ฉินเฟิงกับจั๋วจิ้งรับคำสั่งพร้อมถอยออกไป หานหมิงเย่ว์พูดไม่ออก มองม่อซิวเหยาด้วยความงุนงงอยู่เป็นนาน
ม่อซิวเหยานวดหว่างคิ้ว โยนม้วนหนังสือในมือลง หันมองหานหมิงเย่ว์เอ่ยว่า “หานหมิงเย่ว์ เจ้าคงรู้ว่าเหตุใดข้าถึงยอมให้เจ้าจนถึงยามนี้”
หานหมิงเย่ว์ก้มหน้าลง ยิ้มอย่างฝืดเฝื่อน “ข้ารู้ แน่นอนว่ามิใช่เพราะความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างเราสองคน”
ม่อซิวเหยาเอ่ยว่า “เจ้าควรยินดีที่เจ้ามีน้องชายที่ดี…และเจ้ายิ่งควรยินดีที่หานหมิงซีเป็นสหายที่อาหลียอมรับ อย่าไปหาเรื่องให้เขาอีก มิใช่ว่าเขาจะช่วยเจ้าได้ทุกครั้งหรอกนะ”
หานหมองเย่ว์นิ่งเงียบไป เขารู้ดีว่าระยะนี้หานหมิงซีอยู่ในเมืองหรู่หยางโดยตลอด ถึงแม้พวกเขาพี่น้องจะมิได้พบหน้า แต่ที่หานหมิงซีให้คนคอยลอบดูแลเขาอยู่เงียบๆ นั้น เขาก็พอรู้อยู่ หานหมิงซีกลัวว่าจะทำร้ายความเคารพในตนเองของเขา จึงน้อยนักที่จะให้เขารับรู้เรื่องเหล่านี้ เกรงว่าเรื่องที่ตนลอบสอบถามว่าหน่วยกิเลนอยู่ที่ใด ก็คงด้วยเพราะหานหมิงซีได้ขอร้องแทนเข้าไว้
เขาก้มหน้าลงด้วยความหม่นหมอง “ข้าที่เป็นพี่ชายเองที่ผิดต่อเขา”
ม่อซิวเหยาส่งเสียงหึเบาๆ ชั่วชีวิตนี้ นอกจากซูจุ้ยเตี๋ยที่เขาหลงใหลอย่างน่ามืดตามัวแล้ว หานหมิงเย่ว์ไม่เคยผิดต่อผู้ใดจริงๆ บ้าง?
“ซิวเหยา…ขอร้องล่ะ ปล่อยจุ้ยเตี๋ยไปเถิด” หานหมิงเย่ว์เอ่ยคำขอร้องของตนออกมาด้วยความยากลำบาก ก่อนหน้านี้ ต่อให้เขาถือไพ่ต่ำกว่าเพียงได้ เขาก็ยังมีหมากที่สามารถใช้ต่อรองเงื่อนไขกับม่อซิวเหยาได้ แต่ในยามนี้ คนที่ไม่เหลืออันใดอย่างเขาทำได้เพียงขอร้อง…
“ออกไป” ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ
“ซิว…” หานหมิงเย่ว์คิดอยากขอร้องเขาอีก แต่เมื่อเห็นรอยแดงในตาม่อซิวเหยา พร้อมลมพลังหอบหนึ่งพัดเข้าใส่ คำพูดต่อจากนั้นยังไม่ทันออกจาปาก หานหมิงเย่ว์ก็ถูกพัดกระเด็นออกไปเสียแล้ว ก่อนตกกระแทกแรงๆ ลงนอกประตูเรือน แล้วประตูใหญ่ของห้องหนังสือก็ถูกปิดลงต่อหน้าต่อตาเขา
ม่อซิวเหยากระทำทุกอย่างอย่างรวดเร็ว รุนแรงและไร้เยื่อใย หานหมิงเย่ว์ไม่ทันแม้แต่จะป้องกันตัว ก็ถูกซัดกระเด็นออกมาล้มกระอักเลือดอยู่กับพื้นด้านนอก
“พี่…” ชายเสื้อสีแดงหม่นปรากฏตัวข้างกายหานหมิงเย่ว์อย่างไร้ซุ่มเสียง หานหมิงเย่ว์เงยหน้าขึ้นมองก็เห็นว่า บนใบหน้าหล่อเหลาของหานหมิงซีที่เดิมโดดเด่นไม่เหมือนผู้ใด ดูมีแววเป็นห่วงและเสียใจ
หานหมิงเย่ว์จับมือหานหมิงซีลุกขึ้น มองน้องชายด้วยความละอายใจ เขาไม่คิดอยากให้น้องชายเห็นสภาพที่น่าเวทนาเช่นนี้ของตน “หมิงซี ขอโทษด้วย”
หานหมิงซีส่ายหน้าเงียบๆ หันมองหานหมิงเย่ว์ “พี่ อย่ามัวเสียเวลาเลย หากจวินเหวยยังไม่กลับมา ผู้ใดก็ช่วยซูจุ้ยเตี๋ยไม่ได้”
หลายวันนี้ หานหมิงซีล้มเลิกความคิดที่จะโน้มน้าวให้พี่ชายเลิกคิดถึงซูจุ้ยเตี๋ยไปแล้ว ทำได้เพียงบอกเขาว่า ความพยายามของเขาในยามนี้มีแต่จะเสียเปล่า “ที่ติ้งอ๋องยังไว้ชีวิตซูจุ้ยเตี๋ย มิใช่เพราะอาลัยอาวรณ์นาง” แค่เพียงเพราะเขาต้องการให้ซูจุ้ยเตี๋ยมีชีวิตอยู่เท่านั้น การปล่อยซูจุ้ยเตี๋ยไปง่ายๆ มีแต่จะเป็นการดูถูกนางเท่านั้น เช่นเดียวกับที่กองทัพตระกูลม่อสามารถสังหารมู่หยางโหวตั้งแต่ในสนามรบได้ แต่ม่อซิวเหยากลับมีคำสั่งให้ปล่อยเขาไป เพียงแต่ไม่รู้ว่าสิ่งที่รอมู่หยางโหวอยู่นั้น คือสิ่งใด
“เยี่ยหลีตายแล้ว” หานหมิงเย่ว์กัดฟันเอ่ยขึ้น
หานหมิงซีนิ่งขรึมไป เอ่ยเสียงต่ำว่า “หากยังไม่เห็นศพของนางกับตา ก็ถือว่านางยังไม่ตาย พี่ใหญ่ ทางที่ดีท่านควรขอพรให้จวินเหวย…ยังไม่มีใครพบ…ศพนาง มิเช่นนั้นแล้ว…” ไม่มีผู้ใดรู้ว่าม่อซิวเหยาจะคิดทำเช่นไร
ตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นกับจวินเหวย อาการม่อซิวเหยาดูจะเกินการคาดเดาของผู้คนไปมาก นอกจากเริ่มสังหารทหารที่ตามล่าจวินเหวยทั้งเจ็ดพันคนและขับไล่ทหารต้าฉู่ที่รักษาการณ์อยู่ที่ด่านเฟยหงออกไปแล้ว เขาก็มิได้มีท่าทีอันใดเกี่ยวกับเรื่องที่พระชายาต้องประสบเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ถึงอย่างไรหานหมิงซีก็ได้ใกล้ชิดกับบุคคลสำคัญของตำหนักติ้งอ๋อง ถึงแม้ม่อซิวเหยาจะมิได้พูดออกมา แต่เขาก็พอรับรู้ได้ว่า ม่อซิวเหยากำลังเตรียมการอยู่ เมื่อถึงวันใดก็ตามที่เขาลงมือเข้าจริงๆ สิ่งที่ตามมา จะต้องเป็นหยาดเลือดที่สาดกระเซ็นอย่างไม่จบไม่สิ้นอย่างแน่นอน
“หากชายาติ้งอ๋อง…”
หานหมิงซีส่ายหน้า เอ่ยเสียงเย็นว่า “มังกรยังมีเกล็ดอ่อน ผู้ใดไปถูกเข้า ต้องตายสถานเดียว พี่ใหญ่ ท่านรักษาตัวเองให้ดีเถิด”
สุสานหลวงแห่งปฐมฮ่องเต้
ภายในสุสานหลวงที่อึมครึมและเย็นเยียบ สีหน้าของถานจี้จือดูอึมครึมเสียยิ่งกว่าสุสานหลวงทั้งสุสานเสียอีก การถูกบรรพบุรุษของตนเองหลอกเล่นเช่นนี้ ทำให้เขาเกิดความโกรธแค้นขึ้นในใจ
เยี่ยหลีเองก็รู้ดี จึงมิได้ไปยั่วแหย่เขาในยามนี้ ทั้งสามออกมาจากตำหนักหยกขาวหลังนั้น ตั้งแต่เยี่ยหลีเปิดประตูตำหนักได้ ค่ายกลทั้งหมดก็ดูจะอันตรทานหายไป แม้แต่สะพานที่เคยจมหายลงไปในแม่น้ำปรอทก็กลับขึ้นมาอยู่ที่เดิมอีกครั้ง
ทั้งสามถอยออกไปอยู่ห้องศิลาที่ด้านนอกสุสานหลวงแล้วถึงได้นั่งลงพัก บุกบ่าฝ่าฟันกันมากว่าครึ่งวัน เยี่ยหลีเริ่มเหนื่อยเสียนานแล้ว นางเดินไปนั่งลงบนม้าหินตรงมุมกำแพง พร้อมหยิบอาหารแห้งและน้ำที่พกติดตัวขึ้นกินอย่างไม่เกรงใจ
ถานจี้จือนั่งลงพิงกำแพงกับพื้นตรงข้ามนาง บนใบหน้าเขาไม่หลงเหลือความได้ใจและภาคภูมิใจอย่างคนมั่นใจเต็มที่ให้ได้เห็นอีก ใบหน้าที่ดูหม่นหมองอยู่แล้ว ยิ่งดูหดหู่และโกรธแค้นขึ้นหลายส่วน
“ยามนี้ชายาติ้งอ๋องอารมณ์ดีมากหรือ” เมื่อเห็นเยี่ยหลีนั่งลงกินของที่พกมาด้วยความสงบนิ่ง ถานจี้จือจึงเอ่ยถามขึ้นเสียงขรึม
มือเยี่ยหลีที่ถือธัญพืชอบแห้งชะงักลงเล็กน้อย เอ่ยกลั้วหัวเราะเรียบๆ ว่า “ใต้เท้าถานกล่าวผิดไปแล้ว การนั่งอยู่สถานที่อับๆ เช่นนี้ ข้าจะเอาอารมณ์ที่ไหนมาดีได้”
ถานจี้จือจะเชื่อนางได้อย่างไร เขาหัวเราะเยาะให้ทีหนึ่ง “ท่านเห็นข้าน้อยกลับมามือเปล่า และพระชายาก็ได้เห็นเรื่องน่าขันมาพอแล้ว จะอารมณ์ไม่ดีได้อย่างไร”
เยี่ยหลีสบตาเขาอย่างจริงใจ เอ่ยยืนยันว่า “ข้ามิได้เป็นคนชอบมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าถานจี้จือก็ดูบิดเบี้ยวไปทันที แล้วจึงมองจ้องเยี่ยหลีพร้อมหัวเราะออกมา “ถึงแม้ครานี้ข้าน้อยจะกลับมามือเปล่า แต่ว่า…การได้พบกับพระชายาและติ้งอ๋องซื่อจื่อในอนาคตนั้น ก็ไม่ถือว่าโชคร้ายนัก แน่นอนว่า เรื่องนี้คงต้องของคุณท่านพ่อ”
ท่านหมอหลินตีหน้านิ่งไม่สนใจ ทำประหนึ่งไม่ได้ยินที่เขาพูด
เยี่ยหลียิ้ม “ข้าเองก็ต้องขอบคุณท่านอาจารย์เช่นกัน หากไม่ได้ท่านอาจารย์ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ข้าเองก็คงอยู่ไม่ถึงวันนี้ที่ได้พบกับใต้เท้าถาน”
ถานจี้จือมองเยี่ยหลีด้วยสายตาประหลาด และมิได้ใช้คำพูดต่อล้อต่อเถียงกับนางอีก ตัวเขาอยู่ข้างกายม่อจิ่งฉีมานานกว่าที่คนโดยมากคิดนัก จึงย่อมรู้จักเยี่ยหลีดีอยู่บ้าง หากว่าในโลกนี้ คนที่ม่อจิ่งฉีเกลียดที่สุดคือม่อซิวเหยาแล้ว เช่นนั้น คนที่เขาแค้นใจที่สุดก็คงเป็นเยี่ยหลีนี่เอง
ถึงแม้ในความคิดของถานจี้จือ ความโกรธแค้นของเขานั้นเกิดจากม่อจิ่งฉีที่สมองกลับเองก็ตาม แต่ในสายตาของม่อจิ่งฉี การที่ตำหนักติ้งอ๋องที่โงนเงนใกล้พังครืนเต็มทีกับม่อซิวเหยาที่ตายไปแล้วครึ่งตัวกลับมามีชีวิตได้อีกครั้งนั้น ก็ด้วยเพราะมีเยี่ยหลีเข้ามา จนทำให้ทุกอย่างเสียการควบคุมเช่นนี้ ซึ่งทำให้ความพยายามเป็นสิบปีของม่อจิ่งฉีต้องมาพังไม่เป็นท่า จนกลายเป็นความโกรธเกลียดและเคียดแค้น เป็นได้ว่าเมื่อเทียบกับม่อซิวเหยาแล้ว ม่อจิ่งฉีนึกอยากให้เยี่ยหลีตายก่อนเสียอีกแปลก
ถึงแม้ถานจี้จือจะไม่เห็นด้วยความความแค้นที่เกิดขึ้นอย่างประหลาดของม่อจิ่งฉี แต่นั่นก็มิได้ทำให้เขาเห็นความสำคัญของเยี่ยหลีจากเรื่องนี้ เขาย่อมรู้ดีว่า สตรีเช่นเยี่ยหลี มิใช่คนที่เขาจะใช้คำพูดเพียงสามสี่ประโยคก็จะสามารถตัดสินนางได้
สายตาเขาเปลี่ยนไป ถานจี้จือเปลี่ยนเรื่องสนทนาอย่างรู้งาน “เวลาก็ล่วงเลยมานานเช่นนี้ พระชายาไม่อยากรู้หรือว่าท่านอ๋องเป็นอย่างไรบ้าง”
เยี่ยหลีกระตุกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ส่งยิ้มปลอบๆ ให้เขา “ใต้เท้าถานจะบอกข้าหรือ”
ถานจี้จือยิ้ม เอ่ยว่า “การได้พูดคุยกับพระชายา ย่อมถือเป็นเกียรติของข้าน้อย จะว่าไป…ท่านติ้งอ๋องมีใจให้พระชายาอย่างลึกซึ้งยิ่งนัก วันต่อมาหลังจากพระชายาตกหน้าผาไป ไม่ต้องพูดถึงทหารเจ็ดพันนายตรงตีนเขาที่ต่างต้องหัวหลุดจากบ่า ท่านติ้งอ๋องยังได้สั่งถอนกำลังกองทัพตระกูลม่อที่ต้านทหารหนานจ้าวและซีหลิงกลับไปอีกด้วย ต้าฉู่ในยามนี้ ถือได้ว่าวุ่นวายไม่ได้หยุด”
เมื่อเห็นเยี่ยหลีขมวดคิ้ว ถานจี้จือจึงเอ่ยต่อว่า “หากเพียงแค่เท่านี้ก็ยังพอทำเนา แต่ติ้งอ๋องขับไล่ทหารต้าฉู่ที่ประจำการอยู่นอกด่านเฟยหงออกไปจนหมด ทหารที่ขัดขืนไม่ยอมฝั่งคำสั่งถูกสังหารจนสิ้น ยามนี้…แคว้นต่างๆ ในใต้หล้า มีแคว้นใดไม่รู้บ้างว่า ท่านติ้งอ๋องตั้งตนเป็นกบฏเสียแล้ว…โกรธจัดด้วยเพราะสตรีเพียงนางเดียว พระชายาคงซาบซึ้งใจยิ่งแล้ว?”
เยี่ยหลีสีหน้าคงเดิมไม่เปลี่ยน “ขอบคุณใต้เท้าถานมากที่บอกให้ข้ารู้ ข้าเป็นสตรี เมื่อรู้ว่าท่านอ๋องกระทำการเช่นนี้ ข้าย่อมซาบซึ้งใจยิ่งนัก”
ถานจี้จือเลิกคิ้วขึ้น “พระชายาเกิดในตระกูลสวีแห่งอวิ๋นโจว แต่ไหนแต่ไรมา ตระกูลสวีจงรักภักดีไม่มีสอง พระชายาไม่มีความเห็นเป็นอื่นเลยหรือ”
เยี่ยหลียิ้มอย่างขอลุแก่โทษ “เมื่อแต่งงานออกมาแล้วต้องเชื่อฟังสามี ไม่ว่าท่านอ๋องจะกระทำอันใด ต่อให้คนทั้งใต้หล้าต่างต่อว่าเขา แต่เขาในสายตาของข้าย่อมถูกต้องเสมอ”
“ได้ภรรยาเช่นท่านนี้ ถือว่าท่านติ้งอ๋องมีบุญวาสนาไม่น้อยทีเดียว!” ถานจี้จือกัดฟันเอ่ยขึ้น
เยี่ยหลียิ้ม “ใต้เท้าถานกล่าวเกินไปแล้ว อันที่จริง เมื่อเทียบกับท่านอ๋องบ้านข้าแล้ว ข้ากลับเห็นว่าเรื่องของใต้เท้าถานน่าสนใจกว่าเสียอีก”
ถานจี้จืออึ้งไป สายตาจับจ้องสตรีที่เยื้อนยิ้มตรงหน้าด้วยความระมัดระวัง