ข่าวการถือกำเนิดของซื่อจื่อน้อยแห่งตำหนักติ้งอ๋องและความต้องการประกาศให้รู้โดยทั่วกัน แพร่กระจายไปทั่วใต้หล้าภายในระยะเวลาอันสั้น ยิ่งไปกว่านั้น ติ้งอ๋องยังได้ตัดสินใจที่จะจัดงานเลี้ยงครบหนึ่งเดือนให้กับซื่อจื่อน้อย โดยเชื้อเชิญผู้มีอิทธิพลและชนชั้นสูงของแคว้นต่างๆ ให้มากันอย่างทั่วถืง แล้วยิ่งก่อนหน้านี้ที่มีข่าวแพร่ออกไปว่าแท่นประทับหยกสืบทอดแคว้นและทรัพย์สมบัติของราชงศ์ก่อนอยู่ในเขตซีเป่ยด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้คนจำนวนนับไม่ถ้วนแห่แหนกันมายังเขตซีเป่ยของต้าฉู่
จวนสวี ในเมืองหลวงแห่งต้าฉู่
สวีหงเยี่ยนอ่านจดหมายในมือด้วยสีหน้าตกใจระคนยินดี แม้แต่มือที่ถือจดหมายอยู่ก็สั่นเทาโดยไม่รู้ตัว
สวีชิงป๋อที่นั่งอยู่ เมื่อเห็นท่าทีตื่นเต้นอย่างควบคุมได้ยากของสวีหงเยี่ยนแล้ว ก็เอ่ยถามด้วยความใคร่รู้อย่างอดไม่อยู่ว่า “ท่านอารอง พี่รองมีเรื่องอันใดหรือ”
สวีหงเยี่ยนส่งจดหมายให้เขา “หลีเอ๋อร์คลอดแล้วได้บุตรชาย…”
หลังจากสั่งสมประสบการณ์จากโลกภายนอกมานานพอควร สวีชิงป๋อก็ดูจะสุขุมกว่าแต่ก่อนขึ้นมาก แต่เมื่อได้ยินข่าวนี้ ริมฝีปากเขาก็อดยิ้มขึ้นอย่างยินดีไม่ได้ เมื่อรับจดหมายจากสวีหงเยี่ยนมาอ่านโดยละเอียดแล้ว ก็ยิ้มเอ่ยว่า “ดีเหลือเกิน ท่านปู่รู้ข่าวนี้แล้วจะต้องดีใจมากอย่างแน่นอน”
สวีหงเยี่ยนพยักหน้าติดๆ กัน ปีที่แล้วหลังจากที่เยี่ยหลีหายสาบสูญไป สุขภาพของผู้เป็นบิดาก็แย่ลงอย่างมาก เมื่อได้ข่าวว่าเยี่ยหลีกลับมาอย่างปลอดภัย ก็ค่อยดีขึ้นมาหน่อย ยามนี้เยี่ยหลีคลอดบุตรชายออกมาได้อย่างปลอดภัย หากบิดาได้รู้ข่าวนี้จะต้องดีใจเป็นอย่างยิ่งแน่นอนที่ตนได้เป็นท่านตาทวดแล้ว
พ่อบ้านที่ยืนอยู่หน้าประตู เมื่อเห็นนายท่านกับคุณชายสี่ดูเสียอาการอย่างน้อยครั้งนักจะได้เห็น จึงเอ่ยเตือนขึ้นว่า “นายท่าน คุณชายสี่ คนที่มาส่งจดหมายยังรออยู่ที่หน้าประตูนะขอรับ”
ถึงแม้เขาเองก็ดีใจมากที่คุณหนูหลีเอ๋อร์ให้กำเนิดบุตร แต่อย่างไรธรรมเนียมที่ควรปฏิบัติก็ยังต้องปฏิบัติอยู่ มิอาจให้คนที่มาส่งจดหมายรออยู่เฉยๆ เช่นนั้นได้
สวีหงเยี่ยนถึงได้รู้สึกตัว พยักหน้าเอ่ยว่า “ตกรางวัลให้หนัก…ไม่สิ รีบไปเชิญคนที่มาส่งจดหมายเข้ามา ข้ายังมีเรื่องอยากสอบถามเขาอีก”
หัวหน้าพ่อบ้านรับคำ แล้วจึงรีบออกไปเชิญเขาเข้ามา ไม่นาน บุรุษหนุ่มแต่งตัวธรรมดาๆ ก็เดินเข้ามา ประสานมือคารวะสวีหงเยี่ยน แล้วเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “ใต้เท้าสวี คุณชายสี่ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะขอรับ”
สวีหงเยี่ยนอึ้งไป มองบุรุษหนุ่มตรงหน้าที่เงยหน้าขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าอันหล่อเหลาภายใต้ผมเพ้าที่รุงรัง แล้วก็เอ่ยด้วยความตกใจขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว “คุณชายเฟิ่งซาน?”
บุรุษหนุ่มผู้นั้นก็คือเฟิ่งจือเหยาที่ควรจะอยู่ที่ซีเป่ย ไม่รอให้สวีหงเยี่ยนเชื้อเชิญให้นั่ง เฟิ่งจือเหยาเดินไปทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งเองทันที เขาถอนใจยาว ก่อนเอ่ยตัดพ้อว่า “เพื่อจะรีบเดินทางกลับถึงเมืองหลวงให้ทันก่อนที่ข่าวจะส่งกลับมา ข้าควบม้าจนม้าดีๆ ตายไปถึงสามตัว เหนื่อยแทบตาย…”
วันรุ่งขึ้นหลังจากที่ซื่อจื่อน้อยคลอด เขาก็ออกเดินทางมาทันที ใช้เวลาเพียงสามวันก็เดินทางถึงเมืองหลวง เชื่อว่ายามนี้ข่าวการถือกำเนิดของซื่อจื่อน้อยคงยังอยู่เพียงครึ่งทางอย่างแน่นอน
สวีหงเยี่ยนอึ้งไป มองเฟิ่งจือเหยาอย่างตั้งสติไม่อยู่
เป็นสวีชิงป๋อที่เอ่ยถามขึ้นว่า “คุณชายเฟิ่งซาน หรือว่านอกจากข่าวพี่หลีเอ๋อร์กับหลานตัวน้อยแล้ว ยังมีเรื่องอื่นอีกหรือ”
เฟิ่งจือเหยากระตุกมุมปาก ฝืนยิ้มออกมาแต่กลับดูเหมือนการยิ้มขื่นๆ เสียมากกว่า “หากไม่มีเรื่อง ยามนี้มีหรือท่านอ๋องจะยอมปล่อยข้ากลับมาทำตัวว่างๆ อยู่ที่เมืองหลวง” ถึงแม้เอาเข้าใจกลับมาเมืองหลวงก็ไม่แน่ว่าจะสบายกว่าที่ซีเป่ยก็ตาม
สวีหงเยี่ยนตั้งสติกลับมาได้ เมื่อได้ยินเฟิ่งจือเหยาพูดเช่นนั้น ก็รีบเอ่ยถามว่า “หรือว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น”
เฟิ่งจือเหยาไม่สนใจจะเรียกหาน้ำ ยกกาน้ำชาที่วางอยู่ข้างๆ ขึ้นเทลงปาก ก่อนหันไปพูดกับสวีหงเยี่ยนว่า “ท่านอ๋องกับพระชายาอยากให้ใต้เท้าสวีกับคุณชายสี่ติดตามข้าน้อยออกเดินทางจากเมืองหลวงไปซีเป่ย”
สวีหงเยี่ยนหน้านิ่งไป เขากับสวีชิงป๋อเป็นคนแซ่สวีที่เหลืออยู่ในเมืองหลวงยามนี้ ว่ากันตามตรงแล้วก็คือคนของราชสำนัก เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาออกจาเมืองหลวงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากฮ่องเต้ เมื่อนั้นตระกูลสวีกับเชื้อพระวงค์ก็คงถือเป็นการหักหน้ากันถึงที่สุดแล้ว
เพียงเห็นสีหน้าของสวีหงเยี่ยน เฟิ่งจือเหยาก็รู้ว่าสวีหงเยี่ยนมีเรื่องที่ลำบากใจ จึงเอ่ยเสียงขรึมว่า “ไม่ปิดบังใต้เท้าสวี การแตกหักระหว่างตำหนักติ้งอ๋องกับราชสำนักนั้น เป็นเรื่องที่ไม่สามารถย้อนกลับไปได้หากใต้เท้าสวีกับคุณชายสี่ยังอยู่ที่เมืองหลวง เกรงว่าจะไม่เป็นผลดีต่อทั้งสอง”
สวีหงเยี่ยนขมวดคิ้วเอ่ยว่า “พวกเราไปแล้วก็ไม่เป็นไรหรอก ในเมืองหลวงก็มีเพียงคนในตระกูลพวกเราไม่กี่คนเท่านั้น เพียงแต่ตระกูลสวีทั้งตระกูลอยู่ที่อวิ๋นโจวมากันยาวนานกว่าร้อยปี หากฮ่องเต้ต้องการหาเรื่อง อยู่ที่ไหนจะหาไม่ได้บ้าง”
เฟิ่งจือเหยาหยิบจดหมายอีกฉบับหนึ่งส่งให้ “นี่เป็นจดหมายที่ท่านอ๋องกับพระชายาเขียนขึ้นด้วยตนเอง จดหมายเนื้อความเดียวกันนี้ ข้าได้ไปส่งให้ถึงมือท่านชิงอวิ๋นด้วยตนเองที่อวิ๋นโจวมาแล้ว เพียงแต่ข้าน้อยไม่มีเวลารั้งอยู่ที่อวิ๋นโจวนาน ท่านชิงอวิ๋นกับท่านหงอวี่ยามนี้เชื่อว่าคงตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว”
สวีหงอวี่รับจดหมายมาเปิดอ่านด้วยท่าทีลังเล แล้วขมวดคิ้วอ่านเนื้อความในจดหมาย ไม่นานสีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปทันที ใบหน้าที่นิ่งขรึมอยู่เป็นนิจ เปลี่ยนเป็นโกรธขึ้ง พักใหญ่ถึงได้เอ่ยด้วยน้ำเสียงโกรธจัดว่า “น่าขันสิ้นดี! ถึงขั้นมีเรื่องนี้เชียวหรือ…ฝ่าบาทถึงขั้น…! ช่างน่า…”
เขาตบจดหมายลงกับโต๊ะ แล้วสวีหงเยี่ยนก็เงยหน้าขึ้นจ้องเฟิ่งจือเหยา “คุณชายเฟิ่งซาน ที่เขียนในจดหมายเป็นเรื่องจริงหรือ”
เฟิ่งจือเหยายิ้มขื่น “ใต้เท้าสวีเห็นว่าเรื่องเช่นนี้จะกุขึ้นมาเล่นๆ ได้หรือ”
สวีหงเยี่ยนถึงกับพูดไม่ออก เรื่องราวในจดหมายไม่ว่าผู้ใดมาได้ยินก็ต้องตกใจ มีเรื่องใดบ้างที่สามารถกุขึ้นมาเล่นๆ ได้ เพียงแต่เรื่องราวเช่นนี้ช่างเป็นเรื่องที่ยากจะเชื่อได้
สวีชิงป๋อหันมองท่านอารองที่ดูจะโกรธเกรี้ยวไม่น้อย เขาค่อยๆ เดินไปข้างโต๊ะหนังสือหยิบจดหมายบนโต๊ะขึ้น ตอนไม่อ่านก็ยังไม่เท่าไร แต่เมื่อได้อ่านแล้ว สวีชิงป๋อที่คิดว่าตนทำใจไว้ระดับหนึ่งแล้ว ก็ยังต้องตกใจไม่น้อย คนของเชื้อพระวงศ์…บ้าระห่ำถึงเพียงนี้จริงหรือ เช่นเดียวกัน สวีชิงป๋อที่อายุยังน้อยเอง ก็ทั้งผิดหวังและโกรธแค้นถึงขีดสุดกับท่านที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรและราชสำนักนี้
สวีชิงป๋อหลุบตาลง พับจดหมายก่อนวางลงเบาๆ บนโต๊ะ แล้วเอ่ยยิ้มๆ เสียงเบาว่า “ท่านอารอง…เพื่อ…เช่นนี้…ควรค่าหรือ”
บิดาของเขาได้ชื่อว่าเป็นยอดบุรุษแห่งยุค แต่กลับมิอาจสร้างชื่อ ทำได้เพียงฝังตัวอยู่ในสำนักศึกษาหลีซานคอยสั่งสอนบัณฑิต ท่านอารองของเขาก็เช่นกัน ท่านเป็นบุคคลมากความสามารถที่ลงมือทำได้จริง แต่กลับได้เป็นเพียงผู้ตรวจการมาเป็นสิบปีที่เสมือนเป็นมาเพียงหนึ่งวัน ได้แต่คอยมองคนในราชสำนักแก่งแย่งชิงดีกันเท่านั้น
พี่น้องทั้งห้าคนของเขา ก็จำต้องกดเก็บความสามารถและตัวตนของตนเองไว้ ที่ต้องกดเก็บไว้เช่นนี้จะต้องอีกนานเท่าใดกัน พวกเขารุ่นนี้จะเป็นรุ่นสุดท้ายของตระกูลสวีแล้วหรือ ไม่แปลกใจที่พี่ใหญ่ไม่ยอมเป็นขุนนางในราชสำนัก เกรงว่าเขาคงมองออกแต่แรกแล้วว่า วันเวลาเช่นนี้จะดำเนินต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
สวีหงเยี่ยนกัดฟันไม่พูดอันใด แต่มือที่กำแน่นก็ทำให้รับรู้ได้ถึงอารมณ์ภายในจิตใจที่ยากจะสงบ
ตำหนักติ้งอ๋องกับเชื้อพระวงศ์มีสายเลือดเดียวกัน ติ้งอ๋องแต่ละรุ่นได้สละชีวิตต่อสู้จนตัวตายเพื่อต้าฉู่ แต่กลับยังคงต้องพบเจอกับจุดจบเช่นนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตระกูลสวีของพวกเขา หากอยู่ในต้าฉู่ ตระกูลสวีนอกจากจะต้องค่อยๆ สาบสูญไปอย่างเงียบๆ แล้ว ก็ไม่มีทางอื่นให้เดินอีก
เฟิ่งจือเหยานั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้สังเกตท่าทีของทั้งสองคน ผู้ที่ปวดใจกับเรื่องนี้มิได้มีเพียงตระกูลสวี ถึงแม้จะเป็นคนอย่างเฟิ่งจือเหยา ก็ยังอดรู้สึกปวดใจและโกรธเกรี้ยวไม่ได้
สวีหงเยี่ยนเก็บจดหมาย เงยหน้าขึ้นมองเฟิ่งจือเหยา “เชื่อว่าคุณชายเฟิ่งซานยังมีธุระอื่นในเมืองหลวงที่ต้องทำอีก ขอเวลาให้ข้าคิดสักสองวันแล้วจะให้คำตอบท่าน”
เฟิ่งจือเหยามีธุระที่ต้องจัดการอยู่ไม่น้อยจริงๆ จึงลุกขึ้นพยักหน้า “เรื่องนี้แน่นอนอยู่แล้ว ใต้เท้าสวีเมื่อตัดสินใจได้แล้ว ให้คนมาส่งจดหมายให้ข้าน้อยก็พอ ข้าน้อยยังต้องรั้งอยู่ในเมืองหลวงอีกสักระยะหนึ่ง เรื่องนี้ไม่รีบร้อน ข้าน้อยขอตัวก่อน”
เมื่อเห็นเฟิ่งจือเหยากำลังจะเดินออกไป สวีหงเยี่ยนก็ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “คุณชายเฟิ่งซาน”
เฟิ่งจือเหยาหันกลับมา “ใต้เท้าสวียังมีอันใดจะสั่งการหรือ”
สวีหงเยี่ยนถอนใจทีหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “หากคุณชายเฟิ่งซานสะดวก ก็กลับไปเยี่ยมตระกูลเฟิ่งหน่อยเถิด ปีกว่ามานี้ นายท่านอาวุโสเฟิ่งมาที่จวนเพื่อสอบถามเกี่ยวกับท่านอยู่หลายครา พ่อลูกกันมีที่ไหนจะโกรธเคืองกันข้ามคืน… ท่านน่าจะรู้ว่า บุตรคิดอยากเลี้ยงดู แต่บุพการีกลับรอไม่ไหว…”
เห็นได้ชัดว่าเฟิ่งจือเหยาคาดไม่ถึงว่าสวีหงเยี่ยนจะพูดเรื่องนี้กับตน จึงอึ้งไป เมื่อได้ยินประโยคที่ว่า บุตรคิดเลี้ยงดู แต่บุพการีกลับรอไม่ไหว ก็ถึงกับหน้าเปลี่ยนสี รอยยิ้มบนใบหน้าก็ดูจืดเจื่อน เขาพยักหน้า “ขอบคุณใต้เท้าสวีมากที่เอ่ยเตือน”
ตัวเขาเป็นบุตรสายรองของตระกูลที่บิดาไม่เห็นความสำคัญมาตั้งแต่เล็กๆ เมื่ออายุยังน้อยด้วยความดื้อรั้นและประพฤติตัวไม่เหมาะสม ก็เกือบถูกขับออกจากตระกูล ปีที่แล้วเมื่อติดตามกองทัพมาออกรบ ก็ถือเป็นการตัดขาดกับตระกูลอย่างเด็ดขาด ตระกูลเฟิ่งได้ประกาศให้เป็นที่รู้กันโดยทั่วแล้วว่า ตระกูลเฟิ่งกับเฟิ่งจือเหยาไม่มีความสัมพันธ์อันใดต่อกันอีก ยามนี้ เขาจะยังมีที่ใดให้ไปเยี่ยมกัน