ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 183-1 สภาพอันน่าเวทนาของยอดหญิงงาม
เมืองหรู่หยาง
ภายในเมืองหรู่หยาง เรือนหลังหนึ่งในมุมทางตะวันตกวันอันห่างไกลและไม่เป็นที่สะดุดตา เมื่อมองจากภายนอกเรือนเล็กๆ แห่งนี้ดูธรรมดาๆ เหมือนบ้านเรือนทั่วไปภายในเมืองหรู่หยาง และมิได้มีจุดที่น่าดึงดูดความสนใจเป็นพิเศษ ผู้ที่เป็นเจ้าของเรือนหลั’เล็กแห่งนี้ ก็ยังออกไปจ่ายตลาด เดินเล่นจับจ่ายซื้อของทุกวันเช่นเดียวกับเพื่อนบ้านคนอื่นๆ
แต่เมื่อได้เดินเข้าไปภายในเรือนเล็กๆ แห่งนี้จริงๆ แล้ว ก็จะพบว่า สถานที่แห่งนี้นั้นช่างแตกต่างจากภายนอกราวฟ้ากับเหว ด้วยเพราะสถานที่แห่งนี้ เป็นสถานที่ที่หน่วยกิเลนที่ลึกลับและเก่งกาจที่สุดของตำหนักติ้งอ๋องพักอาศัยอยู่ หากมีผู้ใดก้าวล่วงเข้าไป ก็จะตกอยู่ในเงื้อมือคนของหน่วยกิเลนที่กำลังพักผ่อนและร่ำเรียนวิชาอยู่ ณ ที่แห่งนี้ทันที ความเจ็บปวดที่คนผู้นั้นจะได้รับ เชื่อได้เลยว่า เพียงพอที่จะทำให้คนผู้นั้นรู้สึกเสียใจที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในโลกใบนี้
กลางดึก เงาดำเงาหนึ่งกระโดดข้ามกำแพงมาจากด้านนอกเงียบๆ ด้วยวิชาตัวเบาที่เป็นเลิศ ยามที่เขากระโดดลงถึงพื้น จึงไม่มีเสียงความเคลื่อนไหวใดๆ ให้ได้ยินแม้สักน้อย ชายในชุดดำกวาดสายตามองบริเวณโดยรอบอย่างรวดเร็วด้วยความระมัดระวัง จากนั้นก็เตรียมย่างเท้าไปยังเป้าหมายของตน
“อย่าขยับ” มีเสียงต่ำขรึมดังขึ้นจากด้านหลังเขา
ชายในชุดดำอึ้งไป แววตาครึ้มลง ยอมหยุดยืนอยู่กับที่ “หน่วยกิเลน ไม่เสียแรงที่ทำให้คนซีหลิงหวาดกลัวประหนึ่งเสือร้าย เลื่อมใส”
ระหว่างที่เขาพูดนั้น ก็มีคนขยับมาอยู่ข้างกายเขาอย่างไร้ซุ่มเสียง เขาตบไปตามตัวไม่กี่ที อาวุธที่เขาพกติดตัวทั้งหมดก็ถูกค้นออกมาทันที
ชายในชุดดำก็ไม่ได้ขัดขืน เขาย่อมรู้ดีว่า ภายในเรือนยามนี้ มิได้มีเพียงคนที่ยืนอยู่ข้างกายเขาแต่เพียงผู้เดียวที่จับตาดูเขาอยู่ “ที่ท่านสามารถคลำทางมาถึงที่นี่ได้ ก็ถือว่าไม่เลวเช่นกัน ตามข้าไปพบผู้บัญชาการเถิด คุณชายหาน”
ชายในชุดดำ… หานหมิงเย่ว์อึ้งไป ในที่สุดก็หัวเราะขื่นๆ พร้อมส่ายหน้า “พวกเจ้ารู้แต่แรกแล้วว่าเป็นข้า…”
ชายที่อยู่ข้างกายยิ้มเยาะ “หากพวกข้าไม่รู้ คุณชายหานคิดว่าท่านจะหาที่นี่พบหรือ”
หานหมิงเย่ว์มิได้เอ่ยอันใด ยอมเดินตามชายข้างกายเข้าไปแต่โดยดี
ภายใต้แสงเทียน ฉินเฟิงยังคงนั่งอยู่ในห้องหนังสือ อ่านรายงานม้วนหนาๆ อย่างละเอียด หนึ่งเดือนกว่าก่อนหน้านี้ เขาเพิ่งคัดเลือกทหารที่เก่งกาจที่สุดสามร้อยคนจากกองทัพรวมถึงองครักษ์ลับที่ต่างๆ มาเข้ารับการฝึกเบื้องต้นที่นอกเมือง เขาอาศัยประสบการณ์ที่ตนเคยได้รับการฝึกฝนกับข้อมูลจำนวนมากที่พระชายาทิ้งไว้ให้ ก็ถือว่าพอฝึกให้เข้าเค้าได้อยู่บ้าง
ฉินเฟิงที่มีฐานะเป็นผู้บัญชาการหน่วยกิเลน คร่ำเคร่งกับตรวจสอบข้อมูลที่จดบันทึกไว้ของบรรดาทหารที่เข้ารับการฝึกเหล่านี้ และคอยประเมินความเป็นไปได้ในการพัฒนาของพวกเขาในอนาคต และในขณะเดียวกัน ยังต้องคอยพัฒนาตนเองและสมาชิกเดิมตามที่พระชายาได้ทิ้งข้อมูลการฝึกไว้ให้อีกด้วย
ด้วยเพราะเหตุนี้ ฉินเฟิงจึงยุ่งจนหัวหมุนทุกวัน และทำให้ตนไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องที่น่าโมโหนั้น แน่นอนว่า ที่เขายุ่งวุ่นวายเช่นนี้ เป็นเพราะจำเป็นหรือตั้งใจ ฉินเฟิงไม่คิดที่จะหาคำตอบให้ละเอียด ดังนั้นเมื่อเห็นหานหมิงเย่ว์ที่ถูกจับตัวเข้ามา ในใจฉินเฟิงจึงบังเกิดความโกรธเกรี้ยวขึ้นมาทันที เขายุ่งมากอยู่แล้ว และการมาถึงของหานหมิงเย่ว์คงยิ่งทำให้เขายุ่งขึ้นไปใหญ่ และที่สำคัญกว่านั้นคือ การปรากฏตัวของหานหมิงเย่ว์ ทำให้เขาคิดถึงเรื่องที่ไม่น่ายินดีเท่าไรนักขึ้นมาอีกครั้ง
“คุณชายหาน ดึกดื่นเช่นนี้ท่านมาปรากฏตัวที่นี่ ด้วยเพราะมีเรื่องอันใดจะชี้แนะหรือ” เขาเอนตัวพิงเก้าอี้ ขยับคอที่เริ่มแข็งเกร็งเล็กน้อยๆ ฉินเฟิงหลับตาลงอย่างเกียจคร้าน ดวงตาที่เปิดขึ้นครึ่งหนึ่ง เผยแววอันตรายให้เห็นอย่างไม่ปิดบัง
ขอเพียงเป็นคนที่มีความเกี่ยวข้องกับเยี่ยหลี ไม่มีวันต้อนรับเขา หานหมิงเย่ว์มิได้แปลกใจในเรื่องนี้ หานหมิงเย่ว์ประสานมือให้ฉินเฟิง เอ่ยพร้อมยิ้มเรียบๆ ว่า “รบกวนแล้ว ผู้บัญชาการฉิน”
ฉินเฟิงปรายตามองเขาเรียบๆ เป็นการสื่อความหมายว่า ในเมื่อรู้ว่าเป็นการรบกวนแล้วเหตุใดจึงยังมาอีก
“ข้าน้อยอยากมาพบจุ้ยเตี๋ย ผู้บัญชาการฉินช่วยผ่อนปรนสักหน่อยเถิด” เขารู้ว่าหากตนไม่เอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาก่อน ฉินเฟิงไม่มีทางเอ่ยเรื่องนี้กับตนอย่างแน่นอน หานหมิงเย่ว์จึงไม่อ้อมค้อม เอ่ยออกมาตรงๆ ทันที
ตั้งแต่เมื่อสองเดือนก่อน ที่ม่อซิวเหยามอบซูจุ้ยเตี๋ยให้ฉินเฟิงจัดการ นางก็ถูกนำตัวแยกออกมาจากจวนผู้ว่าการ เพราะถึงอย่างไรขนาดของจวนผู้ว่าการก็ไม่เพียงพอให้คนในตำหนักติ้งอ๋องทั้งหมดพักอยู่ได้อยู่แล้ว ดังนั้นแม่ทัพสายบู๊และขุนนางสายบุ๋นโดยมาก อาทิ องครักษ์ลับและหน่วยกิเลนส่วนใหญ่ ถึงออกจากจวนผู้ว่าการไปพักอาศัยอยู่อีกที่หนึ่ง ยามนี้ผู้ที่ยังคงพักอยู่ในจวนผู้ว่าการก็มีเพียงตัวม่อซิวเหยา และคนสนิทอย่างเฟิ่งจือเหยา กับสวีชิงเจ๋อ และคนที่ไม่รู้จะไปที่ใดอย่างเขาเท่านั้น
ตั้งแต่ซูจุ้ยเตี๋ยถูกพาตัวไป หานหมิงเย่ว์ก็มิได้พบหน้านางอีกเลย ซึ่งทำให้เขาอดนึกเป็นห่วงไม่ได้ เมื่อเขาไม่มีเทียนอี้เก๋ออยู่ในมือ การจะหาที่อยู่ของซูจุ้ยเตี๋ย ต่อให้อยู่แค่ในเมืองหรู่หยางที่ไม่ถือว่ามีขนาดใหญ่นัก ก็ยังทำให้หานหมิงเย่ว์เสียเวลาไปไม่น้อย แต่วันนี้ดูท่าแล้ว แค่เพียงเรื่องนี้ ก็เป็นผลจากที่อีกฝ่ายตั้งใจเปิดเผยร่องรอยให้เขาได้รู้
หานหมิงเย่ว์อดยิ้มขื่นขึ้นไม่ได้ ในใจเกิดความรู้สึกหมดแรง เมื่อไม่มีเทียนอี้เก๋อ ไม่มีตระกูลหาน คุณชายหมิงเย่ว์ก็เป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น
“ซูจุ้ยเตี๋ย?” ฉินเฟิงอึ้งไปเล็กน้อย สีหน้าขรึมลงประหนึ่งเพิ่งคิดได้ว่ามีคนผู้นี้อยู่ด้วย “หากต้องการพบซูจุ้ยเตี๋ย เชิญคุณชายหานไปบอกกับท่านอ๋องเองเถิด”
หานหมิงเย่ว์ยิ้มขื่น หากเขาสามารถร้องขอม่อซิวเหยาได้ เหตุใดถึงต้องบุกเข้ามายามดึกดื่นค่ำคืนเช่นนี้
เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของเขา ฉินเฟิงก็เข้าใจทันที เพียงเอ่ยเรียบๆ ว่า “หากท่านอ๋องไม่อนุญาต…คุณชายหาน อย่าว่าแต่ท่านฉายเดี่ยวมาเพียงคนเดียวเลย ต่อให้ท่านนำทหารเป็นพันคนมา ก็ไม่มีทางได้พบซูจุ้ยเตี๋ยหรอก”
คิ้วคมของหานหมิงเย่ว์เลิกขึ้น เขารู้ดีว่า คนของฉินเฟิงล้วนเก่งกาจ ถึงแม้จะไม่มีข้อมูลโดยละเอียด แต่แค่เพียงดูจากผลงานการทำศึกในช่วงไม่ถึงครึ่งปีที่ผ่านมา ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ความสามารถของพวกเขาได้แล้ว แต่หากบอกว่าพวกเขาสามารถเอาชนะทหารนับพันได้ นั่นก็ไม่แน่ว่าอาจเป็นการมั่นใจตนเองจนเกินไป เพียงแต่…ยามนี้เขาเองก็หาทหารจำนวนนับพันมาไม่ได้อยู่ดี
ฉินเฟิงสังเกตสีหน้าเขาอย่างเห็นขัน เอนตัวพิงเก้าอี้พร้อมเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “คุณชายหานเข้าใจผิดแล้ว สำหรับหน่วยกิเลน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายแล้ว พวกเราไม่เลือกวิธีการ แต่ก็ไม่มีทางเลือกวิธีแข็งชนแข็งไปรนหาที่ตายเองหรอก ความหมายของข้าน้อยคือ…หากท่านอ๋องไม่อนุญาต ต่อให้คุณชายหานบุกเข้าไป…ข้าน้อยก็คงจะสังหารนางก่อนที่คุณชายหานจะได้พบหน้านาง หากคุณชายหานอยากพบซูจุ้ยเตี๋ยตอนนางกำลังจะหมดลมหายใจ ก็เชิญลองดูได้เลย”
หานหมิงเย่ว์นิ่งไป เข้ารู้ดีว่าฉินเฟิงมิได้กำลังล้อเขาเล่น ถึงแม้ซูจุ้ยเตี๋ยจะมิได้สังหารเยี่ยหลีด้วยมือตนเอง แต่หากมิใช่เพราะนางยิงอาวุธลับเข้าใส่อย่างกะทันหัน เยี่ยหลีก็ไม่มีทางพลัดตกหน้าผาไป หากมิใช่เพราะม่อซิวเหยายังต้องการให้ซูจุ้ยเตี๋ยมีชีวิตอยู่ เกรงว่าคนของตำหนักติ้งอ๋อง คงได้สับนางจนเละเป็นชิ้นๆ ไปแล้ว
หานหมิงเย่ว์ถอนใจยาวทีหนึ่ง “ข้าน้อยเพียงต้องการพบหน้านางสักครั้ง ไม่ต้องพูดกันก็ยังได้”
ฉินเฟิงหยิบม้วนกระดาษขึ้นมาอีกครั้ง บอกเป็นนัยๆ ว่าส่งแขก
“คุณชายฉิน ให้ข้าพบจุ้ยเตี๋ยสักครั้งเถิด ข้าขอแลกด้วยข่าวที่ลับที่สุด” หานหมิงเย่ว์เอ่ยเสียงขรึม
ฉินเฟิงไม่แม้แต่จะเหลือบสายตาขึ้นมอง เพียงเอ่ยเรียบๆ ว่า “ยามนี้หน่วยกิเลนยังไม่มีภารกิจอันใด ไม่จำเป็นต้องรวบรวมข่าว คุณชายหานมีอันใดอยากพูด เชิญท่านไปหาท่านอ๋องได้เลย”
หานหมิงเย่ว์ยิ้มอย่างฝืดเฝื่อน เขาไปหาม่อซิวเหยาด้วยเรื่องซูจุ้ยเตี๋ยมาถึงสองครั้งสองคราแล้ว ม่อซิวเหยาได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า หากเห็นหน้าเขาอีก ไม่จับตัวเขาโยนให้เจิ้นหนานอ๋องแห่งซีหลิง ก็จะจับเขาเข้าไปอยู่กับซูจุ้ยเตี๋ย
เขาอยากพบซูจุ้ยเตี๋ยอยู่หรอก แต่นั่นก็ด้วยเพราะเขาอยากรักษาชีวิตนางไว้ หากถูกจับโยนเข้าไปอยู่เป็นเพื่อนจุ้ยเตี๋ยจริงๆ คงได้จบเห่กันทั้งคู่
“ผู้บัญชาการฉิน ข่าวนี้ ท่านอ๋องของพวกท่านจะต้องสนใจอย่างแน่นอน อีกทั้ง ข่าวนี้ยังเกี่ยวกับที่ชายาติ้งอ๋องต้องพบเจอกับความยากลำบากอีกด้วย”
มือของฉินเฟิงที่พลิกม้วนกระดาษในมืออ่านอยู่ชะงักไปเล็กน้อย เขาหยุดใคร่ครวญ ก่อนเงยหน้าขึ้นเอ่ยว่า “ลองว่ามาซิ”
“ข้าขอพบจุ้ยเตี๋ยก่อน” หานหมิงเย่ว์ยังไม่ลืมว่าเมื่อครู่ฉินเฟิงเพิ่งเอ่ยว่า หน่วยกิเลนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายแล้ว พวกเขาไม่เลือกวิธีการ เช่นนั้นการข้ามแม่น้ำแล้วทำลายสะพานก็คงรวมอยู่ในนั้นด้วย
ฉินเฟิงเลิกคิ้ว ลุกยืนขึ้นเอ่ยว่า “ไม่มีปัญหา ท่านไปพบนางก่อน แต่ห้ามโต้ตอบกันและนางจะไม่เห็นเจ้าด้วย” พูดจบเขายังหันมาแบะปากยิ้มกับหานหมิงเย่ว์ แล้วเอ่ยว่า “ข้าไม่กลัวว่าคุณชายหานจะกลับคำหรอก และเช่นเดียวกัน หากข่าวของท่านไม่ทำให้ข้าพอใจ ท่านก็จะได้เห็นว่า…เพราะท่าน ซูจุ้ยเตี๋ยจะต้องรับการลงทัณฑ์เช่นไร”
หานหมิงเย่ว์ตัวแข็งไป มองจ้องฉินเฟิงอยู่เป็นนาน ถึงได้ถอนใจออกมา “วิธีการฝึกปรือคนของชายาติ้งอ๋องช่างเก่งกาจยิ่งนัก…”
ฉินเฟิงยักไหล่ ยิ้มเยาะเอ่ยว่า “เดิมทีสามารถเก่งกาจได้กว่านี้อีก เชิญเถิด คุณชายหาน”
เมื่อเจอกับสถานการณ์ตรงหน้า ในใจหานหมิงเย่ว์เกิดความรู้สึกหลากหลาย นึกไม่แน่ใจว่าตนควรเสียใจหรือไม่ที่เพียรคิดหาแผนการต่างๆ นานาเพื่อมาพบซูจุ้ยเตี๋ย
พวกเขายืนอยู่หน้าห้องที่หน้าตาซอมซ่อธรรมดาเป็นที่สุด คนทั่วไปไม่มีทางมองออกว่าที่แห่งนี้มีอันใดพิเศษ แต่เมื่อค่ายกลบนกำแพงถูกปลดออกไปแล้วนั้น ก็จะเห็นว่าด้านหลังกำแพงมีห้องลับที่ว่างเปล่าซ่อนอยู่ อีกทั้งที่ใต้ฝ่าเท้าของพวกเขา เมื่อมองลงไปยังสามารถมองเห็นห้องลับทั้งห้องได้อีกด้วย
เพียงทอดสายตาลงมอง เขาก็เห็นซูจุ้ยเตี๋ยทันที ด้วยเพราะยามนี้ ในห้องนั้นมีเพียงซูจุ้ยเตี๋ยอยู่คนเดียว แต่หานหมิงเย่ว์ก็ยังนึกสงสัยว่า คนผู้นั้นใช่ซูจุ้ยเตี๋ยจริงหรือไม่
บนเสื้อนักโทษที่ดำขมุกขมัว เต็มไปด้วยคราบฝุ่นและรอยเลือด ซูจุ้ยเตี๋ยนอนฟุบอยู่กับพื้นสกปรกๆ อย่างหมดแรง ถึงแม้พวกเขาจะยืนอยู่บนที่สูงเช่นนี้ แต่ก็ยังคงได้กลิ่นเหม็นสาปลอยขึ้นมาจากด้านล่าง
หานหมิงเย่ว์เห็นนิ้วมือของนางบิดผิดรูปอย่างชัดเจน นิ้วมือของนางทิ้งตัวอย่างอ่อนแรงอยู่กับพื้น ขาข้างหนึ่งก็ดูบิดเบี้ยวเช่นกัน แม้นในยามหลับ ขาข้างนั้นก็ยังกระตุกเกร็งอยู่เป็นระยะๆ สีหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ทั้งยังส่ายศีรษะและส่งเสียงโอดโอยอยู่เป็นระยะ หากลองสังเกตดูดีๆ จะเห็นว่านางกำลังพูดว่า…ข้าผิดไปแล้ว…ไว้ชีวิตข้า…ช่วยด้วย…
“พวกเจ้าทำอันใดนางกันแน่” ในที่สุด เขาก็อดเอ่ยถามขึ้นมาไม่ได้
ฉินเฟิงเอ่ยเรียบๆ อย่างไม่ใส่ใจว่า “อย่าบอกนะว่าเทียนอี้เก๋อไม่มีการทรมานเพื่อสอบปากคำ ท่านวางใจเถิด คนของข้าก็มิใช่มือใหม่เสียทั้งหมด ต่อให้บางครั้งเกินเลยไปบ้าง แต่ก็ไม่ถึงแก่ชีวิตนางหรอก”
หานหมิงเย่ว์อดตัวสั่นขึ้นไม่ได้ วิธีการทรมาณเหล่านั้น เขาย่อมรู้ดีแก่ใจ คุณชายหมิงเย่ว์มิใช่พระเจ้าเดินดิน เขาเองก็เคยทรมานศัตรูที่ตกมาอยู่ในเงื้อมือของเขาอย่างไม่สะทกสะท้านมาก่อน เพียงแต่เขาไม่เคยคิดว่า วิธีการเหล่านั้นจะถูกนำมาใช้กับสตรีที่เขารักที่สุด