ไม่นานองครักษ์ก็นำตัวเหยาจีเข้ามา เมื่อเห็นสตรีที่ผ่ายผอมและขาวซีดตรงหน้า เยี่ยหลีก็อดใจหายไม่ได้ เหยาจีที่อยู่ตรงหน้านางในเวลานี้ เมื่อเทียบกับหนึ่งปีก่อนที่ถึงแม้จะเจ็บปวดแต่ต้องทำเป็นแข็งแกร่ง แต่ยังคงมีรัศมีความงามแผ่ออกมาแล้ว ก็ดูประหนึ่งเป็นคนละคน
ผิวพรรณที่เคยขาวผ่องดุจหิมะ ด้วยเพราะขาดการดูแลอย่างดีมาเป็นเวลานาน จนทำให้ดูซูบผอมและซีดเหลือง เหลือเพียงเค้าลางความสวยจัดจากรูปลักษณ์ที่เคยงดงามเท่านั้น ผมเส้นเล็กยาวก็ใช้เพียงผ้ารวบไว้อย่างง่ายๆ ปลายผมแห้งแตกปล่อยทิ้งตัวอยู่กลางหลัง
ในมือเหยาจีกอดห่อผ้าเอาไว้อยู่กับตัว ดูจากเด็กแล้ว ถือว่าได้รับการดูแลที่ไม่เลว น่าจะอายุได้สักประมาณห้าหกเดือน
เยี่ยหลีโบกมือให้ฉินเฟิงออกไปก่อน ฉินเฟิงขมวดคิ้วมองเหยาจีด้วยความลังเล ถึงแม้จะสืบค้นประวัติของเหยาจีมาโดยละเอียดแล้ว แต่พระชายาในยามนี้อยู่ในช่วงระยะอันตราย จะเกิดข้อผิดพลาดเลยไม่ได้แม้แต่น้อย
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฉินเฟิงก็เริ่มรู้สึกผิดที่มารบกวนพระชายาด้วยเรื่องนี้ เขาคิดเพียงว่า เขาช่วยเหยาจีกลับมาโดยพลการ จำเป็นต้องเรียนให้พระชายารู้สักหน่อยเท่านั้น แต่กลับลืมไปว่ายามนี้พระชายาใกล้คลอดเต็มที ส่วนเรื่องเหยาจี หากไม่เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น ไว้ค่อยเรียนพระชายาทีหลังก็ยังได้
เมื่อเห็นฉินเฟิงมีท่าทีลังเล ตัดสินใจไม่ถูก เยี่ยหลีจึงเอ่ยพร้อมยิ้มน้อยๆ ว่า “ท่านกลับไปก่อน ข้ามีเรื่องจะคุยกับแม่นางเหยาจีสักหน่อย”
ฉินเฟิงจึงทำได้เพียงถอยออกไปรอที่ด้านนอกประตู
เยี่ยหลียิ้มให้เหยาจีอย่างขอลุแก่โทษ “ให้เจ้าเห็นเรื่องน่าขันแล้ว”
เหยาจีส่ายหน้า ยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ใต้เท้าฉินมีใจจงรักภักดีต่อพระชายา เป็นเรื่องน่าอิจฉาเสียจริงเพคะ”
เยี่ยหลีมองเด็กน้อยที่เหยาจีอุ้มอยู่กับอก เหยาจีก้มลงไปมองและจับเขาโยกไปมาเป็นระยะๆ บนใบหน้าที่ดูไม่ค่อยสบายนัก เต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู
“เด็กคนนี้…” เหยาจีกอดลูกไว้แน่นกับอก แล้วเอ่ยเรียบๆ ว่า “นี่เป็นลูกของข้า อายุใกล้ครบครึ่งขวบแล้ว ชื่อว่า เสิ่นจิ้งอัน ท่านเห็นว่าชื่อที่ข้าตั้งนี้ใช้ได้หรือไม่”
เยี่ยหลีพยักหน้า “เด็กคนนี้ใช้แซ่เดียวกับเจ้า?”
เยี่ยหลีจำได้ลางๆ ว่าเหยาจีเคยพูดว่าแซ่เดิมนางแซ่เสิ่น ชื่อเสิ่นเหยา
เหยาจีดูเหมือนจะคิดถึงเรื่องใดเข้า จึงพยักหน้าด้วยสีหน้านิ่งขรึม
เยี่ยหลีมองสตรีที่เคยสวยหยาดเยิ้มไม่มีผู้ใดเทียม ต้องเปลี่ยนมาอยู่ในสภาพที่น่าเวทนาเหมือนในปัจจุบันแล้ว ก็ให้รู้สึกสงสารนางจับใจ “ข้าจำได้ว่ายามที่เจ้าเดินทางออกจากเมืองหลวง ในตัวมีเงินทองอยู่ไม่น้อย เหตุใดถึงมาตกอยู่ในสภาพเช่นปัจจุบันนี้ได้”
โรงละครชิงเฉิงถูกขายให้กับเยี่ยหลีอย่างลับๆ ด้วยจำนวนเงินที่เพียงพอให้เหยาจีและลูกใช้ชีวิตอย่างสุขสบายไปได้ตลอดชีวิต
เหยาจียิ้มขื่น ลูบลูกน้อยที่กำลังหลับสนิท “เหยาจีถือตนว่าทำอันใดได้ไม่แพ้ผู้อื่น แต่เมื่อออกจากโรงละครชิงเฉิงถึงได้รู้ว่า นอกจากร้องเล่นเต้นระบำแล้ว นางทำอันใดไม่เป็นอีกเลย ถึงแม้ข้าจะรังเกียจฐานะหญิงคณิกาที่ต้องคอยร่ายรำให้ผู้คนดู แต่หลายปีมานี้ ฐานะนี้ก็ทำให้ข้าได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระ มิเช่นนั้นแล้ว เกรงว่าคงถูกคนจับไปขายเป็นอนุอยู่ที่จวนใดจวนหนึ่งแล้ว เดิมทียังคิดว่าข้ากับมู่หยางถึงแม้จะมิได้บุญวาสนาต่อกัน แต่อย่างไรก็ถือว่าได้พบและจากกันด้วยดี ผู้ใดเลยจะรู้ว่า…”
ที่แท้ หลังจากเหยาจีออกจากเมืองหลวงมาแล้ว ด้วยเพราะกำลังตั้งครรภ์อยู่สามเดือน จึงจำต้องหาบ้านใกล้ๆ เมืองหลวงที่อยู่ในพื้นที่ค่อนข้างห่างไกลไปอาศัยอยู่ เพื่อรอเวลาให้ตนคลอดบุตรออกมาแล้วค่อยออกเดินทางไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ คิดไม่ถึงว่าในเมืองเล็กๆ ที่นางพักอาศัยอยู่เป็นการชั่วคราวนั้น หมู่บ้านหลังอื่นๆ โดยรอยล้วนเป็นบ้านทางฝ่ายมารดาของฮูหยินมู่หยางโหว หนึ่งในนั้นยังมีคนที่รู้ถึงฐานะของเหยาจี และได้บอกเรื่องนี้ให้กับฮูหยินมู่หยางโหวรู้
ยามนั้นเหยาจีตั้งครรภ์ได้หกเดือน มู่หยางยังไม่กลับจากการออกไปทำศึกกับเยี่ยหลีที่ซีเป่ย ฮูหยินมู่หยางโหวถึงแม้จะดูแคลนในฐานะของเหยาจี แต่สถานการณ์การรบของซีเป่ยในเวลานั้นก็สุ่มเสี่ยงเป็นอย่างยิ่ง ฮูหยินมู่หยางโหวกลัวว่าบุตรชายจะเป็นอันใดไป จึงมิได้ให้คนจัดการกับเด็กในท้องเหยาจี เพียงให้คนของตระกูลฝ่ายมารดาคอยจับตาดูเหยาจีไว้เท่านั้น
ด้วยความฉลาดของเหยาจีจะเดาไม่ออกได้อย่างไร ไม่ว่ามู่หยางจะกลับมาได้หรือไม่ วันที่นางคลอดบุตรก็คงจะเป็นวันตายของนาง จึงทำได้เพียงใช้เงินที่มีซื้อตัวคนที่คอยจับตาดูนางอยู่ และหาโอกาสหนีออกไป แต่ก็ถูกจับกลับมาได้อีก
คนในตระกูลฝ่ายมารดาของฮูหยินมู่หยางโหวจึงได้ริบเงินที่เหยาจีมีไปทั้งหมด ไม่เหลือไว้ให้นางแม้แต่สตางค์แดงเดียว พอมู่หยางกลับมาเหยาจีก็ใกล้คลอดเต็มที หญิงชราที่รับหน้าที่ดูแลเหยาจีอยู่ก็เกิดใจอ่อน ลอบส่งจดหมายไปบอกมู่หยาง
วันที่มู่หยางมาถึงเป็นวันที่เหยาจีคลอดบุตรพอดี หากมิใช่เพราะมู่หยางมาถึงได้เร็ว แล้วบุกเข้าไปในห้องทำคลอด วันนั้นเหยาจีคงได้ตายเพราะตกเลือดไปแล้ว
หลังจากนั้นด้วยความดื้อรั้นของมู่หยาง เหยาจีและบุตรจึงถูกจัดให้ไปอยู่ในบ้านหลังหนึ่งของจวนมู่หยางโหว จากนั้นมู่หยางก็เข้าพิธีแต่งงานกับคุณหนูตระกูลซุนผู้นั้น
หลังจากเหยาจีพักรักษาตัวอยู่หลายวัน ก็มีวันหนึ่งที่มู่หยางมาเยี่ยมนางกับลูก จึงได้บอกกับเขาว่าต้องการให้จวนหมู่หยางโหวเอาเงินที่ริบนางไปมาคืนให้กับนาง และนางจะพาลูกจากไป
แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไรมู่หยางก็ไม่เห็นด้วย ส่วนตระกูลมารดาของฮูหยินมู่หยางโหวก็ไม่ยอมรับว่าเอาเงินของเหยาจีไป ในตอนนั้นเหยาจีโกรธจนแทบจะเป็นลม เงินที่นางเพียรเก็บออมมาหลายปี กับเงินที่ขายโรงละครชิงเฉิงให้เยี่ยหลี โดยที่เยี่ยหลีก็ไม่เอาเปรียบนาง ยังไม่นับรวมพวกเครื่องประดับและของมีค่าอื่นๆ เพียงแค่ตั๋วเงินอย่างเดียวก็มีกว่าสองแสนตำลึงแล้ว
ส่วนมู่หยาง เพื่อป้องกันไม่ให้เหยาจีเอาเงินแล้วคิดหลบหนีไป จึงเชื่อตามที่ตระกูลฝั่งยายตนพูด เมื่อเป็นเช่นนี้ ในตัวเหยาจีจึงไม่มีเงินเหลือเลยแม้แต่ครึ่งสตางค์ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องซื้อตัวคนที่คอยดูแลเพื่อหลบหนีเลย
แต่ด้วยนิสัยเหยาจีที่เป็นคนแข็งๆ ทุกครั้งที่มู่หยางไปเยี่ยมพวกนางก็มักมีเหตุให้ทะเลาะกันทุกคราไป ส่วนการที่มู่หยางมักออกไปบ้านอีกหลังบ่อยๆ ย่อมทำให้ฮูหยินซื่อจื่อนึกสงสัย ดังนั้นมู่หยางโหวที่ไม่พอใจเรื่องนี้อยู่แล้ว จึงสั่งให้มู่หยางออกไปทำงานราชการข้างนอก จนทำให้ช่วงนั้นเหยาจีกับลูกเกือบถูกปล่อยให้อดตายอยู่ในบ้านหลังนั้น
พอมู่หยางกลับมาจึงอาละวาดเสียยกใหญ่ จากนั้นจึงได้รับตัวเหยาจีกับลูกไปพักอยู่ในเรือนเล็กๆ ที่เป็นชื่อของตน เหยาจีใช้เวลากว่าหนึ่งเดือนในการใช้ไม้อ่อน จนทำให้มู่หยางเริ่มตายใจ จากนั้นนางก็อาศัยช่วงที่มู่หยางเมาหลับ แอบพาลูกกับของจำนวนหนึ่งที่ไม่ค่อยมีราคาค่างวดอันใดหลบหนีไปทางตะวันตก ส่วนเรื่องที่ต่อมามีคนตามมาแย่งลูกนางไปนั้น จะเป็นคนที่มู่หยางหรือมู่หยางโหวส่งมา นางก็มิอาจรู้ได้
เหยาจีมองเยี่ยหลีที่ถึงแม้จะท้องโย้แต่ยังคงมีรัศมีเปล่งประกายแล้วก็ได้แต่ยิ้มขื่น หากชายาติ้งอ๋องมาพบเจอกับเรื่องเช่นนี้ คงไม่มีทางอยู่ในสภาพที่เวทนาเช่นตนแน่นอน
ช่วงที่นางถูกขังอยู่บ้านหลังนั้นจนเกือบหิวตาย ในที่สุดเหยาจีก็ได้เข้าใจว่า เพียงแค่ความอยากในการกุมชะตาชีวิตของตนเองนั้น เป็นเพียงฝันกลางวันลมๆ แล้ง ที่นางสามารถใช้ชีวิตอย่างอิสระก็ด้วยเพราะนางได้ชื่อว่าเป็นนางรำอันดับหนึ่ง และมีมู่หยางกับเฟิ่งซานคอยคุ้มครองอยู่อย่างลับๆ เมื่อไม่มีเรื่องเหล่านี้แล้ว นางก็เป็นเพียงสตรีไร้ประโยชน์ที่แม้แต่จะก้าวเดินก็ยังยากลำบาก
เมื่อได้ฟังเรื่องของเหยาจีจนจบ เยี่ยหลีก็ไม่รู้ว่าควรถอนใจหรือว่าควรโกรธนางดี นางนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเยี่ยหลีก็เอ่ยถามว่า “ต่อไปเจ้าคิดจะทำเช่นไร เท่าที่เจ้าเล่าให้ฟัง เงินทองของเจ้าถูกตระกูลฝั่งมารดาของฮูหยินมู่หยางโหวแย่งไปหมดแล้ว เรื่องนี้ข้าสามารถให้คนไปช่วยเจ้าเอากลับมาได้ แต่ต่อไปเจ้าคิดจะทำเช่นไร”
เหยาจีก้มหน้ามองบุตรในอ้อมแขน ก่อนเงยหน้าขึ้นเอ่ยว่า “เหยาจีขอร้องพระชายา ให้ช่วยหาตระกูลดีๆ สักตระกูลให้รับเขาไปเลี้ยงด้วยเพคะ ไม่ต้องร่ำรวย ขอเพียงเป็นบ้านที่บิดามารดาและคนในบ้านสมัครสมานสามัคคีกันก็พอเพคะ”
เยี่ยหลีขมวดคิ้ว เอ่ยอย่างไม่เข้าใจว่า “เจ้ากำลังทำอันใด หากเจ้าไม่ต้องการเด็กคนนี้ จะลำบากพาเขามาแต่แรกไปไย หากให้เขาอยู่ที่จวนมู่หยางโหว มู่หยางคงไม่ใจร้ายกับเขาด้วยเพราะเห็นแก่ความผูกพันธ์ที่มีระหว่างพวกเจ้า”
เหยาจียิ้มขื่น มองหน้าเยี่ยหลีแล้วเอ่ยว่า “ข้าเองก็เคยได้ยินเรื่องตระกูลมารดาของพระชายามาก่อน ด้วยฐานะเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่และเป็นบุตรีสายหลักอย่างพระชายา ยังถูกแม่เลี้ยงกลั่นแกล้ง นับประสาอันใดกับลูกชายของข้า คุณหนูซุนผู้นั้นอยากฆ่าข้าใจจะขาด มู่หยางจะดูแลเขาได้สักเท่าไรเชียว อีกอย่าง…การมีมารดาเป็นนางรำ ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ชื่อเสียงที่ดีนัก เหยาจีของเพียงเขาได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขก็พอใจแล้ว”
เยี่ยหลีลำบากใจไม่น้อย ก้มหน้าลงคิดก่อนเอ่ยว่า “ช่วงนี้ข้าทำอันใดก็ไม่ค่อยสะดวกนัก เอาว่าตอนนี้เจ้าพักอยู่ที่เมืองหรู่หยางไปก่อน ค่อยๆ ไตร่ตรองให้ดีว่าต่อไปจะทำเช่นไรแล้วค่อยมาคุยกัน หากเจ้ายืนยันที่จะทำเช่นนี้ ไว้ข้าจะให้คนหาตระกูลดีๆ ให้เขาสักตระกูลก็แล้วกัน”
เหยาจียินดีจนน้ำตาคลอ “เสิ่นเหยาขอบพระคุณพระชายา” ถึงแม้นางจะดูเป็นคนใจเด็ด แต่เมื่อต้องแยกจากบุตรที่อุ้มท้องมาสิบเดือนแล้ว อย่างไรก็รู้สึกตัดใจไม่ได้ เยี่ยหลีให้เวลานางใคร่ครวญเพิ่ม ถึงแม้ในใจนางจะตัดสินใจไปแล้ว แต่หากมีเวลาอยู่กับลูกอีกสักช่วงหนึ่งก็ยังดีกว่า
ฉินเฟิงพาเหยาจีออกไปจัดการเรื่องที่อยู่ ในขณะที่เยี่ยหลีกำลังก้มหน้าตรึกตรองเรื่องของเหยาจีอยู่นั้น ม่อซิวเหยาก็ค่อยๆ เดินเข้ามา เมื่อเห็นคิ้วเรียวของเยี่ยหลีที่ขมวดเข้าหากันมุ่น ม่อซิวเหยาก็รีบนั่งลงสังเกตุข้างกายนาง
“เป็นอันใดถึงอารมณ์ไม่ดีหรือ มีตรงใดไม่สบายหรือไม่”
เยี่ยหลีส่ายหน้า อิงแอบลงกับอกของม่อซิวเหยาแล้วเล่าเรื่องของเหยาจีให้เขาฟัง สุดท้ายจึงเอ่ยพร้อมถอนใจว่า “เรื่องนี้มู่หยางจัดการไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย”
ไม่เพียงกับเหยาจี กับคุณหนูซุนที่เพิ่งแต่งงานเข้ามาใหม่นั่นก็เช่นกัน หากว่าคนที่ตามมาฆ่าเหยาจีเป็นคนที่คุณหนูซุนส่งมา เยี่ยหลีก็ยังไม่รู้สึกตกใจสักเท่าไร
เมื่อได้ฟังเยี่ยหลีเอ่ยเรื่องผู้อื่นด้วยความเป็นกังวลเช่นนี้ ม่อซิวเหยาก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันที เขาให้นางนั่งพิงอยู่กับอก มือลูบท้องกลมของนางเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ ให้คนอื่นไปจัดการแทนก็ได้ หากอาหลีมีเวลามานั่งคิดเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ สู้เอาเวลาไปคิดเรื่องอื่นเสียยังดีกว่า”
เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นอมยิ้มมองเขา “คิดเรื่องใดหรือ ชื่อของตัวน้อยท่านคิดแล้วหรือยัง”
ม่อซิวเหยาขมวดคิ้ว เอ่ยเรียบๆ ว่า “ก็แค่ตั้งชื่อ ต้องวุ่นวายเพียงนั้นเชียวหรือ วันๆ อาหลีเอาแต่เรียกตัวน้อยๆ เช่นนั้นก็เรียกม่อตัวน้อยก็แล้วกัน”
มุมปากเยี่ยหลีถึงกับกระตุก มองสีหน้าดุดันของบุรุษตรงหน้าแล้วก็เอ่ยกลั้วหัวเราะออกมาว่า “ม่อตัวน้อย? ท่านแน่ใจหรือว่าตั้งชื่อนี้แล้วต่อไปเจ้าตัวน้อยจะไม่มาโทษพวกเราทีหลัง?”
แค่เพียงนึกภาพว่าเด็กหนุ่มหรือชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาและติดจะดุดันคล้ายม่อซิวเหยาแต่ใช้ชื่ออย่างม่อตัวน้อยแล้ว ก็ให้ดูน่าขันจนอดหัวเราะออกมาไม่ได้
ม่อซิวเหยาเลิกคิ้ว “เขากล้าหรือ”
เยี่ยหลีพยักหน้าอย่างจริงจัง “เชื่อข้าสิ เขากล้าแน่”
หากมีบุรุษที่ใช้ชื่อเช่นนั้น ก็คงอดไม่ได้ คิดอยากล่วงเกินผู้อาวุโสขึ้นมาบ้างล่ะ
ม่อซิวเหยาส่งเสียงหึเบาๆ “เช่นนั้นก็เรียกว่าม่อตัวเล็ก”
เยี่ยหลีถึงกับกรอกตาบน ตัดสินใจไม่คุยเรื่องนี้กับเขาเป็นการชั่วคราว หากเขาเกิดมีน้ำโหขึ้นมาแล้วจะตั้งชื่อให้เจ้าตัวน้อยว่าม่อตัวน้อยหรือว่าม่อตัวเล็กขึ้นมาจริงๆ นางคงเถียงสู้เขาไม่ไหว ถึงอย่างไรชื่อจริงของเด็ก ค่อยตั้งตอนก่อนครบหนึ่งสัปดาห์ก็ยังไม่สาย หรือไม่ให้ท่านตาหรือท่านลุงช่วยตั้งให้ก็ยังได้
คิดแล้วนางจึงเปลี่ยนหัวข้อไปเสียเฉยๆ “เรื่องสมบัติลับของราชวงศ์ก่อนเป็นอย่างไรบ้างแล้วเพคะ เหตุใดถึงกลับมาเร็วเช่นนี้”
ม่อซิวเหยาเอ่ยขึ้นเรื่อยๆ ว่า “เจ้าถานจี้จือสร้างเรื่องไว้น่ะสิ มันคิดว่าสร้างเรื่องให้ข้าแล้วจะหนีพ้นหรือ”
เยี่ยหลีถามด้วยความสงสัยว่า “ท่านทำอันใดไปหรือ”
ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ ว่า “แน่นอนว่าต้องบอกฐานะที่แท้จริงของเขาให้แก่ฝ่าบาทของพวกเราน่ะสิ ถือเสียว่าเป็นการจงรักภักดีต่อต้าฉู่เป็นครั้งสุดท้าย”
เยี่ยหลีเลิกคิ้ว “ตอนที่ถานจี้จือไปจากซีเป่ย คงเตรียมตัวที่จะถูกเปิดเผยฐานะที่แท้จริงไว้แล้วกระมัง”
ม่อซิวเหยายิ้มเยาะ “หากมีเรื่องแท่นประทับหยกสืบทอดแคว้นด้วยเล่า”
“จะมีคนเชื่อหรือว่าแท่นประทับหยกสืบทอดแคว้นอยู่ที่เขา?” เยี่ยหลีถาม
“อย่างไรก็ต้องมีคนเชื่อ ไว้ข้าจะส่งองครักษ์ลับไปตามฆ่าถานจี้จือ ไม่ต้องให้เขาถึงตาย ให้เขาเอาแท่นประทับหยกสืบทอดแคว้นมาก็พอแล้ว” ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ
เยี่ยหลีระบายยิ้มอย่างเข้าใจในทันที แม้แต่ตำหนักติ้งอ๋องยังตามฆ่าถานจี้จือเพื่อแท่นประทับหยกสืบทอดแคว้น เช่นนั้นคนที่อยากได้แท่นประทับหยกสืบทอดแคว้นคงต้องคิดหนักกันหน่อย ส่วนจะเชื่อผู้ใดนั้น คงขึ้นอยู่กับปัญญาของคนผู้นั้นแล้ว
ม่อซิวเหยากอดเยี่ยหลีไว้ ถูไถไปกับไหล่ของนางอย่างเกียจคร้าน “ยามนี้อาหลีไม่ต้องสนใจเรื่องเล็กน้อยพวกนี้หรอก ขอเพียงคลอดม่อตัวเล็กออกมาได้อย่างปลอดภัยก็พอแล้ว” รีบแยกเจ้าตัวแสบที่น่ารังเกียจออกมาได้เมื่อไร อาหลีก็จะเป็นของเขาแต่เพียงคนเดียว
“อย่าเรียกว่าม่อตัวเล็กสิ ไม่เพราะเลย” เยี่ยหลีต่อสู้เพื่อสิทธิของลูกน้อยอย่างจริงจัง
ม่อซิวเหยาเปลี่ยนคำเรียกอย่างไม่ใส่ใจว่า “ม่อตัวน้อย”
เยี่ยหลีถึงกับก่ายหน้าผาก มองใบหน้าหล่อเหลาที่ติดจะดื้อดึงของเขา แล้วถอนใจเอ่ยออกมาว่า “ชื่อเล่น”
ม่อซิวเหยาส่งเสียงหึเบาๆ มิได้พูดอันใดอีก ไว้ชื่อเล่นดังกว่าชื่อจริงก่อนเถิด ชื่อจริงกับชื่อเล่นจะต่างอันใดกัน
แล้วนายน้อยในอนาคตแห่งตำหนักติ้งอ๋องที่มีชื่อเสียงสะท้านไปทั่วใต้หล้า ก็ได้ชื่อเล่นที่เขาไม่อาจสลัดทิ้งไปได้ตลอดชีวิตมาด้วยประการฉะนี้