ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 183-2 สภาพอันน่าเวทนาของยอดหญิงงาม
“นางเป็นเพียงสตรีที่อ่อนแอ นางจะทนวิธีการพวกนั้นได้อย่างไร”
ฉินเฟิงยักไหล่ ผู้ใดเลยจะสนใจว่านางจะรับได้หรือไม่ ขอเพียงไม่ถึงแก่ชีวิตก็เพียงพอแล้ว
“เอาเข้าจริง นางทนทานกว่าคนทั่วไปเสียอีก” กับเรื่องนี้ ฉินเฟิงต้องมองนางใหม่ การทรมาณเหล่านี้มิใช่ว่าแค่พูดก็จะสามารถทำได้ แน่นอนว่าจำเป็นต้องผ่านการฝึก เมื่อต้องฝึกก็จำเป็นต้องมีคน อันที่จริงมีอีกสองคนที่เข้ามาพร้อมซูจุ้ยเตี๋ย เป็นชายหนุ่มสองคนที่มีวิทยายุทธ ในยามที่มิได้ออมมือเลย ชายทั้งสองคนทนรับไม่ไหว ชิงฆ่าตัวตายกันไปแล้ว แต่ซูจุ้ยเตี๋ยยังคงมีชีวิตอยู่
“อันที่จริง เรื่องนี้จะโทษพวกเราก็คงไม่ได้ เดิมทีพระชายาไม่เห็นด้วยกับวิธีการสอบปากคำที่ต้องเสียเลือดเนื้อเช่นนี้อย่างมาก แต่ตัวพระชายาเองก็รู้ดีว่าต้องทำเช่นไร น่าเสียดายก็เพียง พระองค์ยังไม่ทันได้ถ่ายทอดวิชาทั้งหมดให้กับพวกเรา ก็มาหายตัวไปเสียก่อน ดังนั้น…คงต้องรบกวนคุณหนูซูให้ทนรับวิธีการทรมานแบบเดิมไปก่อน อีกอย่าง คุณชายหานไม่ต้องเป็นกังวลไป บาดแผลบนตัวของนางล้วนมิใช่…เอ้อ นอกจากแผลที่ขาแล้ว ส่วนอื่นมิใช่บาดแผลที่รักษาไม่ได้ พรุ่งนี้เช้าจะมีคนมาต่อกระดูกให้นาง ด้วยยาวิเศษที่ท่านเสิ่นให้ไว้รักษาบาดแผล รับรองว่านางจะหายดีภายในสิบวัน”
สีหน้าหานหมิงเย่ว์ขรึมลงไป “หายดีแล้ว ก็ให้พวกเจ้าตีให้หักอีกงั้นหรือ”
“บีบจนหักต่างหาก นิ้วมือเรียวเกินไป ตีไม่ค่อยได้หรอก นอกเสียจากว่าต้องการให้แหลกละเอียดจนไม่สามารถชี้นิ้วได้ค่อยว่าไปอย่าง” ฉินเฟิงเอ่ยแก้ให้
“เช่นนี้แล้ว…ต่อไปมือของนางจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้หรือไม่” หานหมิงเย่ว์กัดฟันถาม เพียงฟังจากน้ำเสียงของฉินเฟิง เขาก็รู้ทันทีว่านี่มิใช่ครั้งแรก และคงมิใช่ครั้งสุดท้าย ต่อให้ยาของเสิ่นหยางดีเพียงใด ก็ไม่มีทางที่จะไม่หลงเหลือผลข้างเคียงในภายหลัง
ฉินเฟิงเลิกคิ้ว เอ่ยเรียบๆ ว่า “คุณชายหานคิดว่านางยังมีโอกาสออกไปได้อีกหรือ” ท่านอ๋องไม่เคยเอ่ยรับประกันว่านางจะไม่บุบสลาย อันที่จริงที่ยามนี้ซูจุ้ยเตี๋ยยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ไม่บุบสลาย ก็ต้องถือว่าลูกน้องอย่างพวกเรารู้ขอบเขตมากแล้ว
“คุณชายหานไม่ต้องเป็นกังวลไป ใบหน้าของนาง พวกเราจะไม่แตะต้อง หากข่าวของคุณชายหานเป็นที่น่าพอใจ ท่านจะหาเวลามาวาดภาพนางสักสองภาพไว้ดูให้หายคิดถึงก็ยังได้ ท่านอ๋องได้บอกไว้แล้วว่า หากทำให้นางอัปลักษณ์จนเกินไป อาจทำให้พระชายาและซื่อจื่อน้อยตกใจได้”
หานหมิงเย่ว์สีหน้านิ่งขรึม พูดอันใดไม่ออก สุดท้ายยังได้หันไปมองสตรีบอบบางที่นอนโอดโอยอยู่กับพื้น แล้วจึงหมุนตัวเดินตามฉินเฟิงออกไปจากห้องนั้น
“ถานจี้จือ ชายที่อยู่ข้างกายม่อจิ่งฉีผู้นั้น เป็นทายาทของราชวงศ์ก่อน” หานหมิงเย่ว์เอ่ยต่อหน้าสายตาที่เย็นเยียบของฉินเฟิง
ฉินเฟิงหรี่ตาลง “คุณชายหาน ท่านกำลังล้อข้าเล่นหรือ” ทายาทแห่งราชวงศ์ก่อน? หากเป็นก่อนหน้านี้ บางทีข่าวนี้อาจเป็นข่าวที่ไม่เลวทีเดียว แต่ในยามนี้ ในทางลับๆ แล้วพวกเขากับม่อจิ่งฉีจะว่าเป็นน้ำกับไฟเลยก็ว่าได้ ผู้ใดเลยจะยังมีเวลามาสนใจว่าคนข้างกายเขาเป็นทายาทของราชวงศ์ก่อนหรือไม่ ต่อให้ตัวม่อจิ่งฉีเองเป็นทายาทมาจากราชวงศ์ก่อน ก็ไม่เกี่ยวอันใดกับพวกเขาแล้ว
หานหมิงเย่ว์เอ่ยเสียงเย็นว่า “ถึงแม้ถานจี้จือจะเพิ่งเข้ามามีบทบาทอยู่ในราชสำนักอย่างเป็นทางการ แต่เขาอยู่ข้างกายม่อจิ่งฉีมานานกว่าสิบปีแล้ว เป็นคนที่ม่อจิ่งฉีไว้ใจที่สุดและยังคอยเป็นมันสมองให้เขาอีกด้วย ท่านคิดว่าสำคัญหรือไม่”
เป็นจิตใจและมันสมองของม่อจิ่งฉี?
ฉินเฟิงขมวดคิ้ว ที่ม่อซิวเหยาคัดเลือกเขาจากหน่วยเฮยอวิ๋นฉีมาให้เยี่ยหลี และได้รับการยอมรับจากเยี่ยหลีให้มาเป็นผู้บัญชาการหน่วยกิเลนนั้น ความสามารถของฉินเฟิงไม่ว่าจะในด้านใด อย่างน้อยก็ต้องมีเหนือกว่ามาตรฐาน ดังนั้นเมื่อได้ยินสิ่งที่หานหมิงเย่ว์เอ่ย ฉินเฟิงจึงรับรู้สิ่งที่หานหมิงเย่ว์ต้องการจะสื่อได้อย่างรวดเร็ว
ทายาทราชวงศ์ก่อน ต่อให้ราชวงศ์ก่อนจะล่มสลายไปกว่าสองร้อยปีแล้ว แต่เมื่อคนเช่นนี้ปรากฏตัวขึ้นข้างกายฮ่องเต้ราชวงศ์นี้ ซ้ำยังปรากฏตัวในฐานะคนที่ฮ่องเต้ทรงไว้วางพระทัย ถึงอย่างไรก็ทำให้ผู้คนให้ความสนใจและระมัดระวังขึ้นหลายส่วน
ฉินเฟิงย่อมไม่มีทางลืมว่า เดิมทียามอยู่ในเมืองหลวงก่อนหน้าที่จะเคลื่อนทัพนั้น ม่อจิ่งฉีคิดที่จะแย่งชิงอำนาจทางการทหารไปจากพระชายา และคนที่ชื่อถานจี้จือนี้ ก็เคยสร้างความลำบากให้พระชายามาก่อน
ชั่วเวลาเพียงพริบตาเดียว ความคิดของฉินเฟิงเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเป็นร้อยตลบ เขามองจ้องหานหมิงเย่ว์ แล้วฉินเฟิงก็เอ่ยด้วยสีหน้าไม่แสดงอารมณ์ว่า “ข้าจะเชื่อได้อย่างไรว่าสิ่งที่ท่านพูดเป็นความจริง อีกอย่าง…หากข่าวเช่นนี้ แม้แต่ตำหนักติ้งอ๋องก็ยังไม่รู้ แล้วคุณชายหานจะรู้ได้อย่างไร”
หานหมิงเย่ว์เอ่ยเรียบๆ ว่า “ถึงอย่างไรข้าก็เคยเป็นนายใหญ่ของเทียนอี้เก๋อ” เทียนอี้เก๋อกุมแหล่งข่าวที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้า จะรู้ข่าวที่ผู้อื่นไม่รู้บ้าง จะแปลกอันใด
ฉินเฟิงส่งเสียงหึเบาๆ “หากเป็นข่าวอื่น ข้าน้อยอาจไม่รู้สึกแปลกใจ แต่หากเป็นเรื่องภายในเมืองหลวงแล้ว…เทียนอี้เก๋อมีความสามารถที่จะสืบรู้ข่าวที่แม้แต่ตำหนักติ้งอ๋องก็ยังไม่รู้อย่างนั้นหรือ”
หลายปีนี้ มิได้มีเพียงฮ่องเต้เท่านั้น ที่จับจ้องตำหนักติ้งอ๋องอยู่ตลอดเวลา ตำหนักติ้งอ๋องเองก็ไม่เคยผ่อนปรนความระแวดระวังที่มีต่อม่อจิ่งฉีมาก่อน มิเช่นนั้นแล้ว ในช่วงเวลาหลายปีที่ติ้งอ๋องป่วยหนักและปิดประตูจวนไม่พบผู้ใด ตำหนักติ้งอ๋องคงได้ถูกราชสำนักกลืนกินลงไปแล้ว
“หากท่านไม่เชื่อ ข้าก็ไม่มีอันใดจะพูดอีก เรื่องที่เกิดกับพระชายาในครานี้ มีคนผู้นี้เกี่ยวข้องด้วยอย่างแน่นอน ท่านลองคิดดูสิ หากม่อซิวเหยาและม่อจิ่งฉีแตกหักกัน จะมีผู้ใดบ้างที่ได้รับผลประโยชน์ที่แท้จริง”
แน่นอนว่าย่อมเป็นแคว้นต่างๆ โดยรอบ และท่านอ๋องที่ยึดครองพื้นที่อยู่อย่างม่อจิ่งหลี แน่นอนว่า หากสิ่งที่หานหมิงเย่ว์เอ่ยเป็นความจริง เช่นนั้น ถานจี้จือก็ถือเป็นหนึ่งในนั้น
อันที่จริงไม่ว่าฉินเฟิงจะเชื่อหรือไม่ แต่ข่าวนี้อย่างไรก็ต้องแจ้งแก่ม่อซิวเหยาให้ทราบ
เพียงแต่ ปฏิกิริยาของม่อซิวเหยาที่มีต่อข่าวนี้ ทำให้หานหมิงเย่ว์ตกใจจนหน้าถอดสี
“ตัดแขนซ้ายของจุ้ยเตี๋ยทิ้งเสีย!”
“เจ้าบ้าไปแล้ว!” หานหมิงเย่ว์คำรามขึ้น จ้องมองสีหน้าเรียบเฉยของม่อซิวเหยา
ม่อซิวเหยาเงยหน้าขึ้นมองเขา เอ่ยเรียบๆ ว่า “บอกแหล่งข่าวนี้มา มิเช่นนั้น ไม่เกินหนึ่งชั่วยาม ข้าจะตัดส่วนใดส่วนหนึ่งของซูจุ้ยเตี๋ยมาให้เจ้า”
“ข้าบอกไปแล้ว!” หานหมิงเย่ว์เอ่ยอย่างโกรธจัด
“ข้าไม่เชื่อ” ม่อซิวเหยาผลักสมุดบัญชีตรงหน้าออกไป “อย่าลืมว่ายามนี้เทียนอี้เก๋ออยู่ในมือผู้ใด เจ้ามีคนอยู่ในเมืองหลวงจำนวนเท่าใด ข้ารู้ดี หรือว่า เจ้ากำลังจะบอกข้าว่า ก่อนหน้านี้ที่เจ้าทำข้อตกลงกับข้า เจ้ายังมีอันใดหลบซ่อนไว้อีก? เช่นนั้น ข้าจะฆ่าซูจุ้ยเตี๋ยทิ้งก็ยังได้”
หานหมิงเย่ว์มองเขาด้วยสีหน้าหลากหลาย “เจ้าอย่าลืมเสีย ว่าบิดาและพี่ชายใหญ่ของนาง ได้สละชีวิตเพื่อคนตระกูลม่อของพวกเจ้า”
ม่อซิวเหยาเอนหลังพิงกับเก้าอี้ สีหน้าที่ขาวซีดดูเหนื่อยล้าและไม่สนใจ “เช่นนั้นแล้วอย่างไร ข้าเคยบอกแล้วว่า…หากภายในปีนี้อาหลีไม่กลับมา ผู้ใดก็ช่วยนางไม่ได้”
เยี่ยหลีตายแล้ว! หานหมิงเย่ว์คิดอยากตะโกนคำนี้ออกไปใจจะขาด แต่เมื่อได้เห็นสายตาเรียบเฉยของม่อซิวเหยา เขากลับพูดอันใดไม่ออก หรือจะบอกว่าเขาไม่กล้าก้ได้ เขาไม่แน่ใจว่า หากตนตะโกนคำนั้นออกไปแล้ว จะมีผลเช่นไรตามมา
“ม่อซิวเหยา เจ้ามันคนบ้า…” หานหมิงเย่ว์เอ่ยขึ้นเสียงเบา
ม่อซิวเหยาระบายเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่สนใจที่หานหมิงเย่ว์ด่าว่าตนเลยแม้แต่น้อย “ข้าสติดีกว่าเจ้ามาโดยตลอด ข้ารู้ว่าข้าต้องทำอันใด หานหมิงเย่ว์ เจ้าล่ะรู้หรือไม่” เขาจะรออาหลีและลูกของพวกเขากลับมา หากอาหลีไม่กลับมา เขาจะค่อยๆ ฆ่า ฆ่าคนพวกนั้นที่คิดทำร้ายอาหลีและคอยขัดขวางพวกเขา และจะฆ่าไปเรื่อยๆ จนกว่าอาหลีจะกลับมาหรือจนกว่าเขาจะตายไป
“ยามนี้ ตอบข้ามาได้แล้ว หรือว่าเจ้าอยากได้แขนของซูจุ้ยเตี๋ย?”
หานหมิงเย่ว์หลับตาลงอย่างยอมแพ้ เขาเริ่มนึกสงสัยว่า การบอกข่าวนี้แก่ม่อซิวเหยาเป็นการตัดสินใจที่ถูกหรือผิด “จุ้ยเตี๋ยเป็นคนบอกข้า”
“หึหึ น่าสนใจ…” ม่อซิวเหยาหัวเราะออกมาเบาๆ “ซูจุ้ยเตี๋ยเป็นคนบอกเจ้า? คนที่อยู่ไกลถึงซีหลิง สตรีที่ถูกเจิ้นหนานอ๋องใช้เป็นหมาก และจะเขี่ยทิ้งเมื่อใดก็ได้…แต่กลับรู้ข่าวที่ลับสุดยอดเช่นนี้? ฉินเฟิง จั๋วจิ้ง”
“พ่ะย่ะค่ะ” ทั้งสองก้าวขึ้นหน้ามารับคำสั่ง
ม่อซิวเหยาเอ่ยเสียงเย็นว่า “ภายในหนึ่งวัน ข้าต้องการได้ยินคำตอบนี้จากปากซูจุ้ยเตี๋ย ข้าไม่สนว่าพวกเจ้าจะใช้วิธีการใด”
ทั้งสองหันสบตากัน “ข้าน้อยรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”