไม่สบายใจอยู่ลึกๆ
ยามนี้ดูเหมือนทั่วทั้งใต้หล้าต่างรู้กันทั่วว่า ตำหนักติ้งอ๋องกับต้าฉู่แตกหักกันแล้ว ไม่สิ…ในสายตาของคนทั้งใต้หล้า ต่างเห็นว่าตำหนักติ้งอ๋องได้ทรยศหักหลักต้าฉู่เสียแล้ว แต่เขามองความคิดและแผนในอนาคตของม่อซิวเหยาไม่เห็นเลยแม้แต่น้อย ม่อซิวเหยาในยามนี้ ทำตัวประหนึ่งเป็นคนนอกที่รอชมละครอยู่ เพียงนั่งเฉยๆ อยู่ในเมืองหรู่หยาง แล้วมองดูใต้หล้าวุ่นวายกันไปเท่านั้น
แคว้นซีหลิงแข็งแกร่งที่สุด เขาก็ให้ยกทัพออกไปทำศึกกับซีหลิง เป่ยหรงเป็นกังวลว่ากองทัพตระกูลม่อจะยื่นมือเข้ามายุ่งในการศึกระหว่างตนกับต้าฉู่ เขาก็ให้กองทัพตระกูลม่อทั้งหมด ถอนทัพกลับมาที่ด่านเฟยหง แม้แต่ข่าวเรื่องที่ม่อจิ่งฉีคิดอยากร่วมมือกับม่อจิ่งหลีเมื่อครู่ก็ยังไม่สามารถทำให้เขามีท่าทีอันใดได้
เขามองจดหมายในมือแล้วเพียงยิ้มออกมาเล็กน้อยเท่านั้น “ม่อจิ่งฉีอ่อนแอเกินไป มีคนเล่นเป็นเพื่อนเขาอีกสักคนก็ไม่เห็นจะไม่ดีที่ตรงใด เผื่อเอาไว้เวลา…เล่นต่อไม่ได้…”
“ท่านอ๋อง มีคนไปที่อวิ๋นโจวพ่ะย่ะค่ะ” เฟิ่งจือเหยาเอ่ยรายงานเสียงเบา
ม่อซิวเหยาอึ้งไป ขมวดคิ้วนั่งตัวตรงขึ้น “เกิดอันใดขึ้นกับตระกูลสวีและท่านชิงอวิ๋น”
เฟิ่งจือเหยาส่ายหน้า “มิได้ ถึงแม้ที่เมืองหลวงจะมีคนเอ่ยถึงความสัมพันธ์ระหว่างท่านอ๋องและตระกูลสวี แต่ขุนนางผู้ใหญ่หลายท่านได้ช่วยเอ่ยทัดทานไว้ อีกอย่าง ด้วยเกียรติยศชื่อเสียงของท่านชิงอวิ๋นและตระกูลสวี ม่อจิ่งฉีไม่มีทางผลีผลามลงมือทำอันใดพวกเขาแม้แต่น้อยแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
ม่อซิวเหยารู้สึกวางใจลงเล็กน้อย
เฟิ่งจือเหยาขมวดคิ้วเอ่ยถามว่า “ในเมื่อท่านอ๋องเป็นกังวลในความปลอดภัยของตระกูลสวี เหตุใดถึงไม่รับพวกเขามาพักที่หรู่หยางหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ม่อซิวเหยาส่ายหน้า นิ่งเงียบไม่ตอบ
เฟิ่งจือเหยามองเขาอยู่นาน ก่อนเอ่ยขึ้นว่า “ท่านอ๋องมิได้วางแผนถึงอนาคตเลยใช่หรือไม่ ท่านถึงได้ไม่ยอมพบหน้าและรับคนตระกูลสวีมายังหรู่หยาง ด้วยเพราะเกรงว่าหากวันหนึ่ง…”
“เฟิ่งซาน…” ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียกเขา พร้อมมองจ้องเขานิ่ง
เฟิ่งจือเหยาสะบัดแขนเสื้อ “เอาเถิด จัดการตามที่ท่านเห็นสมควรก็แล้วกัน! ถึงอย่างไรชีวิตพี่น้องทหารตระกูลม่อกับครอบครัวของพวกเขาก็อยู่ในมือของท่านอยู่แล้ว!” พูดจบ ก็หมุนตัวเดินออกไปทันที
ม่อซิวเหยาขมวดคิ้วมุ่น มองร่างของเขาเดินจากไป เอ่ยพึมพำเสียงเบาว่า “ทหารตระกูลม่อหลายแสนนาย…เหนื่อยเหลือเกิน…เฟิ่งซาน ข้าจะสามารถแบกรับพวกเขาได้อีกสักกี่ปีกัน… เสด็จพ่อ พี่ใหญ่ ยามนั้นพวกท่านก็คงเหนื่อยมากเช่นกัน…”
ไม่นาน ก็มีคนเดินเข้ามา เมื่อเห็นม่อซิวเหยานั่งใจลอยอยู่ เขาก็ไม่ส่งเสียง เพียงมองเขาอยู่ที่หน้าประตูเท่านั้น
ม่อซิวเหยาขมวดคิ้วเงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นผู้มาเยือนก็อึ้งไป เขาลุกยืนขึ้น พักใหญ่ถึงได้เอ่ยเสียงขรึมขึ้นว่า “ท่านสวี ท่านมาได้อย่างไร”
ผู้มาเยือนถอดหมวกบนศีรษะออก เอ่ยกลั้วหัวเราะเรียบๆ ว่า “ท่านอ๋องไม่ต้อนรับหรือ”
ม่อซิวเหยาส่ายหน้า “ท่านสวีเชิญนั่งก่อน ที่ท่านมานี้ด้วยเพราะเหตุอันใดหรือ”
สวีหงอวี่มองประเมินเขารอบหนึ่ง ถึงได้เอ่ยว่า “ระหว่างทางที่ข้ามาหรู่หยาง เดิมทียังคิดว่าเมื่อมาถึงจะเห็นท่านอ๋องนอนซมอยู่บนเตียง หรือไม่ก็กำลังร่ำสุราเพื่อลืมความโศกเศร้าเสียอีก”
ม่อซิวเหยาเอ่ยอย่างไม่คาดคิดว่า “เหตุใดท่านถึงเอ่ยเช่นนี้”
สวีหงอวี่เอ่ยกลั้วหัวเราะเรียบๆ ว่า “ท่านอ๋องมาอาศัยอยู่ที่เมืองหรู่หยาง ยามนี้กองทัพตระกูลม่อควบคุมเก้าเมืองในทั้งห้าเขตุ รวมถึงเขตซีเป่ยเอาไว้ ถึงแม้จะเป็นพื้นที่เพียงหนึ่งในสิบของต้าฉู่ แต่ก็นับว่าไม่เล็กกว่าหนานจ้าวแล้ว แต่ท่านลองเดาดูว่าระหว่างทางมานี้ข้าได้พบเห็นสิ่งใด ประชาชนใช้ชีวิตอย่างแห้งเ**่ยว ชาวบ้านดิ้นรนให้ชีวิตผ่านไปวันๆ หากมิได้อยู่ในเขตแดนที่กองทัพตระกูลม่อควบคุมอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งถือว่าเป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยที่สุด ท่านอ๋องคิดว่ายามนี้ในพื้นที่เหล่านั้นจะยังมีคนอยู่สักกี่คนหรือ”
ม่อซิวเหยานิ่งเงียบไม่ตอบ
สวีหงอวี่ก็ไม่รอให้เขาตอบ เอ่ยต่อว่า “ก่อนที่ข้าจะมานี้ ท่านพ่อได้เอ่ยกับข้าว่า ด้วยความสามารถของท่านอ๋อง สามารถทำให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อยได้อย่างแน่นอน ท่านไม่มีทางอ่อนด้อยไปกว่าท่านติ้งอ๋องผู้สำเร็จราชการ ม่อหลิวฟาง หรือแม้แต่ท่านติ้งอ๋องคนแรก ม่อหลั่นอวิ๋นอย่างแน่นอน”
ม่อซิวเหยาหัวเราะขื่น “ขอบคุณท่านชิงอวิ๋นที่ชื่นชม เกรงว่าข้าคงมิอาจรับคำชื่นชมนี้ของท่านชิงอวิ๋นได้ คนที่แม้แต่ลูกเมียก็ยังไม่สามารถปกป้องได้…จะมาเอ่ยเรื่องช่วยให้บ้านเมืองสงบได้อย่างไร”
สวีหงอวี่อึ้งไป เมื่อนึกถึงหลานสาวที่ทั้งฉลาดและอ่อนหวาน นัยน์ตาเขาก็มีแววเจ็บปวด เยี่ยหลีเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวในรุ่นนี้ของตระกูลสวี หลานนอกที่ฉลาดหลักแหลมกว่าบุรุษผู้นี้ สวีหงอวี่รักใคร่เอ็นดูและคอยอบรมประหนึ่งลูกในไส้ของตนเองจริงๆ มิใช่ด้วยเพราะน้องสาวที่ด่วนจากไปของตนเท่านั้น ที่ยิ่งกว่านั้นคือด้วยเพราะเยี่ยหลีเป็นคนที่เหมาะสม จากนั้น…เมื่อเด็กสาวชาญฉลาดผู้นี้ได้ทิ้งชัยชนะที่แม้แต่บุรุษก็มิแน่ว่าจะสามารถทำได้ไว้ให้แล้ว กลับต้องมาพบเจอกับเหตุอันน่าสลดใจอย่างกะทันหันทั้งๆ ที่อายุยังน้อยกว่ามารดาของนางอยู่หลายปีอีกด้วย สวรรค์รังเกียจหญิงงามจริงๆ น่ะหรือ
เขามองสำรวจบุรุษที่มีสีหน้าเรียบเฉยโดยละเอียด ในดวงตาที่ล้ำลึกของเขามีประกายเฉยชาและเต็มไปด้วยความแค้นอย่างยิ่งยวด
แล้วจู่ๆ สวีหงอวี่ก็หัวเราะออกมา มองจ้องม่อซิวเหยาเอ่ยว่า “สิ่งที่ท่านอ๋องกระทำในยามนี้ก็เพื่อหลีเอ๋อร์อย่างนั้นหรือ ช่างเป็นคนที่ลุ่มหลงในความรักเสียจริง เชื่อว่าหากหลีเอ๋อร์ที่ตายไปได้รู้คงซาบซึ้งใจมากเป็นแน่!”
“ท่านสวี!” ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียกเสียงขรึม จ้องเตือนชายวัยกลางคนตรงหน้า ถึงแม้จะผ่านมานานแล้ว แต่เขายังคงรับไม่ได้ที่มีคนมาเอ่ยถึงความเป็นความตายของอาหลีต่อหน้าเขา อีกทั้งคนผู้นี้ยังเป็นลุงแท้ๆ ของอาหลีอีกด้วย
สวีหงอวี่จ้องตอบเขาอย่างไม่เกรงกลัว ส่งเสียงหึเบาๆ “ท่านอ๋องมีความรักใคร่ลึกซึ้งเพียงนี้ ข้าคงต้องขอบคุณท่านอ๋องแทนอาหลีแล้ว เพียงแต่…หลีเอ๋อร์ปูทางในซีเป่ยไว้ให้ท่านอ๋องทั้งๆ ที่กำลังตั้งครรภ์ ที่แท้ก็เพื่อให้ท่านอ๋องมาหลบดูละครอยู่ที่เมืองหรู่หยางเช่นนี้หรือ คอยดูความวุ่นวายของใต้หล้าแล้วให้ประชาชนอยู่กันอย่างยากลำบากเช่นนี้หรือ”
ม่อซิวเหยาหลุบตาลง พักใหญ่มุมปากเขาถึงค่อยๆ มีรอยยิ้มเย็น เอ่ยสบายๆ ว่า “เช่นนั้นแล้วอย่างไร พวกมันมิได้คิดอยากได้ใต้หล้านี้หรือ เช่นนั้นก็แก่งแย่งกันไปสิ ม่อจิ่งฉีมิได้รำคาญที่ตำหนักติ้งอ๋องเป็นหนามยอกอกหรอกหรือ ยามนี้เมื่อไม่มีติ้งอ๋องแล้ว ก็ให้เขาได้ทำตามใจพอดีมิใช่หรือ ข้ากำลังรอให้เขานำวีรบุรุษนับหมื่นมาปราบกบฏอยู่เชียว ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป…ต้าฉู่จะมีประมุขที่เหนือกว่าผู้ใดขึ้นอีกคนหนึ่งแล้ว ประมุขคนต่อๆ ไป ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะมีตำหนักติ้งอ๋องและกองทัพตระกูลม่อที่เสมือนเป็นก้างขวางคออีกแล้ว ในโลกนี้ มีคนต้องการชีวิตข้าอยู่มากมายนัก ข้าจะนั่งอยู่ในเมืองหรู่หยางนี้ รอให้พวกมันเข้ามา!”
สวีหงอวี่ถอนใจเบาๆ มองบุรุษตรงหน้าที่มีรังสีสังหารแผ่ออกมาน้อยๆ เอ่ยถามว่า “ท่านอ๋องไม่มีสิ่งใดให้ห่วงหาอาทรเลยหรือ ชาวบ้านตาดำๆ มีความผิดอันใด ผู้คนรุ่นแล้วรุ่นเล่าที่ภักดีต่อตำหนักติ้งอ๋องมีความผิดอันใด”
“หึหึ…” ม่อซิวเหยาก้มหน้าหัวเราะเบาๆ “ท่านสวี ท่านมาพูดเรื่องเหล่านี้เกรงว่าคงจะสายไปเสียแล้ว ศึกสงครามความวุ่นวายในครานี้ได้เกิดขึ้นแล้ว หากไม่สู้ให้รู้แพ้รู้ชนะ รู้เป็นรู้ตายกันไปข้างหนึ่ง คงยากที่จะสิ้นสุด ได้ยินว่าท่านหงอวี่เชี่ยวชาญด้านดาราศาสตร์ หรือว่าท่านดูไม่ออกว่า…ใต้หล้าวุ่นวาย ชาวบ้านไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างสงบได้ เป็นสิ่งที่ได้กำหนดไว้แล้ว”
สวีหงอวี่เอ่ยว่า “ที่แท้ท่านอ๋องก็เชี่ยวชาญด้านดาราศาสตร์เช่นกัน?”
ม่อซิวเหยาส่ายหน้า สายตาล้ำลึก “ข้าไม่รู้เรื่องดาราศาสตร์ สิ่งที่ข้าต้องการคือให้ใต้หล้าต้องวุ่นวาย ผู้ใดก็อย่าได้คิดเปลี่ยนแปลงข้อนี้เลย!”
ใต้หล้ามิได้เป็นไปตามตำแหน่งของดวงดาวบนท้องฟ้า แต่ดวงดาวบนท้องฟ้าเคลื่อนที่ตามสถานการณ์ของเขาต่างหาก สถานการณ์ความวุ่นวายในยามนี้ หมากที่อยู่ในกระดานนี้ทุกคนล้วนมิอาจถอนตัวออกไปได้ เช่นนั้นก็เหลือไว้ฝังไปพร้อมกับอาหลีและบุตรของเขาก็แล้วกัน!
ม่อซิวเหยาในยามนี้ ต่อให้เป็นสวีหงอวี่เองก็ไม่รู้จะเอ่ยโน้มน้าวเขาเช่นไรดี เขาเห็นแววตาของม่อซิวเหยาค่อยๆ ดูอบอุ่นขึ้น อย่างน้อย บุรุษผู้นี้ก็รักหลีเอ๋อร์ด้วยใจจริง ไม่เสียแรงที่หลีเอ๋อร์ทนลำบากเพื่อเขา
เมื่อเห็นสีหน้าราบเรียบของม่อซิวเหยาที่นำมาปกปิดความปวดร้าวอย่างสุดซึ้งของเขาแล้ว ก็ทำให้สวีหงอวี่รู้สึกว่าตนเอ่ยคำพูดโน้มนาวใจเหล่านั้นไม่ออก เหตุผลอย่างไรก็เป็นเพียงเหตุผลอยู่วันยังค่ำ ต่อให้เป็นเขาผู้ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็นบันฑิตขงจื้อแห่งยุค ก็ไม่เคยคิดที่จะให้ตนเองใช้ชีวิตอยู่กับเหตุผลที่เต็มไปด้วยหลักการ บุรุษผู้นี้ต้องการใช้ความวุ่นวายจากสงครามและชีวิตของศัตรูไปดับความเจ็บปวดรวดร้าวในใจจากการที่ต้องเสียภรรยาและบุตรที่ยังไม่ทันได้ลืมตาดูโลกไป ก็เช่นเดียวกับคราแรกที่เขาได้ยินข่าวของหลีเอ๋อร์ เขาก็คิดอยากสังหารเศษสวะอย่างม่อจิ่งฉีเสียให้รู้แล้วรู้รอด มิได้คิดอย่างหลักการที่ว่านายอยากให้บ่าวตาย บ่าวมิอาจไม่ตายได้เช่นที่เอ่ยๆ กันมา เพียงแต่…ไม่ว่าจะเพื่อกองทัพตระกูลม่อ ตระกูลสวี หลีเอ๋อร์ หรือว่าเพื่อประชาชนในใต้หล้า เขาก็มิอาจทนเห็นบุรุษผู้นี้ผลักคนทั้งใต้หล้าให้ตกลงสู่ทะเลเลือดได้ อย่างน้อยชาวบ้านที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เหล่านั้นและพวกเขาเองก็ไม่ควรถูกกระทำเช่นนั้น
สวีหงอวี่มองบุรุษตรงหน้า ก่อนหมุนตัวเดินออกไป ในขณะที่ม่อซิวเหยาคิดว่าเขาเดินออกไปแล้วนั้น เขาก็กลับเข้ามาอีกครั้ง วางม้วนกระดาษหนาๆ ม้วนหนึ่งลงบนโต๊ะข้างกายม่อซิวเหยา พวกจั๋วจิ้งที่เดินตามเขาเข้ามาต่างก็หอบม้วนกระดาษกันเข้ามาเต็มแขน วางลงตรงหน้าเขาก่อนถอยออกไปเงียบๆ
ตั้งแต่เยี่ยหลีหายตัวไป จั๋วจิ้ง เว่ยลิ่น และหลินหานที่ตามมาถึงทีหลังต่างออกตามหากันตามแม่น้ำไปทั่วทั้งวันทั้งคืน จนเมื่อสุดท้ายหมดหวังแล้ว ทั้งสามก็เริ่มหายตัวไปมาประหนึ่งผีสาง ม่อซิวเหยาหรือเฟิ่งจือเหยาต่างรู้ดีว่า พวกเขายังคงไม่ล้มเลิกความพยายาม และมักออกตามหาไปทั่วอยู่เสมอ
สวีหงอวี่เคาะเบาๆ ลงบนม้วนกระดาษบนโต๊ะหนังสือ “สิ่งเหล่านี้เป็นของที่หลีเอ๋อร์ทิ้งเอาไว้ ท่านดูเอาเองเถิด เมื่ออ่านจบแล้วค่อยบอกว่าท่านจะตัดสินใจเช่นไร หลายวันนี้ เกรงว่าคงต้องกวนใจท่านอ๋องอยู่อีกสักพักหนึ่ง”
ม่อซิวเหยาอึ้งไป มองลายมืออันงดงามที่แสนคุ้นตาบนม้วนกระดาษอันบนสุด… แผนการค้าในเขตซีเป่ยในอนาคต เช่นเดียวกับที่อาหลีมักเอ่ยความคิดอันแปลกใหม่ที่ฟังดูมีเหตุผลอยู่บ่อยครั้ง เพียงอ่านประโยคๆ นี้ก็สามารถรู้ได้ว่า สิ่งที่อยู่ภายในนั้นคือเรื่องใด แล้วยังมีตัวอักษรเล็กๆ ที่เขียนอยู่ด้านล่างม้วนกระดาษนั้นอีก อาหลีมักเคยชินที่จะเขียนวันเดือนปีไว้บนม้วนกระดาษและฎีกาเหล่านี้…ขึ้นสองค่ำเดือนสิบ รัชสมัยจิ่งตี้ ปีที่สิบสอง…
ม่อซิวเหยาตาเป็นประกายเล็กน้อย ในระหว่างที่อาหลีคอยปกป้องรักษาเขตหงโจว นางยังแบ่งเวลามาเขียนสิ่งเหล่านี้…
เมื่อเห็นม่อซิวเหยามองม้วนกระดาษเหล่านั้นอย่างเหม่อลอย สวีหงอวี่จึงหันไปโบกมือให้พวกจั๋วจิ้ง ก่อนเดินนำพวกเขาออกไป ภายในห้องอันเงียบสงบจึงเหลือเพียงเสียงพลิกม้วนกระดาษเท่านั้น