ณ ปากประตูเมืองหรู่หยาง เฟิ่งจือเหยายืนยิ้มในหน้าอยู่ที่หน้าประตู พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานอีกจำนวนหนึ่งและชาวบ้านอีกจำนวนไม่น้อยที่มาร่วมเป็นจีนมุง ดูขบวนทัพที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้
บรรดาขุนนางของเมืองหรู่หยางต่างอยู่ในชุดสบายๆ ซึ่งยิ่งทำให้ดูตัดกับชุดสีแดงทั้งตัวของคุณชายสามตระกูลเฟิ่ง ที่ดูโดดเด่นกว่าใครทุกคน
เมื่อเทียบกับความไม่มีพิธีรีตองของฝั่งผู้เป็นเจ้าบ้านแล้ว อีกฝ่ายกลับอยู่ในชุดประจำตำแหน่งเต็มยศทั้งคนและม้า ดูยิ่งใหญ่เป็นพิเศษ แต่ก็ดูแปลกประหลาดในเวลาเดียวกัน
เฟิ่งจือเหยามือถือพัด ยืนพิงกำแพงเมืองอยู่ เอ่ยถามขึ้นลอยๆ ว่า “อากาศร้อนระอุเช่นนี้ พวกเขาใส่เสื้อผ้าหลายชั้นขนาดนั้นไม่ร้อนหรือ” เขาถึงได้บอกไง เป็นขุนนางมีอันใดดีกัน? เวลาไปราชการในวันที่อากาศร้อนๆ ก็ต้องสวมข้างในสามชั้น ข้างนอกสามชั้น ไม่กลัวว่าจะอบตัวเองจนป่วยกันเสียบ้างเลย
ต้องรู้ก่อนว่า ต้าฉู่นั้นเป็นแคว้นที่ถือเรื่องกฎระเบียบและธรรมเนียมต่างๆ อย่างมาก ต่อให้เป็นหน้าร้อน ชุดราชการก็มีถึงสี่ห้าชั้น อีกทั้งผ้าที่นำมาทำเป็นชุดราชการก็ไม่ใช่ผ้าโปร่งๆ ที่ระบายอากาศได้ดี แต่เป็นผ้าที่ใช้แสดงถึงความสง่าผ่าเผยและยิ่งใหญ่ของราชสำนัก ชุดข้าราชการจึงมักใช้ผ้าไหมอวิ๋นที่ทั้งหนาหนักและหรูหรา เพียงแค่ดูจากสภาพชุ่มเหงื่อขององครักษ์เหล่านั้นก็รู้ว่าแล้วภายในร้อนระอุเพียงใด
ไม่มีผู้ใดเอ่ยตอบคำถามเขา ด้วยเพราะขบวนทัพด้านหน้าได้เดินทางมาถึงปากประตูเมืองแล้ว
ชาวบ้านในเมืองหรู่หยางดูมีความสนใจใคร่รู้ไม่น้อย ด้วยเพราะพื้นที่ทางซีเป่ยเป็นพื้นที่ห่างไกล หากไม่มีเหตุอันใด ก็ไม่มีขุนนางผู้ใหญ่มาให้เห็นเลยเป็นหลายสิบปี ขุนนางตำแหน่งใหญ่ที่สุดที่ชาวบ้านได้พบก็คือผู้ว่าการที่อยู่ในเมืองเท่านั้นเอง
ยามนี้ในเมืองหรู่หยางมีติ้งอ๋องมาปักหลักอาศัยอยู่ แล้วยามนี้ยังมีท่านอ๋องอีกสองท่านกับขุนนางใหญ่อีกหลายท่านเดินทางมา ชาวบ้านทั้งหลายย่อมพากันมาดูเรื่อสนุ…พามากันมาต้อนรับคณะทูตจากราชสำนักกันอย่างเนืองแน่น
องครักษ์จำนวนนับร้อยนายนำขบวนทัพยาวเหยียดมาหยุดลงตรงปากประตูเมือง รถม้าไม้สีแดงสลักลวดลายคันแรก มีผู้อาวุโสรูปร่างดูอวบอ้วนก้าวลงมา เขาอยู่ในชุดขุนนางสีม่วง ผมเป็นสีขาวดอกเลาไปทั้งหัว แต่สีหน้าท่าทางมีความดูแคลนอย่างเห็นได้ชัด เขาเหยียบหลังองครักษ์นายหนึ่งลงมา กวาดตามองไปยังทุกคนที่ยืนอยู่หน้าประตูเมือง ก่อนสีหน้าจะบึ้งตึงลงไปทันที
เฟิ่งจือเหยาทำเป็นไม่เห็นสีหน้าของเขา เดินยิ้มประสานมือเข้าไปหา “เฟิ่งซานแห่งตำหนักติ้งอ๋องได้รับคำสั่งจากท่านอ๋องให้มาต้อนรับท่านอ๋องทั้งสองและใต้เท้าทุกท่าน เฟิ่งซานคารวะเต๋ออ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
“เฟิ่งซาน เฟิ่งจือเหยา?” เต๋ออ๋องมองหน้าเฟิ่งจือเหยาด้วยสีหน้าบึ้งตึง เต๋ออ๋องย่อมเคยได้ยินชื่อเฟิ่งจือเหยามาก่อน หากในยามปกติ เขาก็ไม่รังเกียจที่จะให้เกียรติผู้ด้อยอาวุโสกว่าผู้นี้นัก แต่ยามนี้ การที่ม่อซิวเหยาส่งคนที่มีฐานะเป็นขุนนางแต่ไม่มีตำแหน่งมาต้องรับเช่นนี้ ถือเป็นการตบหน้าเขาชัดๆ เต๋ออ๋องอายุอานามมากเช่นนี้แล้ว แม้แต่ฮ่องเต้ยังต้องเคารพเขาถึงสองส่วน จะทนเรื่องนี้ได้อย่างไร
เฟิ่งจือเหยาเอ่ยยิ้มๆ ว่า “เป็นข้าน้อยเองพ่ะย่ะค่ะ ท่านเต๋ออ๋องความจำดียิ่งนัก”
เต๋ออ๋องเอ่ยเสียงเย็นว่า “ม่อซิวเหยาอยู่ที่ใด” เต๋ออ๋องถึงจะอายุมากแล้ว แต่หากเทียบกันตามศักดิ์ กลับอยู่ในระดับเดียวกับม่อซิวเหยา และด้วยฐานะของตำหนักติ้งอ๋อง ตามปกติหากพบหน้ากันติ้งอ๋องยังต้องเอ่ยเรียกว่าติ้งอ๋อง แต่มายามนี้ม่อซิวเหยากลับไม่ให้เกียรติเขา เขาเองก็จะไม่ไว้หน้าม่อซิวเหยาเช่นกัน จึงเอ่ยเรียกชื่อเขาตรงๆ อย่างไม่เกรงใจ
เฟิ่งจือเหยาก็ไม่โกรธ เอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “พระชายากำลังตั้งครรภ์ ท่านอ๋องเป็นห่วงพระชายากับซื่อจื่อน้อย จึงยุ่งเสียจนไม่มีเวลาออกมาต้องรับท่านอ๋อง ขอท่านอ๋องโปรดอภัยด้วย”
สีหน้าเต๋ออ๋องเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวซีด ถึงแม้เฟิ่งจือเหยาจะพูดอ้อมๆ แต่ความหมายในคำพูดของเขากลับชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง ติ้งอ๋องยุ่งอยู่กับการดูแลพระชายา ไม่มีเวลาออกมารับท่าน
“บังอาจ! ฝ่าบาททรงถอดยศถาบรรดาศักดิ์ของม่อซิวเหยาไปแล้ว เหตุใดถึงกล้าเรียกเขาว่าท่านอ๋องอีก!” เต๋ออ๋องเอ่ยด้วยความโกรธจัด
เฟิ่งจือเหยาหลุบตาลงเล็กน้อย ขุนนางที่ยืนอยู่ด้านหลังเขา ต่างเป็นคนที่ตำหนักติ้งอ๋องไว้ใจ จะทนให้เต๋ออ๋องเสียมารยาทเช่นนี้ได้อย่างไร
ในขณะที่กำลังจะก้าวออกมาเอ่ยแก้นั้น อวี๋อ๋อง ม่อจิ่งอวี๋ที่อยู่ในรถม้าด้านหลังก็เดินเข้ามาถึงพอดี จึงรีบเข้ามาดึงเต๋ออ๋องไว้พร้อมเอ่ยแก้สถานการณ์ว่า “เรื่องอันใดกันหรือเสด็จลุง พวกเราเดินทางไกลเป็นพันลี้มาถึงเมืองหรู่หยาง เหตุใดถึงมายืนหัวเสียอยู่ที่หน้าประตูเมืองได้เล่า เอ๋…ท่านนี้คือคุณชายสามตระกูลเฟิ่ง?”
ชื่อเสียงของเฟิ่งจือเหยาในอดีตยามที่อยู่ในเมืองหลวงนั้นโด่งดังมิใช่น้อย ม่อจิ่งอวี๋ย่อมรู้จักเขา
เฟิ่งจือเหยาอมยิ้ม ประสานมือเอ่ยว่า “เฟิ่งซานคารวะท่านอวี๋อ๋อง ใต้เท้าซู ใต้เท้าม่อ”
ซูเจ๋อเป็นคนที่อายุมากที่สุด เมื่อต้องเดินทางมาไกลเช่นนี้ บนใบหน้าที่แก่ชราจึงดูเหนื่อยล้าและขาวซีด แต่กลับหันมาพยักหน้าให้เฟิ่งจือเหยา
เฟิ่งจือเหยาเหลือบมองซูเจ๋อ ในใจลอบถอนใจเล็กน้อย ก่อนเปิดทางเชิญให้คณะเดินทางเข้าเมืองไป
เมื่อยามเป็นเด็ก เขาติดตามอยู่ข้างกายม่อซิวเหยา และเคยได้รับคำสั่งสอนจากซูเจ๋อมาไม่น้อย เขานึกไปถึงซูจุ้ยเตี๋ยที่ถูกจองจำอยู่ในคุกใต้ดิน จึงอดไม่ได้ที่จะถอนใจยาวออกมา
“ท่านอ๋องทั้งสองเดินทางระหกระเหินมาไกลเช่นนี้ คงเหนื่อยล้ากันมากแล้ว เชิญเข้าไปพักผ่อนที่ในเมืองก่อนเถิด ไว้อีกเดี๋ยวท่านอ๋องและพระชายาจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับทุกท่าน”
เต๋ออ๋องหันมองขุนนางและชาวบ้านโดยรอบที่จ้องตนอยู่ด้วยสีหน้าที่ไม่เป็นมิตรนัก ก็รู้ว่าหากตนโวยวายอยู่ที่นี่ ก็มีแต่ตนเองที่จะดูไม่ดี จึงส่งเสียงหึทีหนึ่ง ก่อนสะบัดแขนเดินเข้าเมืองไป
ม่อจิ่งอวี๋อมยิ้มมองไปรอบๆ ก่อนเดินตามเข้าไป ในใจนึกถอนใจอยู่คนเดียวว่า ม่อซิวเหยาเข้ามาปกครองเมืองหรู่หยางได้ไม่ถึงครึ่งปีดี ก็สามารถซื้อใจชาวบ้านและขุนนางในเมืองได้แล้ว ความสามารถของตำหนักติ้งอ๋องและอิทธิพลของเขาที่มีต่อประชาชนช่างล้ำลึกเกินจะหยั่งถึงได้จริงๆ
นิสัยของเต๋ออ๋องนั้นยิ่งแก่ยิ่งเผ็ด อารมณ์โกรธที่เขาระบายใส่เฟิ่งจือเหยาเมื่อยามที่อยู่หน้าประตู ย่อมไม่มีทางรอให้ถึงงานเลี้ยงต้อนรับตอนเย็นแล้วค่อยไประเบิดใส่ม่อซิวเหยาอย่างแน่นอน เมื่อเข้าเมืองมา ก็ไม่สนใจว่าเฟิ่งจือเหยาจะจัดให้ตนพักอยู่ในโรงเตี๊ยมเป็นการชั่วคราว แต่ตรงไปยังจวนผู้ว่าการทันที
อันที่จริงที่เขาไม่เข้าใจคือ เดิมทีม่อซิวเหยามิได้คิดจะส่งคนไปต้อนรับเขาเสียด้วยซ้ำ หากเฟิ่งจือเหยาไม่นำคนออกไป แล้วเขาจัดขบวนทัพมาเสียยิ่งใหญ่เพียงนั้น เมื่อมาถึงปากประตูหากว่างเปล่าไร้ผู้คน นั่นคงยิ่งดูไม่ดีหนักเข้าไปใหญ่
เมื่อเขามาถึงจวนผู้ว่าการ กลับได้รับการรายงานว่า ท่านอ๋องและพระชายาเพิ่งย้ายออกไปอยู่ที่ตำหนักแห่งใหม่ ต่อแต่นี้ไปจวนผู้ว่าการ จะเป็นจวนของผู้ว่าการแห่งหรู่หยาง ดังนั้นเต๋ออ๋องจึงนำคนออกเดินทางไปยังตำหนักติ้งอ๋องที่อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองหรู่หยางทันที
ครานี้ที่มาซีเป่ย มีเต๋ออ๋องเป็นหัวหน้าคณะ เมื่อเขาไม่ยอมพัก ด้วยหมายมั่นจะหาตัวม่อซิวเหยามาพูดเคยให้จงได้ คนอื่นๆ ก็ย่อมไม่ได้พักตามไปด้วย ทำได้เพียงติดตามเขาไปเท่านั้น
ตำหนักติ้งอ๋องอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองหรู่หยาง ตั้งอยู่บนถนนเซวียนอู่ซึ่งเป็นถนนที่อยู่กลางเมือง ถึงแม้ขนาดและความโอ่อ่าใหญ่โตจะเทียบไม่ได้กับตำหนักติ้งอ๋องที่ในเมืองหลวง แต่หลังจากผ่านการปรับปรุงมาหลายเดือน ก็มีขนาดที่ใหญ่โตพอสมควร ความหรูหราอย่างเมืองหลวง เมื่อมีความเรียบง่ายและความหยาบกระด้างอย่างซีเป่ยเข้ามาผสม จึงดูหรูหราน้อยลงไปหลายส่วน
บนประตูใหญ่ ป้ายที่เขียนว่า ตำหนักติ้งอ๋อง เพียงสี่พยางค์ง่ายๆ มีมังกรโบยบินหงส์เริงระบำอยู่รอบๆ อย่างยิ่งใหญ่ ยิ่งทำให้เต๋ออ๋องโกรธจนเป็นนิ้วที่ชี้ถึงกับสั่น “บังอาจ! บังอาจเกินไปแล้ว ม่อซิวเหยาคิดจะทำอันใด”
ทุกคนที่อยู่โดยรอบไม่มีผู้ใดกล้าพูดอันใด เต๋ออ๋องโกรธเกรี้ยวจนระเบิดคำพูดออกมาเท่านั้น มิได้ต้องการคำตอบจริงๆ
ม่อจิ่งอวี๋ยืนสังเกตการณ์อยู่ข้างๆ อย่างธุระไม่ใช่ ประหนึ่งเพียงยืนชมวิวทิวทัศน์อยู่กระนั้น
ไม่นาน ก็มีคนออกมารับคณะของพวกเขาให้เข้าไปด้านใด ขณะเดียวกัน สีหน้าของเต๋ออ๋องก็ยิ่งย่ำแย่ลงไปใหญ่ ม่อซิวเหยาไม่ออกไปต้อนรับเขาที่นอกเมืองก็แล้วไปเถิด แต่นี่เขามาถึงปากประตูตำหนักแล้วก็ยังไม่ออกมาอีก สีหน้าทั้งสามคนที่ตามเขามาด้านหลังก็ดูย่ำแย่ไม่น้อยเช่นกัน แต่มิใช่ด้วยเพราะเรื่องให้เกียรติหรือไม่ให้เกียรติตน แต่การที่ติ้งอ๋องมีท่าทีเช่นนี้ นั่นแสดงให้เห็นว่าเขาไม่คิดจะไว้หน้าราชสำนักเลยแม้แต่น้อย หากเป็นเช่นนี้…ภารกิจของพวกเขาในครานี้คงจัดการไม่ได้ง่ายๆ เสียแล้ว
ม่อจิ่งอวี๋นึกสาปแช่งม่อจิ่งฉีขึ้นมาในใจทันที เดิมทีเขาก็เป็นท่านอ๋องที่อยู่สบายๆ ดีอยู่แล้ว ผู้ใดจะเป็นฮ่องเต้ก็ไม่เกี่ยวอันใดกับเขา ม่อจิ่งฉีทำให้ความสัมพันธ์ของตนกับตำหนักติ้งอ๋องเลวร้ายเอง แต่วันนี้กลับต้องให้ตนเดินทางไกลมาถึงซีเป่ย หากม่อซิวเหยาคิดจะเป็นกบฏจริง พวกเขาเหล่านี้จะมีชีวิตรอดกลับเมืองหลวงหรือ
เว่ยลิ่นเดินนำทุกคนเข้าไปในตำหนักด้วยสีหน้าเรียบเฉย ใบหน้าที่ดูอ่อนเยาว์จนเกินไป ทำให้ดูไม่เหมือนหัวหน้าพ่อบ้านที่คอยจัดการเรื่องราวต่างๆ ภายในตำหนัก แน่นอนว่า จริงๆ แล้วเขาก็ไม่ใช่ แค่เพียงเขาหลบหลีกได้ไม่เร็วเท่าจั๋วจิ้งและหลินหานเท่านั้น ถึงได้ถูกท่านอ๋องจับให้มาเป็นหัวหน้าพ่อบ้านไปก่อนชั่วคราว
เขาผินหน้ามองไปทางเฟิ่งจือเหยาที่เดินสบายๆ อยู่ เว่ยลิ่นนึกชื่นชมและเห็นด้วยกับความคิดของเขาว่า ตำแหน่งหัวหน้าพ่อบ้านถึงแม้จะดูเป็นตำแหน่งที่สูงและมีเกียรติ แต่ไม่เหมาะกับพวกเขาที่อยู่ในวัยฉกรรจ์เอาเสียเลย แค่ได้ยินผู้อื่นเรียกตนว่าหัวหน้าพ่อบ้านเว่ย เว่ยลิ่นก็รู้สึกปวดท้องขึ้นมาตะหงิดๆ แล้ว
ภายในห้องโถงใหญ่ ม่อซิวเหยากำลังนั่งสนทนาอยู่กับเยี่ยหลี เมื่อเห็นเว่ยลิ่นนำแขกเข้ามา ก็ไม่เกรงใจ เพียงยิ้มเรียบๆ เอ่ยว่า “เต๋ออ๋อง อวี๋อ๋อง ใต้เท้าซู ใต้เท้าม่อ เชิญนั่งก่อน”
ผมสีเทาของม่อซิวเหยารวบขึ้นไว้ง่ายๆ สีหน้าที่มีรอยยิ้มประดับอยู่ ดูอบอุ่นสบายตากว่าความสุภาพอย่างยามที่อยู่ในเมืองหลวงหลายส่วน แต่กลับไม่ทำให้ผู้คนรู้สึกน่าเข้าใกล้เลยแม้แต่น้อย แต่กลับยิ่งดูน่าเกรงกลัว
ก่อนหน้านี้ม่อซิวเหยาปิดหูปิดตาผู้คนมาโดยตลอด ถึงแม้ม่อจิ่งฉีจะพยายามหาทางวางสายสืบไว้ในเมืองหรู่หยางจำนวนไม่น้อย แต่ในเมืองหลวงกลับยังไม่มีผู้ใดล่วงรู้เรื่องที่ม่อซิวเหยาผมขาวในชั่วข้ามคืน วันนี้เมื่อจู่ๆ มาพบเข้าจึงต่างพากันตกอกตกใจ