เฟิ่งจือเหยาไม่มีอารมณ์มาสนใจความรู้สึกของม่อจิ่งฉี เขาเก็บดอกปี้ลั่วไว้อย่างดีด้วยความพอใจ ก่อนหันไปพยักเพยิดคางให้เหลิ่งเฮ่าอวี่ “เรื่องเขาจะปล่อยให้พวกเจ้าจัดการก็แล้วกัน ไม่ต้องรีบส่งกลับไปหรอก เผื่อพวกเรายังไม่ไปแล้วเขาจะรีบเอาคนมาขวาง”
เหลิ่งเฮ่าอวี่เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ข้าจัดการเจ้าไม่วางใจหรือ ไปจัดการเรื่องของเจ้าเถิด”
เฟิ่งจือเหยาพยักหน้า ปรายตามองม่อจิ่งฉีแล้วเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “เห็นแก่ที่ฝ่าบาททรงให้ความร่วมมือที่ดี ข้าจะแถมข่าวให้ท่านโดยไม่เสียเงินดีหรือไม่”
ม่อจิ่งฉีมองเขาด้วยสายตาเยาะหยัน เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อว่าเขาจะใจดีให้ข่าวอันใดเขาจริงๆ
เฟิ่งจือเหยาก็ไม่สนใจ ยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “เป็นข่าวของขุนนางรักที่ท่านไว้ใจอย่างใต้เท้าถานเชียวนะ ได้ยินว่า ใต้เท้าถานแซ่เดิมว่าหลิน มีชื่อพยางค์เดียวว่าย่วน มีฐานะคือเป็นทายาทของเชื้อพระวงศ์ราชวงศ์ก่อน ฝ่าบาททรงลองเดาดูสิว่า ตัวย่วนที่มีความหมายว่าปราถนานั้น เขาปรารถนาในสิ่งใด แต่อย่างไรคงมิได้ปราถนาให้ฝ่าบาทและแคว้นเจริญรุ่งเรืองและมีชีวิตที่ยืนยาวอย่างไม่มีสองหรอกกระมัง”
พูดจบ เฟิ่งจือเหยาหัวเราะร่าแล้วหมุนตัวเดินออกไปทันที ทิ้งให้ม่อจิ่งฉีนั่งหน้าเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวซีดอยู่เพียงลำพัง
เมื่อเฟิ่งจือเหยาได้ดอกปี้ลั่วและราชโองการของปฐมฮ่องเต้ที่ซูจุ้ยเตี๋ยบอกที่ซ่อนไว้ก่อนนางตายแล้ว เขาก็หายตัวไปจากเมืองหลวงโดยทันที นอกจากคนใกล้ชิดแล้ว คนนอกไม่รู้แม้แต่เรื่องที่ว่าเขากลับมาเมืองหลวง
เหลิ่งเฮ่าอยู่ก็ไม่เกรงใจ จับม่อจิ่งฉีขังไว้ในห้องมืดๆ เล็กๆ ถึงสามวันเต็มๆ จนเช้าวันที่สี่ เมื่อได้ข่าวว่าหลีอ๋องเดินทางใกล้ถึงเมืองหลวงแล้ว ถึงได้ให้คนน้ำตัวม่อจิ่งฉีที่ยังหลับสนิทอยู่ห่อผ้าไว้ อาศัยช่วงเช้าที่ฟ้ายังมืดสลัว นำตัวเขาไปโยนไว้ที่หน้าประตูเมือง
ตั้งแต่ต้นจนจบ ม่อจิ่งฉีไม่รู้แม้กระทั่งว่าตนถูกจับไปไว้ที่ใด แต่ไม่ว่าจะเป็นเฟิ่งจือเหยา เหลิ่งเฮ่าอวี่ หรือมู่ฉิงชังก็ล้วนมิใช่คนที่ม่อจิ่งฉีจะจดจำได้ ดังนั้นครานี้ถือได้ว่าเขาเป็นคนที่เสียเปรียบไปเต็มๆ
ท่ามกลางสายตาที่แปลกประหลาดของผู้คน ม่อจิ่งฉีกลับถึงวังอย่างหัวฟัดหัวเหวี่ยง ไม่สนใจว่าสนมหรือขุนนางทั้งหลายจะมารอรับเสด็จ ออกราชโองการติดต่อกันหลายฉบับด้วยความโกรธเกรี้ยว หนึ่งคือ สั่งให้ตามล่าหาผู้ร้ายที่ลักพาตัวเขาไป โดยไม่สนว่าจะเป็นหรือตาย สองคือ ให้สืบค้นประวัติขุนนางทุกคนที่มีความใกล้ชิดกับถานจี้จือ รวมถึงความเคลื่อนไหวของถานจี้จือตลอดหลายปีมานี้ และให้จับถานจี้จือกลับมาตัดสินโทษให้ได้ สามคือ ให้ตรวจค้นจวนผู้ตรวจการของตระกูลสวีในเมืองหลวงและตระกูลสวีในสำนักศึกษาหลีซาน รวมถึงให้จับตัวคนในตระกูลของผู้ตรวจการสวีมาเข้าคุกหลวงทันที
ราชโองการสองฉบับแรกยังพอฟังเข้าเค้า แต่ราชโองการฉบับที่สามกลับเสมือนเป็นการไปเขี่ยรังแตนให้แตกตื่น
เสนาบดีหลิ่วนำราชโองการออกมาพร้อมด้วยเจ้าพนักงานและองครักษ์เตรียมจะไปค้นจวน แต่เพียงเดินพ้นประตูวังออกมา ก็เห็นว่าที่หน้าประตูวังมีคนมาออกันอยู่เต็มไปหมด บัณฑิตจำนวนกว่าร้อยคนคุกเข่าอยู่กันพื้น ประสานเสียงตะโกนร้องทุกข์แทนตระกูลสวีกันไม่ได้หยุด
เสนาบดีหลิ่วปรายสายตามองไป ก็เห็นว่าในบรรดาคนเหล่านั้น มีคนจำนวนไม่น้อยที่เป็นขุนนางอยู่ในราชสำนักแล้ว เขารู้อยู่ก่อนแล้วว่าตระกูลสวีเป็นผู้นำของบัณฑิตทั้งหลาย แต่เสนาบดีหลิ่วก็คาดไม่ถึงว่าพวกเขาจะได้ใจบัณฑิตไปมากมายเช่นนี้
ฮ่องเต้มีราชโองการออกมายังไม่ทันถึงครึ่งชั่วยาม แต่หน้าประตูวังกลับมีคนจำนวนมากเช่นนี้มาคุกเข่ารออยู่ หากผ่านไปอีกสองสามชั่วยาม ก็ไม่รู้ว่าจะกลายเป็นเช่นไร เขาจึงอดทั้งริษยาและเจ็บใจไม่ได้ เขากางราชโองการในมือออก แล้วเสนาบดีหลิ่วก็อ่านราชโองการขึ้นที่หน้าประตูวัง แต่กระนั้นอาญาสิทธิ์ของฮ่องเต้ก็ยังมิอาจฝังกลบบัณฑิตเหล่านี้ได้ ต่างพากันเอ่ยคัดค้านเป็นการใหญ่
อันที่จริงมิใช่ว่าคนเหล่านี้ที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา แต่เพราะราชโองการฉบับนี้ของฮ่องเต้มิอาจเห็นคล้อยตามด้วยได้จริงๆ เพราะทั้งมิได้ทรงบอกโดยละเอียดว่าตระกูลสวีทำผิดอันใด และมิได้บอกว่าผู้ใดที่เป็นผู้กระทำผิด
เดิมทีราชโองการของฮ่องเต้สามารถทำให้ผู้คนคล้อยตามได้หรือไม่นั้น มิได้มีผลอันใดมากอยู่แล้ว ด้วยเพราะตามปกติมีคนจำนวนไม่มากนักที่กล้าสงสัยในราชโองการของฮ่องเต้ แต่ที่ผิดพลาดก็ตรงที่อิทธิพลของตระกูลสวีกว้างใหญ่เกินไป ตระกูลสวีมียอดบัณฑิตขงจื้อมาแล้วทุกรุ่น ถึงแม้จะเรียกไม่ได้ว่าเป็นปรมาจารย์ แต่ก็เรียกได้ว่าเป็นอาจารย์ของบัณฑิตสายบุ๋นกว่าครึ่งตั้งแต่ต้าฉู่ก่อตั้งแคว้นมา และบัณฑิตสายบุ๋นก็เป็นบุคคลที่แปลกประหลาดอย่างยิ่ง ถึงจะดูประหนึ่งอ่อนแอ มือก็ไม่มีแรง บ่าก็แบกไม่ไหว แต่บางครั้งกระดูสันหลังของพวกเขากลับแข็งแกร่งและหนักแน่นจนน่าตกใจ
เสนาบดีหลิ่วเมื่อเห็นว่ามีคนจำนวนมากเช่นนั้นมาคุกเข่าอยู่หน้าประตูวัง ก็รู้ว่าคงเสียเรื่องแน่แล้ว องครักษ์ที่อยู่ด้านหลังเสนาบดีหลิ่วเองก็ไม่รู้จะทำเช่นไร ถึงแม้ด้วยฝีมือของพวกเขาการจัดการกับบัณฑิตที่อ่านแต่หนังสือเหล่านี้ จะเป็นเรื่องง่ายเพียงแค่ดีดนิ้ว แต่คนเหล่านี้กลับมิใช่คนที่พวกเขาสามารถลงมือทำอันใดตามใจได้ หากไม่มีพระราชดำรัสอาญาสิทธิ์จากฮ่องเต้ ผู้ใดเลยจะกล้าลงมือจัดการบัณฑิตจำนวนมากเช่นนี้ เพราะถึงเวลาเกรงว่าต้าฉู่กว่าครึ่งแผ่นดินคงได้วุ่นวายขนานใหญ่เป็นแน่
เมื่อเห็นคนตรงหน้าโขกศีรษะเรียกร้องกันไม่หยุด เสนาบดีหลิ่วก็จนใจ ทำได้เพียงรีบให้คนกลับไปกราบทูลฝ่าบาทที่ในวัง
ม่อจิ่งฉีเมื่อได้ยินองครักษ์เอ่ยรายงาน ก็ทรงกริ้วจนแทบเป็นลมล้มพับไป จึงไม่สนใจบาดแผลบนหัวไหล่ รีบพาหลิ่วกุ้ยเฟยกระหืดกระหอบออกไปที่หน้าประตูวังทันที
ในใต้หล้านี้แบ่งคนออกเป็นสี่ชนชั้น นั่นคือ บัณฑิต ชาวนา ช่างฝีมือและพ่อค้า บัณฑิตมาที่หนึ่ง พูดให้ชัดเจนก็คือในประวัติศาสตร์ของทุกราชวงศ์ในแผ่นดิน ล้วนอาศัยบัณฑิตที่เรียนหนังสือเป็นผู้ปกครอง หากกลุ่มบัณฑิตเกิดปัญหาอันใดขึ้น แคว้นนี้ก็คงห่างจากการล่มสลายไม่ไกลแล้ว
ม่อจิ่งฉีเดินมาถึงปากประตูวัง ใช้เวลาทั้งหมดไม่ถึงสองเค่อ แต่จำนวนคนที่หน้าประตูวังกลับเพิ่มจากจำนวนไม่กี่ร้อยเมื่อครู่ขึ้นเป็นกว่าเท่าตัว และเมื่อดูแล้วยังจะมีคนเข้ามาเพิ่มอีกเรื่อยๆ อีกด้วย
เมื่อเห็นฮ่องเต้ออกมาด้วยพระองค์เอง คนที่คุกเข่าขอร้องอยู่ก็ยิ่งตื่นตัวกันขึ้นไปอีก พากันตะโกนขอให้ฝ่าบาททรงมีเมตตา ขอให้ฝ่าบาททรงใช้พระปรีชาสามารถ ตระกูลสวีถูกใส่ร้าย เป็นต้น เสียงดังจนม่อจิ่งฉีที่เดิมสุขภาพก็อ่อนแอจากการขวัญเสียในช่วงหลายวันนี้ แทบจะเป็นลมล้มไปทันที
“นี่มันเรื่องอันใดกัน!” ม่อจิ่งฉีเอ่ยด้วยความโกรธจัด
เด็กหนุ่มที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าสุดเอ่ยเสียงดังขึ้นว่า “คนสวีซื่อทั้งตระกูลจงรักภักดีต่อต้าฉู่มาตั้งแต่ก่อตั้งแคว้น บรรพบุรุษสวีซื่อทุกรุ่นต่างอบรมสั่งสอนให้การศึกษาบัณฑิตอย่างเต็มความสามารถ เพื่อบ่มเพาะบุคคลมีความสามารถให้กับต้าฉู่ ขอทูลถามฝ่าบาท สวีซื่อทำความผิดอันใดถึงต้องกวาดล้างทั้งตระกูลหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ม่อจิ่งฉีสะอึกไปเล็กน้อย ในใจยิ่งโกรธหนักขึ้นไปอีก “สวีซื่อวางแผนเป็นกบฏ ความผิดนี้สมควรตาย! พวกเจ้าทุกคนเป็นประชาชนของต้าฉู่ แต่กลับกล้าขอร้องให้ขุนนางทรยศเหล่านี้หรือ”
มีอีกคนหนึ่งในกลุ่มคนเงยหน้าขึ้นเอ่ยว่า “สวีซื่อวางแผนทรยศ หลักฐานความผิดอยู่ที่ใดหรือพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทได้โปรดชี้แจงด้วย!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนที่คุกเข่าอยู่หน้าประตูวังต่างตะโกนกันขึ้นว่า “ฝ่าบาทโปรดชี้แจงด้วย” ความหมายนั้นชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง หากฝ่าบาทสามารถเอาหลักฐานความผิดที่ตระกูลสวีวางแผนคิดทรยศมาได้ เช่นนั้นพวกเขาก็ไม่มีอันใดจะพูดอีก
ม่อจิ่งฉีมีหลักฐานความผิดที่ใดกัน แม้แต่ความผิดที่เขามอบให้ตระกูลสวีก็มิใช่ความผิดเรื่องคิดทรยศ แค่เพียงถูกบัณฑิตเหล่านี้มาโวยวาย จนความโกรธเกรี้ยวในใจม่อจิ่งฉีก็ปะทุขึ้นจนไม่ทันได้สนใจสิ่งอื่นอีก เพียงเอาความผิดที่มีโทษสถานหนักที่สุดโยนให้ตระกูลสวีเท่านั้น อีกทั้งหากบอกว่าตระกูลสวีสมคบคิดทำอันใดกับติ้งอ๋อง เดิมทีชื่อเสียงของตำหนักติ้งอ๋องก็มิได้ด้อยไปกว่าตระกูลสวี ถึงเวลานั้นเกรงว่าเรื่องราวคงลุกลามกันไปใหญ่
“บังอาจ! พวกเจ้ารีบถอยกลับไป ข้าจะละเว้นโทษให้พวกเจ้า!” ม่อจิ่งฉีเอ่ย
“สวีซื่อเป็นผู้บริสุทธิ์ ฝ่าบาทโปรดใช้พระปรีชาสามารถด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
คนเหล่านี้เมื่อกล้ามาร้องเรียนถึงหน้าประตูวัง มีหรือจะยอมถอยกลับไปเพียงเพราะคำพูดเพียงสองประโยคของม่อจิ่งฉี
หน้าประตูวังกำลังวุ่นวาย แม้แต่ชาวบ้านทั่วไปจำนวนมากต่างก็ทะยอยกันมาเมื่อได้ยินข่าว จนแทบจะล้อมประตูวังเอาไว้จนน้ำยังไหลไม่สะดวก เมื่อเป็นเช่นนี้จึงยิ่งลงมือได้ไม่สะดวก
“ฝ่าบาท! ตระกูลสวีมีความผิดอันใด ฝ่าบาทถึงต้องกวาดล้างตระกูลสวี” ระหว่างที่กำลังวุ่นวายกันอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีเสียงกังวานก้องดังลอยขึ้นมา ฝูงชนต่างพากันเปิดทาง ก็เห็นว่าฮว่ากั๋วกงผู้เฒ่าที่ผมและหนวดเคราขาวไปทั้งศีรษะ เดินนำฝูงชนกลุ่มใหญ่เข้ามา
ม่อจิ่งฉีหน้าคล้ำประหนึ่งหมึก จ้องเขม็งไปยังฮว่ากั๋วกงผู้เฒ่าที่เดินเข้ามาอย่างองอาจ ในใจลอบก่นดาเขาว่าตาเฒ่าไม่ยอมตาย
ฮว่ากั๋วกงผู้เฒ่าปัดแขนเสื้อก่อนคุกเข่าลงกับพื้น “ตระกูลสวีจงรักภักดี ยิ่งท่านชิงอวิ๋นก็มีชื่อเสียงขจรกระจายไปทุกแว่นแคว้น ไม่รู้ว่าสวีซื่อทำความผิดอันใดถึงทำให้ฝ่าบาททรงกริ้วเช่นนี้ ฝ่าบาทได้โปรดชี้แจงด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
คนที่เดินตามหลังเขามาล้วนเป็นขุนนางชั้นนำในราชสำนัก หรือแม้กระทั่งผู้มีอิทธิพลแห่งราชสำนักกับขุนนางเก่าแก่ของอดีตฮ่องเต้ที่เว้นว่างอยู่ที่บ้านแล้ว ซึ่งล้วนเป็นคนที่มีไมตรีอย่างมากกับท่านชิงอวิ๋นและตระกูลสวี พวกเขาล้วนให้ความร่วมมือโดยพร้อมเพรียงกัน เพื่อต้องการให้ฝ่าบาททรงให้คำตอบที่ชัดเจน
ม่อจิ่งฉีเอ่ยอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “สวีซื่อวางแผนทรยศ ฮว่ากั๋วกงต้องการจะปกปิดความผิดให้คนทรยศพวกนี้หรือ”
ฮว่ากั๋วกงเงยหน้าขึ้นเอ่ยเสียงก้องว่า “หากสวีซื่อคิดทรยศจริง ข้าน้อยยินดีเป็นม้าเร็วเดินทางไปจับกุมด้วยตนเอง และยอมให้ฝ่าบาทลงพระอาญา เพียงแต่ฝ่าบาท ขอถามว่าหลักฐานอยู่ที่ใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ม่อจิ่งฉีเอ่ยว่า “ตระกูลสวีเป็นตระกูลฝ่ายมารดาของเยี่ยหลี ชายาของม่อซิวเหยา ม่อซิวเหยายามนี้ยึดครองพื้นที่ซีเป่ย ก็แสดงให้เห็นว่าต้องการเป็นปฏิปักษ์ต่อราชสำนัก เช่นนี้แล้วตระกูลสวีไม่ควรถูกกวาดล้างหรือ”
ฮว่ากั๋วกงไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย เอ่ยเสียงก้องว่า “ติ้งอ๋องเป็นปฏิปักษ์กับราชสำนักหรือไม่ ยังไม่เป็นที่รู้แน่ เพียงแต่คนในใต้หล้าต่างเห็นกันดี ตระกูลสวีไม่เคยไปมาหาสู่อย่างใกล้ชิดกับตำหนักติ้งอ๋องมาก่อน และยิ่งไม่เคยเอ่ยคำพูดที่เป็นผลดีต่อติ้งอ๋องแม้เพียงครึ่งประโยค ฝ่าบาทจะใช้เพียงเหตุผลเรื่องติ้งอ๋อง มากวาดล้างสวีซื่อที่บ่มเพาะบัณฑิตมากความสามารถจำนวนนับไม่ถ้วนให้แก่ต้าฉู่ จึงยากนักที่จะเห็นคล้อยตามพ่ะย่ะค่ะ!”
“ฮว่ากั๋วกงเจ้าบังอาจนัก!” ขมับของม่อจิ่งฉีเต้นตุบๆ ไม่ได้หยุด ชี้หน้าฮว่ากั๋วกงอยู่เป็นนานแต่ก็พูดอันใดไม่ออก
หลิ่วกุ้ยเฟยที่ยืนอยู่รีบยื่นมือเข้าประคองเขา ม่อจิ่งฉีสูดหายใจเข้าออกลึกๆ อยู่หลายที เตรียมที่จะเอ่ยปาก จู่ๆ ก็มีเสียงแหลมเล็กดังขึ้นจากด้านใน “ฮองไทเฮาเสด็จ ฮองเฮาเสด็จ!”
ยังไม่ทันได้หันไปมอง ปลายถนนอีกด้านหนึ่งก็มีเสียงรายงานดังขึ้นอีกว่า “องค์หญิงซีฝูเสด็จ! องค์หญิงเจาหยางเสด็จ!”
ประหนึ่งว่าสวรรค์ยังเห็นม่อจิ่งฉียุ่งยากไม่พอ ในขณะที่มองขบวนเสด็จขององค์หญิงซีฝูและองค์หญิงเจาหยางค่อยๆ เคลื่อนเข้ามานั้น ถนนอีกด้านหนึ่งก็มีเสียงฝีเท้าม้าดังขึ้น คนที่มาก็คือหลีอ๋อง ม่อจิ่งหลีที่มิได้กลับเมืองหลวงมานานแสนนาน
ม่อจิ่งหลีกระโดดลงจากหลังม้า พาคนเร่งฝีเท้าเดินเข้ามาที่ปากประตูวัง และถึงก่อนคณะขององค์หญิงเล็กน้อย
“ข้าถวายพระพรเสด็จพี่ฮ่องเต้ ลูกถวายพระพรเสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ” เมื่อทำความเคารพเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ม่อจิ่งหลีก็ลุกยืนขึ้น เอ่ยยิ้มๆ ว่า “หน้าประตูวังคึกคักถึงเพียงนี้เชียวหรือ เสด็จพี่ฮ่องเต้ เสด็จแม่ เสด็จพี่สะใภ้ กับคนตั้งเยอะแยะ กำลังทำอันใดกันอยู่หรือ”