เมื่อสั่งให้คนส่งเต๋ออ๋องและอวี๋อ๋องกลับไปพักผ่อนที่เรือนพักแขกแล้ว เยี่ยหลีก็จับแขนสาวใช้เดินออกมาจากทางด้านหลัง นางยิ้นน้อยๆ เอ่ยว่า “ไม่ได้พับกันเพียงคืนเดียว เต๋ออ๋องดูจะเปลี่ยนไปไม่น้อยทีเดียว”
ม่อซิวเหยาลุกขึ้นมาประคองนาง โบกมือสั่งให้บ่าวถอยออกไป “ที่เขาสามารถรอดจากเงื้อมือของอดีตฮ่องเต้และสามารถอยู่อย่างสงบมาได้หลายปีเช่นนี้ เต๋ออ๋องก็เป็นจิ้งจอกเฒ่าที่ฝึกมาเป็นอย่างดีแล้ว หลายปีนี้คงแค่เพียงได้ใจจนลืมตัวไปเท่านั้นกระมัง เขาคงคิดว่าที่เขาได้จัดการเรื่องไร้สาระของบรรดาเชื้อพระวงศ์ กับการที่ม่อจิ่งฉีเรียกเขาว่าเสด็จลุงนั้นถือว่าม่อจิ่งฉีเคารพเขาว่าเป็นเสด็จลุงจริงๆ เข้ากระมัง”
“มาวันนี้เขาใช้คำพูดหวานหูมาเกลี้ยกล่อมข้า ต่อให้ข้าไม่เห็นแก่หน้าเขา อย่างน้อยก็ต้องปล่อยให้เขากลับเมืองหลวงไปอย่างปลอดภัย”
เยี่ยหลีค่อยๆ นั่งลง เยี่ยหลีนึกย้อนไปถึงท่าทีของท่านอ๋องทั้งสองเมื่อครู่ หากว่าเขามาช่วยพูดโน้มน้าวแทนม่อจิ่งฉี ก็ดูจะขาดน้ำหนักเกินไปอยู่หลายส่วน เป็นแค่เพียงการมาถ่ายทอดราชโองการของม่อจิ่งฉีเท่านั้น นอกนั้นก็เพียงเอ่ยเกลี้ยกล่อมม่อซิวเหยาอีกสองประโยค เห็นได้ชัดว่าทั้งสองไม่มีผู้ใดคิดอยากยั่วโมโหม่อซิวเหยาขึ้นมาจริงๆ
เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “เดิมทีท่านก็คิดจะปล่อยพวกเขากลับไปอยู่แล้ว?”
ม่อซิวเหยาพยักหน้าน้อยๆ นั่งลงข้างนาง เอ่ยว่า “ทั้งสองคนถึงแม้จะมิได้มีอิทธิพลอันใดมากมายนัก แต่หากต้องการเพียงหาเรื่องม่อจิ่งฉีสักหน่อยก็ถือว่าเพียงพอแล้ว ช่วงสองสามเดือนนี้ข้าไม่อยากยุ่งวุ่นวายกับพวกเขา”
เขาก้มหน้าลงมองส่วนหน้าท้องที่เต่งนูนของเยี่ยหลี แล้วเอามือสัมผัสลงไปเบาๆ ก็พอดีกับที่บุตรในท้องเตะขึ้นมาพอดี ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วขึ้น ก็เห็นเยี่ยหลีกำลังขมวดคิ้วเล็กน้อย “เจ้าเด็กนี่ไม่รู้จักอันใดควรไม่ควรเอาเสียเลย คลอดออกมาคงต้องอบรมให้ดีเสียหน่อย”
เยี่ยหลีไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี และไม่รู้ว่านางเข้าใจผิดไปเองหรือไม่ แต่ทุกคราที่ม่อซิวเหยาอยู่ข้างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามที่เขาเอามือมาลูบท้อง บุตรในครรภ์ก็จะเปลี่ยนเป็นมีชีวิตชีวาขึ้นเป็นพิเศษ นางเอ่ยอย่างจนใจว่า “เขายังอยู่ในท้องจะไปรู้เรื่องอันใดได้ ท่านอ๋องทำตัวเป็นเด็กอีกแล้วนะเพคะ”
คิ้วคมของม่อซิวเหยาเลิกขึ้นเล็กน้อย ในใจคิดไว้แล้วว่า ไว้เด็กคนนี้คลอดออกมาเมื่อใด จะต้องจัดการอมรมให้ดีให้จงได้
ไม่กี่วันต่อมา เต๋ออ๋องและอวี๋อ๋องก็มาขอตัวเตรียมเดินทางกลับเมืองหลวงกับม่อซิวเหยา แต่ซูเจ๋อกลับป่วยค่อนข้างหนักมาก ยามที่อวี๋อ๋องไปเยี่ยมด้วยตนเอง ก็เห็นว่าซูเจ๋อผ่ายผอมจนแทบจะเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก และดูจะไม่ได้สติเอาเสียเลย ท่าทางเช่นนั้นไม่ว่าอย่างไรก็แสดงไม่ได้ อย่าว่าแต่กลับเมืองหลวงเลย เกรงว่าหากดูแลไม่ดีแล้วเกิดโดนลมเย็นปะทะเข้า ก็สามารถถึงแก่ชีวิตเขาได้ทันที
แต่ท่านอ๋องทั้งสองต่างรู้ดี ซีเป่ยไม่ใช่พื้นที่ที่พวกเขาจะพักอยู่นานได้ จึงจำต้องขอม่อซิวเหยาเดินทางกลับไปก่อน เมื่อกลับไปถึงเมืองหลวงแล้ว ค่อยทูลต่อฝ่าบาท ไว้รอให้ซูเจ๋อหายดีขึ้นหน่อย ค่อยส่งคนมารับกลับเมืองหลวง
ม่อซิวเหยาก็ไม่รั้งพวกเขาไว้ ทั้งสองพาม่อเจียนกับองครักษ์ที่ไม่รู้เหตุใดเหลือจำนวนอยู่เพียงไม่ถึงครึ่งกลับไป พวกเขาก็ไม่ถามไถ่ให้มากความ รีบออกเดินทางในวันนั้นเลยทันที
เมื่อม่อซิวเหยาได้ยินเรื่องนี้ก็เพียงยิ้มบางๆ เท่านั้น และสั่งให้จางอวี้และหลี่ว์จิ้นเสียนที่ประจำการอยู่ในเมืองหรู่หยางไปส่งท่านอ๋องออกจากเมืองด้วยตนเอง
ภายในคุกใต้ดินที่มืดสลัว ม่อซิวเหยานั่งเอนหลังพิงเก้าอี้อยู่อย่างเกียจคร้าน มองดูชายวัยกลางคนเลือดท่วมตัวที่ถูกจับมัดอยู่กับท่อนไม้แล้วเลิกคิ้วขึ้นยิ้ม “รองผู้บัญชาการหน่วยอวี้หลิน? ที่เป็นทั้งคนที่ฮ่องเต้ไว้วางพระทัยและเป็นแม่ทัพที่ฮ่องเต้ทรงโปรดปราน เซวียเฉิงเหลียง? และยังเป็นหลานลูกพี่ลูกน้องของไทเฮา ญาติผู้พี่ของฮ่องเต้? ม่อจิ่งฉีช่างไม่เสียดายทรัพย์สินที่หาได้ยากเอาเสียเลย ถึงขั้นส่งเจ้ามายังซีเป่ย?”
ชายผู้นั้นเงยหน้าขึ้น มองบุรุษในชุดขาวและผมขาวตรงหน้าที่ดูแม้แต่เศษฝุ่นก็มิอาจแปดเปื้อนเขาได้ด้วยแววตาหวาดกลัว ในคุกใต้ดินที่มืดสลัวและสกปรกเช่นนี้ ยิ่งทำให้เขาดูเย็นยะเยือก
ม่อซิวเหยาไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย ยิ้มเรียบๆ เอ่ยว่า “ได้ยินว่าผู้บัญชาการเซวียแต่ไหนแต่ไรมาก็ได้ชื่อว่าเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของหน่วย วิทยายุทธก็ยิ่งหย่อนกว่ามู่ฉิงชังเพียงเล็กน้อย แต่ผ่านมาตั้งหลายปีแล้วก็ยังได้เป็นเพียงรองผู้บัญชาการหน่วยอวี้หลิน ช่างน่าเสียดายเหลือเกิน”
เซวียเฉิงเหลียงเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาไม่เคยมีชื่อเสียงในเมืองหลวง หลายปีที่ผ่านมา ก็เป็นเพียงรองหัวหน้าผู้บัญชาการหน่วยอวี้หลินที่ไม่โดดเด่นเป็นที่สะดุดตามาโดยตลอด ไม่คิดเลยว่า ม่อซิวเหยาจะถึงขั้นสืบเรื่องราวของตนมาโดยละเอียด
ม่อซิวเหยาเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ปรายตามองเขาแล้วเอ่ยว่า “เมื่อเข้ามาในเมืองหรู่หยางของข้าแล้ว อย่างไรก็คงไม่คิดฝันว่าจะได้กลับออกไปอย่างปลอดภัยกระมัง ข้าจะไม่ให้คนทรมานเจ้าหรอก คิดว่าการทรมานคงใช้ไม่ได้ผลกับเจ้า เจ้าคิดจะพูดเองหรือจะให้ข้าหาวิธีให้เจ้าพูด?”
เซวียเฉิงเหลียงหัวเราะเยาะ “เมืองหรู่หยางเป็นของท่านอ๋องหรือ ทั้งใต้หล้าเป็นแผ่นดินของฮ่องเต้ ท่านอ๋องคิดว่าแค่เพียงท่านยึดหรู่หยางได้ หรู่หยางก็จะเป็นของท่านแล้วหรือ คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่า ตำหนักติ้งอ๋องจะมีรุ่นที่เป็นคนคิดคดทรยศแผ่นดินอยู่ด้วย! ไม่รู้ว่าม่อหลั่นอวิ๋นและม่อหลิวฟางที่อยู่ในปรโลกจะมีหน้าไปพบองค์ปฐมฮ่องเต้และบรรพบุรุษได้อย่างไร”
ม่อซิวเหยาไม่สนใจคำด่าทอของเขา แววตาเย็นเยียบประหนึ่งน้ำแข็ง “คิดไม่ถึงว่าผู้บัญชาการเซวียจะเป็นทหารผู้จงรักภักดีต่อฮ่องเต้และแว่นแคว้นอย่างหาได้ยากเช่นนี้ ช่างทำให้ข้ารู้สึกเลื่อมใสเสียจริง เพียงแต่ไม่รู้ว่าสตรีสาวคนสนิทของผู้บัญชาการเซวียกับคุณชายน้อยที่เพิ่งลืมตาดูโลกมาได้ไม่เท่าไร จะจงรักภักดีต่อฮ่องเต้และเว่นแคว้นเช่นเดียวกับท่านหรือไม่”
เซวียเฉิงเหลียงอึ้งไป แววตาดูมีความตื่นตระหนก มายามนี้เขาถึงได้เชื่อว่าม่อซิวเหยาสืบค้นประวัติของเขามาโดยละเอียดจริงๆ หากม่อซิวเหยาเอาคนในตระกูลมาข่มขู่ บางทีเขาอาจไม่ใส่ใจ เขาเป็นบุตรสายรองของตระกูลเซวีย นายหญิงแห่งตระกูลเซวียเป็นน้องสาวแท้ๆ ของฮองเฮา เขาจึงลำบากมาตั้งแต่เล็กๆ เขาไม่มีความรักใคร่ผูกพันอันใดกับตระกูลเซวียและภรรยาของเขา แต่ที่ม่อซิวเหยาเอ่ยถึงสตรีสาวคนสนิทและบุตรที่เพิ่งคลอดออกมาได้ไม่นานนั้น ทั้งสองเป็นแก้วตาดวงใจของเขาจริงๆ
นางเป็นเพื่อนเล่นกับเขามาตั้งแต่เล็กๆ และเป็นสตรีที่เป็นรักแรกของเขา ในช่วงเวลาที่ยากลำบากของชีวิตก็มีนางที่คอยผ่านช่วงนั้นมาเป็นเพื่อนเขา จนวันนี้พวกเขามีบุตรด้วยกันหนึ่งคน เดิมทีเขาคิดไว้ว่าหากกลับไปเมืองหลวงครานี้จะทูลขอราชโองการจากฮ่องเต้ ให้เขาสามารถรับนางและบุตรเข้าตระกูลไปเป็นภรรยาอย่างเป็นทางการ
เมื่อได้เห็นสีหน้าของเซวียเฉิงเหลียง ม่อซิวเหยาก็ยิ้มออกมาด้วยความพอใจ ยกมือขึ้นขยับนิ้วมือเพียงเล็กน้อย ฉินเฟิงที่ยืนอยู่ด้านหลังก็หยิบภาพเหมือนภาพหนึ่งออกมากางลงตรงหน้าของเซวียเฉิงเหลียง
สีหน้าเซวียเฉิงเหลียงที่เดิมเขียวคล้ำ ก็ดูขาวซีดขึ้นมาในบัดดล คนในภาพก็คือสตรีในดวงใจของเขาและบุตร อย่าว่าแต่ใบหน้าและการแต่งตัวเลย แม้แต่ภาพบ้านที่ด้านหลังนางก็ยังเหมือนไปเสียทั้งหมด
เซวียเฉิงเหลียงเอ่ยด้วยความตระหนกตกใจว่า “เป็นไปไม่ได้! เหตุใดเจ้าถึงได้…”
รอยยิ้มของม่อซิวเหยาเลือดเย็นและไร้ความปราณี “ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าผู้บัญชาการเซวียจะมาเป็นเกียรติที่ซีเป่ย แต่ว่า…ข้ามิได้บอกว่าข้าจะไม่มีวันกลับเมืองหลวง ดังนั้น คนข้างกายฝ่าบาทของพวกเรามีผู้ใดและเป็นคนเช่นไรกันบ้าง ย่อมต้องสืบหาโดยละเอียด”
ตั้งแต่เกิดเรื่องถานจี้จือขึ้น ม่อซิวเหยาก็ได้สั่งให้เทียนอี้เก๋อและองครักษ์ลับร่วมกันสืบประวัติคนข้างกายม่อจิ่งฉีมาโดยละเอียด ถึงแม้จะไม่แน่ใจว่าจะสามารถควานหาตัวหมากลับของม่อจิ่งฉีออกมาได้ทั้งหมด แต่ก็ถือว่าได้กลับมาไม่น้อย
“ท่านจะเอาอย่างไร” เซวียเฉิงเหลียงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงข่มขู่
ม่อซิวเหยาลุกขึ้นเอ่ยว่า “ผู้บัญชาการเซวียติดตามข้างกายฝ่าบาทมาตั้งแต่อายุสิบห้า ย่อมรู้อันใดไม่น้อย ไม่ต้องรีบไป เจ้าค่อยๆ คิดก็ได้ อย่างมากไม่เกินหนึ่งเดือน ข้ารับประกันว่าจะให้ผู้บัญชาการเซวียได้พร้อมหน้าพร้อมตาอย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นผู้บัญชาการเซวียค่อยๆ คิดใคร่ครวญว่าควรจะให้คำตอบข้าเช่นไรก็ยังไม่สาย”
พูดจบ ม่อซิวเหยาก็ไม่สนใจสีหน้าบิดเบี้ยวของเซวียเฉิงเหลียงที่ถูกจับมัดอยู่กับเสาทั้งๆ ที่เลือดเต็มตัวอีก เขาหมุนตัวเดินออกจากคุกไปทันที
ด้านหลังมีเสียงตะโกนด้วยความโกรธของเซวียเฉิงเหลียงลอยตามมาว่า “ม่อซิวเหยา ห้ามเจ้าทำร้ายพวกนางนะ!”
“ใช่สิ ผู้บัญชาการเซวียอย่าได้คิดทำเรื่องโง่ๆ อย่างเช่นการฆ่าตัวตายหรืออะไรเทือกๆ นั้นเชียว ข้าไม่มีกฎว่าจะไม่สังหารสตรีและเด็ก หรือว่าเจ้าอยากให้บุตรของเจ้ามารับโทษแทน?”
“ม่อซิวเหยา เจ้าไม่ได้ตายดีแน่!” เซวียเฉิงเหลียงมองบุรุษในชุดขาวราวหิมะและผมก็ขาวราวหิมะตรงหน้าด้วยความหวาดกลัว ประหนึ่งกำลังมองภูตผีปีศาจอย่างไรอย่างนั้น
“ไม่ได้ตายดี?” ม่อซิวเหยาส่งเสียงหึเบาๆ “ข้าตายมาไม่น้อยกว่าสิบครั้งตั้งนานแล้ว ข้าไม่กลัวความตาย ผู้บัญชาการเซวียท่านกลัวหรือไม่”
เซวียเฉิงเหลียงถึงกับเป็นใบ้พูดไม่ออก เขากลัวตายหรือไม่ แน่นอนเขาย่อมกลัว ตั้งแต่เล็กจนโตเขาได้รับความลำบากมานับครั้งไม่ถ้วน ในที่สุดก็ได้มีครอบครัวและบุตรเป็นของตนเอง เขาจะไม่กลัวตายได้อย่างไร”