ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 189-1 เจรจา

ตอนที่ 189-1 เจรจา

ภายในคุกใต้ดินของจวนผู้ว่าการ ถานจี้จือนั่งหน้านิ่งมองคุกใต้ดินที่ไม่เห็นเดือนเห็นตะวันอยู่ที่มุมหนึ่ง เขาถูกขังอยู่ในคุกใต้ดินแห่งนี้มาสามวันแล้ว แต่กลับยังไม่ได้พบม่อซิวเหยาหรือเยี่ยหลีคนใดคนหนึ่งเลย มีเพียงเฟิ่งจือเหยาที่มาดูเขาเป็นครั้งคราวเท่านั้น ความหมายของพวกเขานั้นชัดเจนอย่างยิ่ง เขาต้องการเพียงที่อยู่ของดอกปี้ลั่วและวิธีการถอนพิษในร่างกายม่อซิวเหยา

ถานจี้จือย่อมไม่ยอมบอกเฟิ่งจือเหยาง่ายๆ เขาไม่เชื่อว่าหากตนบอกไปแล้ว ม่อซิวเหยาจะปล่อยตนไป แต่เขาเองก็รู้ดีว่า ยิ่งอยู่ที่นี่นานเท่าไร ก็ยิ่งไม่เป็นผลดีต่อเขาเท่านั้น เขาจะต้องออกไปจากที่นี่ให้ได้ก่อนที่นังสารเลวซูจุ้ยเตี๋ยจะคายทุกอย่างออกมา หรือเขาต้องทำให้นางตายก่อน…

ซูม่านหลินถูกขังอยู่ในห้องฝั่งตรงข้ามกับถานจี้จือ ถึงแม้จะห่างกันเพียงไม่กี่ก้าว แต่กลับทำได้เพียงส่งสายตาหากันจากที่ไกลๆ เท่านั้น

ซูม่านหลินมีฐานะเป็นธิดาเทพแห่งหนานเจียง นางเป็นหญิงชั้นสูงที่ไม่เคยต้องลำบากอันใดมาตั้งแต่เล็กๆ ยามที่เข้ามาใหม่ๆ ยังพอมีแรงสาปแช่งก่นด่า แต่เพียงถูกเฟิ่งจือเหยาปล่อยให้หิวสักสองมื้อ ก็ยอมอยู่นิ่งๆ เงียบๆ อย่างว่าง่าย เพียงคอยหันมามองถานจี้จือที่อยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยน้ำตานองหน้าเท่านั้น แต่นั่นกลับยิ่งทำให้ถานจี้จือที่ร้อนใจอยู่แล้ว ยิ่งหงุดหงิดหนักเข้าไปอีก จนระอาที่จะสนใจนาง

ทั้งสองนั่งอยู่ในคุกก็ไม่มีเรื่องอันใดให้พูดคุยกัน ถานจี้จือนั่งใจลอยคิดวางแผนอยู่ฟากหนึ่ง ส่วนซูม่านหลินที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็เอาแต่ร้องไห้และคอยพร่ำบ่นอยู่เป็นระยะ

มีเสียงฝีเท้าดึงขึ้นด้านนอกประตู ถานจี้จือตวัดสายตาไปทางประตูโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า ท่ามกลางหมู่คนจำนวนมาก ชายหญิงคู่หนึ่งเดินจับจูงกันเข้ามา

สายตาของถานจี้จือมองไปยังเยี่ยหลีก่อน นางเปลี่ยนเอาชุดเรียบง่ายซอมซ่อนั่นออกมาอยู่ในชุดผ้าไหมสีม่วงอ่อนลายเมฆไหล ปักลายดอกฝูหรงสีอ่อน เมื่ออยู่ท่ามกลางความร้อนแรงเช่นนี้ ยิ่งทำให้ดูบอบบางและสง่างามเป็นพิเศษ และในขณะเดียวกันก็ทำให้ถานจี้จือลอบนึกประหลาดใจกับความสามารถที่แท้จริงที่ซ่อนอยู่ของตำหนักติ้งอ๋อง ยามนี้ม่อจิ่งฉีใช้ข้ออ้างเรื่องม่อซิวเหยาทรยศแผ่นดินในการถอดบรรดาศักดิ์ของม่อซิวเหยาออก ทั้งยังใช้กำลังทหารปิดล้อมพื้นที่ซี่เป่ยทั้งหมดและปิดเส้นทางการค้ากับทุกพื้นที่ของต้าฉู่ แต่ตำหนักติ้งอ๋องแม้จะอยู่ในเขตซีเป่ยที่ห่างไกลเช่นนี้ แต่ยังคงมีผ้าไหมลายเมฆไหลที่เป็นสินค้าใหม่ล่าสุดของหนานจ้าวใช้ เห็นได้ชัดว่าเขามีความร่ำรวยและเส้นสายจำนวนมหาศาลทีเดียว ยิ่งไปกว่านั้น ต้องรู้ก่อนว่า ผ้าไหมลายเมฆไหลถึงแม้จะเป็นในวังหลวง หนึ่งปีก็ได้มาเพียงไม่ถึงสิบพับดี และตั้งแต่ทั้งสองแคว้นเริ่มเปิดศึกกันเมื่อปีที่แล้ว ก็ยิ่งไม่มีให้ใช้เข้าไปใหญ่

ถานจี้จือไม่เคยรู้สึกว่าเยี่ยหลีงดงามเท่าไรนัก ด้วยเพราะเขาเห็นสตรีที่งดงามมามากแล้ว แต่ในยามนี้เขาต้องยอมรับว่า ม่อซิวเหยามีสายตาที่เฉียบแหลมนัก

สตรีตรงหน้านางนี้งดงาม แม้ไม่ถึงกับตะลึงงัน แต่กลับทำให้คนที่ได้เห็นรู้สึกสบายตาและสบายใจเป็นอย่างยิ่ง แล้วยังท่าทางเรื่อยๆ สบายๆ กับความสดใสและความมั่นใจที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความอ่อนหวานนั่นอีก จนทำให้เขารู้สึกว่า หญิงงามในใต้หล้าไม่ว่าคนใด เมื่อมาอยู่ต่อหน้านางก็เป็นเพียงสตรีธรรมดาๆ เท่านั้น

“หึ!” ม่อซิวเหยาส่งเสียงหึขึ้น สายตาที่กวาดไปทั่วร่างถานจี้จือช้าๆ ส่อแววอันตราย

ถานจี้จือรู้สึกเย็นวาบในใจ รีบเก็บสายตาของตนที่มองเยี่ยหลีอยู่กลับมาทันที เขาลุกยืนขึ้นหันหน้าไปทางประตู เอ่ยยิ้มว่า “ข้าน้อยถานจี้จือ คารวะท่านอ๋อง คารวะพระชายา”

ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วขึ้น มองหน้าเขาพร้อมเอ่ยว่า “ดีมาก เจ้าใจกล้าไม่น้อย” เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้แล้ว ยังสามารถทำความเคารพได้อย่างเป็นธรรมชาติเช่นนี้ ถือว่ามีจำนวนไม่มากจริงๆ ม่อซิวเหยาจึงอดประเมินชายตรงหน้าสูงขึ้นอีกขั้นไม่ได้ แต่นั่นก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนบทสรุปสุดท้ายที่กำลังมาถึงของเขาไปได้อยู่ดี

ด้านหลัง มีคนยกเก้าอี้บุฟูกนวมสองตัวเข้ามาวางในคุก ม่อซิวเหยาดึงเยี่ยหลีให้นั่งลง ถึงแม้จะอยู่ในคุกที่อึมครึมและสกปรก แต่ทั้งสองยังคงมีท่าทีสบายๆ ประหนึ่งตรงหน้าเป็นดอกไม้ที่บานสะพรั่งน่ามองกระนั้น

มีบ่าวยกน้ำชาเข้ามาให้ แต่ภายในคุกก็ดูมิใช่สถานที่ที่เหมาะแก่การดื่มชาเลยจริงๆ ม่อซิวเหยาขมวดคิ้วดึงถ้วยชาในมือเยี่ยหลีมาวางลงบนโต๊ะ

เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ มองไปทางถานจี้จือและซูม่านหลินพร้อมเอ่ยถามว่า “ใต้เท้าถาน หลายวันนี้ ข้ากับท่านอ๋องมีธุระรัดตัวยิ่งนัก ทำให้ละเลยพวกท่าน หวังว่าทั้งสองจะเข้าใจ ท่านทั้งสองสบายดีหรือไม่”

ถานจี้จือยิ้มขื่น หันมองเยี่ยหลีเอ่ยว่า “พระชายาเกรงใจแล้ว เมื่อไม่เป็นไปตามแผน ถานจี้จือยินดีเสี่ยงและยอมรับความพ่ายแพ้”

เยี่ยหลีพยักหน้า อมยิ้มมองเขาแล้วเอ่ยถามว่า “เช่นนั้น…ใต้เท้าถานคงรู้ว่าข้าต้องการสิ่งใด ไม่รู้ว่าคำตอบของใต้เท้าถานคือ?”

ถานจี้จือยิ้ม “ข้าน้อยเข้าใจดี พระชายาต้องการดอกปี้ลั่ว…เชื่อว่ากว่าหนึ่งปีมานี้ พระชายาคงลงทุนลงแรงไปไม่น้อย เพียงแต่ข้าน้อยขอบอกพระชายาว่าอย่าได้ไปเสียเวลากับคนแซ่เหลียงนั่นเลย ดอกปี้ลั่วนั้น เขาไม่มีทางหาเจออยู่แล้ว”

“อ้อ?” คิ้วเรียวของเยี่ยหลีขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้วพลางเอ่ยถามว่า “เหตุใดข้าจึงต้องเชื่อใต้เท้าถานด้วย หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ…ต่อให้ที่ใต้เท้าถานพูดเป็นความจริง แล้วอย่างไร”

ถานจี้จือเอ่ยว่า “เดิมทีดอกปี้ลั่วเป็นของศักดิ์สิทธิ์ของหนานเจียงอยู่แล้ว พระชายาคิดจริงๆ หรือว่า หนานจ้าวอ๋องจะมอบของล้ำค่าเช่นนี้ให้กับพ่อค้าวานิชของต้าฉู่คอยดูแล ต่างพูดกันว่าพ่อค้าวานิชเห็นกำไรเป็นสำคัญ หรือหนานจ้าวอ๋องจะไม่คิดว่าเขาจะถือเอาของล้ำค่านั้นไปเป็นของตนจริงๆ?”

เยี่ยหลีถอนใจ เอ่ยกับถานจี้จือย่างจนใจว่า “ใต้เท้าถาน ในเมื่อท่านใช้ดอกปี้ลั่วมาปกป้องชีวิตของตนเอง ข้าจึงไม่เคยนึกสงสัยว่าท่านจะไม่รู้ว่าดอกปี้ลั่วอยู่ที่ใด ดังนั้น ท่านไม่จำเป็นต้องเอ่ยให้มากความเช่นนี้ เพียงแต่…ท่านควรรู้ว่า หากยังหาของสิ่งนั้นไม่เจอ ไม่ว่าท่านจะพูดสิ่งใดก็ล้วนไร้ค่า”

ถานจี้จือตาเป็นประกาย จ้องเขม็งไปที่เยี่ยหลี “หากหาเจอแล้วจะเป็นเช่นไร พระชายากำลังจะเกลี้ยกล่อมให้ข้าเชื่อว่า คำพูดของตำหนักติ้งอ๋องเชื่อถือได้อย่างนั้นหรือ”

เฟิ่งจือเหยาที่ยืนอยู่ด้านหลังทั้งสองปรายตามองเขา เอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ใต้เท้าถาน ท่านไม่เชื่อแล้วจะทำเช่นไรได้”

ถานจี้จือนิ่งไป เมื่อตกอยู่ในมือตำหนักติ้งอ๋องแล้ว ไม่เชื่อแล้วจะทำอย่างไรได้ หากเชื่ออาจยังมีทางรอด แต่หากไม่เชื่อคงเหลือเพียงตายกับตายเท่านั้น

หากเป็นในยามปกติ ถานจี้จือจะลองเสี่ยงดูสักทีก็คงไม่เป็นอันใด แต่ในสถานการณ์เช่นนี้เขากลับไม่กล้าเสี่ยง ด้วยเพราะเขาไม่มีเวลา หากเรื่องใดเรื่องหนึ่งเกิดแดงขึ้นมา อย่าว่าแต่แค่เขาบอกม่อซิวเหยาว่าดอกปี้ลั่วอยู่ที่ใดเลย ต่อให้เขาเอาดอกปี้ลั่วมายื่นให้กับมือม่อซิวเหยาก็คงหนีความตายได้ยากนัก

เมื่อคิดถึงจุดนี้ ถานจี้จือจึงส่ายหน้าเอ่ยว่า “ขอโทษด้วย พระชายาน่าจะรู้ว่า ต่อให้รู้ว่าดอกปี้ลั่วอยู่ที่ใด ก็ใช่ว่าจะได้มาภายในเวลาอันรวดเร็ว แต่ข้าน้อยยังมีเรื่องสำคัญต้องไปจัดการ ไม่มีเวลารั้งอยู่ที่นี่ได้นานนัก เชื่อว่า…ยามนี้ทูตของฝ่าบาทคงมาถึงเมืองหรู่หยางแล้วกระมัง”

ถานจี้จือมั่นใจในแผนที่ตนวางไว้ก่อนหน้านี้เป็นอย่างมาก ขอเพียงม่อซิวเหยายังไม่ประกาศตนว่าจะทรยศต้าฉู่อย่างเปิดเผย อย่างไรเขาก็ยังต้องให้ความสำคัญกับทูตจากราชสำนักอยู่หลายส่วน

“ถานจี้จือ…หลินย่วน เจ้ากำลังเอ่ยเตือนข้าเรื่องฐานะอีกฐานะหนึ่งของเจ้าอย่างนั้นหรือ” ม่อซิวเหยาหรี่ตาเอ่ยถามขึ้น ต่อให้เขาเห็นว่าม่อจิ่งฉีน่ารำคาญตาเพียงใด แต่นั่นก็มิได้หมายความว่าเขาจะปล่อยทายาทของราชวงศ์ก่อนไป เพราะถึงอย่างไร คนที่ล้มล้างราชวงศ์ก่อน ก็มิได้มีเพียงปฐมฮ่องเต้ บรรพบุรุษของตำหนักติ้งอ๋องเองก็มีผลงานอยู่กว่าครึ่ง ดังนั้นพวกเขาจึงถือเป็นศัตรูคู่แค้นกันมาตั้งแต่เกิด

ถานจี้จือได้แต่ฝืนยิ้ม ยามนี้เขาเริ่มไม่แน่ใจว่า โอกาสที่เขาจะมีชีวิตรอดออกไปจากเมืองหรู่หยางนั้นมีมากน้อยเพียงใดกันแน่เสียแล้ว

ถานจี้จือนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วถึงเอ่ยขึ้นว่า “ท่านอ๋อง ไม่ว่าจะเป็นถานจี้จือหรือหลินย่วน แต่อย่างน้อยยามนี้ ท่านกับข้าก็มิได้มีผลประโยชน์ที่ขัดแย้งกันมิใช่หรือ หากฆ่าถานจี้จือไป ก็หาได้มีผลดีอันใดต่อสถานการณ์ของซีเป่ยและตำหนักติ้งอ๋องในยามนี้ไม่ อีกอย่าง…ท่านอ๋องเองก็รู้จักฝ่าบาทดี ฝ่าบาทจะต้องทำให้เรื่องนี้ใหญ่โตจนทำลายชื่อเสียงของตำหนักติ้งอ๋องเป็นแน่”

ม่อซิวเหยายิ้มเยาะอย่างดูแคลน “เจ้าคิดว่าข้าสนใจหรือ”

ถานจี้จือนิ่งไป เขาไม่เคยดูออกจริงๆ ว่าม่อซิวเหยาสนใจเรื่องชื่อเสียงของตำหนักติ้งอ๋อง ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่เขาคิดไม่ตกเป็นที่สุด ขอเพียงมิใช่ชนชั้นปกครองที่ทำอันใดตามใจและโง่เขลามาแต่กำเนิด ก็ต่างรู้ดีถึงความสำคัญของใจประชาชน ถึงแม้จะเป็นคนอย่างม่อจิ่งฉี ที่ชัดเจนว่าไม่สนใจว่าประชาชนจะเป็นหรือตาย แต่ก็ยังให้ความสำคัญอย่างมากกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของประชาชน

แต่ครึ่งปีมานี้ ไม่ว่าม่อจิ่งฉีจะพูดอันใด ทางด้านซีเป่ยก็ไม่มีปฏิกิริยาอันใดเลยแม้แต่น้อย ปานประหนึ่งยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ม่อจิ่งฉีพูดกระนั้น

เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ก็ทำให้ถานจี้จือรู้สึกเป็นกังวลไม่น้อย การที่เขามีปฏิกิริยาเช่นนี้ หากม่อซิวเหยามิได้หมดหวังเสียจนคิดตีหม้อข้าวตนเองแล้ว ก็คงเตรียมที่จะทำให้วุ่นวายกันไปทั่วทั้งใต้หล้า เพราะถึงอย่างไร ช้าเร็วก็ต้องเปิดศึกกันอยู่ดี หากพยายามแก้ตัวในยามนี้ ก็มีแต่จะทำให้ผู้คนรู้สึกว่าเป็นเรื่องหลอกลวง สู้ไม่พูดอันใดเสียตั้งแต่ต้นเลยจะดีกว่า

ชายาเคียงหทัย

ชายาเคียงหทัย

Status: Ongoing

หลังถูกน้องสาวร่วมบิดาแทงข้างหลัง ทำให้ เยี่ยหลี คุณหนูสามแห่งจวนตระกูลเยี่ยถูกถอนหมั้นจาก ม่อจิ่งหลี ท่านอ๋องรูปงามแห่งเมืองหลวง แต่นางก็ยังมองโลกในแง่ดี หวังว่าตนจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปอีกสักสองสามปี ทว่าเหตุไฉนสามวันให้หลัง ฝ่าบาทถึงได้พระราชทานสมรสให้นางอีกครั้งเล่า!

การแต่งงานครั้งนี้แม้ฉากหน้าจะดูเหมือนเป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก แต่คนที่นางต้องอภิเษกสมรสด้วยกลับเป็น ม่อซิวเหยา ท่านอ๋องพิการไร้ประโยชน์ อีกทั้งยังมีรูปโฉมอัปลักษณ์ เล่าลือกันว่าเขาเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วถึงสองครา ทว่าหญิงสาวทั้งสองคนที่เขาสมรสด้วยกลับต้องมีอันเป็นไปภายหลังจากการแต่งงานได้ไม่นาน

แต่ช้าก่อน…บุรุษที่แสนอ่อนโยนและเก่งกาจตรงหน้านางนี้น่ะหรือคือม่อซิวเหยา บุรุษที่กล่าวกันว่าเป็นคนน่ากลัว ไร้ค่า ไม่ได้เรื่องได้ความคนนั้น นี่คงมีอะไรที่เข้าใจผิดไปแล้วกระมัง

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท